วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ทำอย่างไร ให้โรงเรียนเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรม

⭐️ ทำอย่างไร ให้โรงเรียนเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรม

โรงเรียนไม่ใช่เพียงสถานที่ของการเรียนรู้เท่านั้น แต่เป็นยังพื้นที่ทางสังคมแบบหนึ่ง เมื่อเรามองผ่านมุมมอง “พหุวัฒนธรรมศึกษา (Multicultural education)จะเห็นว่านักเรียนแต่ละคน ไม่ได้มีความเหมือนกัน พวกเขามีความแตกต่างกันทั้งเรื่องชนชั้นทางสังคม เพศสภาพ สีผิว เชื้อชาติ ภาษา ชาติพันธุ์ ความพิการ ตัวตนของนักเรียนที่แตกต่างเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับครูจำเป็นต้องเข้าใจและตั้งคำถาม “นักเรียนคนใดเข้า(ไม่)ถึงทรัพยากรบนความแตกต่างบ้าง

เมื่อครูทำงานอยู่ในห้องเรียน เป็นสิ่งจำเป็นที่ครูต้องมองให้เห็นว่าภายใต้ความแตกต่างของนักเรียน ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจ ชาติพันธุ์ สีผิว เพศ นั้นเกี่ยวข้องกับความไม่ยุติธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรการเรียนรู้อย่างไร ไม่ใช่แค่การจัดสรรในทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ครูจำเป็นต้องตั้งคำถามว่านักเรียนคนใดได้รับการจัดสรรหรือเลือกปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมปรากฏอยู่ในพื้นที่โรงเรียนและสังคมหรือไม่

การที่ครูมองโรงเรียนด้วยคำถามเช่นนี้ จะช่วยเผยให้เห็นว่า ความไม่เป็นธรรมที่ส่งผลตัวนักเรียนมากกว่าแค่ความเหลื่อมล้ำทางฐานเศรษฐกิจ ชนชั้นและเพศสภาพ แต่ยังรวมถึงความเหลื่อมล้ำในเชิงวัฒนธรรม เช่น เชื้อชาติ สีผิว ชาติพันธุ์ เช่น โรงเรียนมีพื้นที่สนามเด็กเล่นให้สำหรับเด็กพิการหรือไม่ สนามเด็กเล่นเพศสภาพใดเข้าถึงเป็นหลัก หรือสถานศึกษาจัดสรรทรัพยากรที่เคารพความเป็นมนุษย์หรือไม่ นักเรียนกำลังถูกบูลลี่จากความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติอย่างไร ความรู้ของใครกำลังถูกสอนอยู่ในโรงเรียน

มุมมองเช่นนี้ จึงต้องอาศัยบทบาทครูในการทำความเข้าใจว่าใครกำลังถูกกดทับในระบบการศึกษาและสังคม พร้อบกับมาทบทวนว่าตัวเองกำลังถูกและกำลังกดทับคนอื่นอยู่หรือไม่ไปพร้อม ๆ กัน

ครูจะสอนบนแนวคิดพหุวัฒนธรรมศึกษาอย่างไร...

บทบาทของครูจึงต้องมองพหุวัฒนธรรมบนฐานสิทธิ ความเป็นธรรม และความเป็นมนุษย์ หลายครั้งมีความเข้าใจผิดว่า พหุวัฒนธรรมเป็นเพียงการสอนในห้องเรียนที่มีนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มวัฒนธรรมหลักอยู่ในห้อง เช่น เด็กข้ามชาติ เด็กชาติพันธุ์ แต่ในความเป็นจริงแทบทุก ๆ ชั้นเรียนยังมีความแตกต่างในเรื่องชนชั้น เพศสภาพ ความพิการ ถ้าเช่นนั้นแล้วในฐานะครูจะสอนเรื่องพหุวัฒนธรรมอย่างไร

แนวทางที่ 1 การสอนแบบเสรีนิยม

แนวทางนี้มองว่าหากต้องการสร้างเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ระบบการศึกษาเป็นตัวหล่อหลอมคนในสังคมให้มีสำนึกในพหุวัฒนธรรม ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำหรับพหุวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ การสอนในแนวนี้เชื่อว่าวัฒนธรรมหลากหลายนั้นดำรงอยู่ได้ เช่น ในประเทศเกาหลีใต้ที่ให้นักเรียนเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของกลุ่มคนและความคิดพหุวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง ทบทวนรากความเป็นมาของตัวเอง มากกว่าการหยิบจับฉาบฉวยทางวัฒนธรรมที่เห็นได้ง่าย ๆ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ในเกาหลีจึงมีมูลค่าสูงพร้อม ๆ กับการสร้างจิตสำนึกร่วมกันของคนในสังคม

แนวทางที่ 2 การสอนแบบเชิงวิพากษ์

เป็นการมองผ่านกรอบอำนาจและความไม่ยุติธรรมเป็นสำคัญ โดยมองว่าบทบาทครูต้องสร้างบทสนทนาให้เห็นว่า ใครบ้างที่เข้าถึงหรือเข้าไม่ถึงทรัพยากรและอำนาจ หรือใครกำลังถูกกดทับบ้างในสังคม โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้เห็นว่า “คนทุกคนเป็นคนเท่ากัน” เช่น ประเทศญี่ปุ่น มีเด็กเกาหลีอยู่เนื่องจากครอบครัวถูกวาดต้อนมาจากช่วงสงครามโลก ครูจะอธิบายความแตกต่างนี้อย่างไร ซึ่งครูอาจสร้างบทเรียนเพื่อให้นักเรียนเห็นว่า ทำไมเด็กเกาหลีถึงไปอยู่ญี่ปุ่น เกิดอะไรขึ้นในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ชุดความรู้ต้องเป็นชุดความรู้ที่มองเห็นตัวตนในเชิงความเข้าใจ มีบทเรียน มีตัวอย่าง มีปฏิบัติการที่ต้องไปกระแทกความรู้สึก

รวมถึงตั้งคำถามไปมากกว่าในชั้นเรียน เช่น จะออกแบบพื้นที่ในโรงเรียนในเชิงพหุวัฒนธรรมที่มองคนเท่ากันอย่างไร หรือจะสอนให้เห็นอำนาจผ่านเสียงของแต่ละคนอย่างไร เช่น สภานักเรียนควรมีโควตาให้สำหรับเด็กพิการ LGBTQ หรือไม่

ชวนคุณครูลองมองย้อนกลับที่ห้องเรียนของตนเอง และลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ห้องเรียนของฉันมีความเป็นพหุวัฒนธรรมอย่างไร” และ “ความเป็นพหุวัฒนธรรมกำลังสร้างความไม่ยุติธรรมกับนักเรียนคนใดอยู่หรือไม่” เมื่อได้พบคำตอบของคำถามแล้ว อาจจะทำให้คุณครูได้ประเด็นต่าง ๆ ในการทำงานต่ออีกมากมายเลยล่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น