⭐️
ทำอย่างไร ให้โรงเรียนเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรม
โรงเรียนไม่ใช่เพียงสถานที่ของการเรียนรู้เท่านั้น
แต่เป็นยังพื้นที่ทางสังคมแบบหนึ่ง เมื่อเรามองผ่านมุมมอง “พหุวัฒนธรรมศึกษา (Multicultural
education)”
จะเห็นว่านักเรียนแต่ละคน ไม่ได้มีความเหมือนกัน
พวกเขามีความแตกต่างกันทั้งเรื่องชนชั้นทางสังคม เพศสภาพ สีผิว เชื้อชาติ ภาษา
ชาติพันธุ์ ความพิการ
ตัวตนของนักเรียนที่แตกต่างเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับครูจำเป็นต้องเข้าใจและตั้งคำถาม
“นักเรียนคนใดเข้า(ไม่)ถึงทรัพยากรบนความแตกต่างบ้าง”
เมื่อครูทำงานอยู่ในห้องเรียน
เป็นสิ่งจำเป็นที่ครูต้องมองให้เห็นว่าภายใต้ความแตกต่างของนักเรียน
ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจ ชาติพันธุ์ สีผิว เพศ
นั้นเกี่ยวข้องกับความไม่ยุติธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรการเรียนรู้อย่างไร
ไม่ใช่แค่การจัดสรรในทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ครูจำเป็นต้องตั้งคำถามว่านักเรียนคนใดได้รับการจัดสรรหรือเลือกปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมปรากฏอยู่ในพื้นที่โรงเรียนและสังคมหรือไม่
การที่ครูมองโรงเรียนด้วยคำถามเช่นนี้
จะช่วยเผยให้เห็นว่า
ความไม่เป็นธรรมที่ส่งผลตัวนักเรียนมากกว่าแค่ความเหลื่อมล้ำทางฐานเศรษฐกิจ
ชนชั้นและเพศสภาพ แต่ยังรวมถึงความเหลื่อมล้ำในเชิงวัฒนธรรม เช่น เชื้อชาติ สีผิว
ชาติพันธุ์ เช่น โรงเรียนมีพื้นที่สนามเด็กเล่นให้สำหรับเด็กพิการหรือไม่
สนามเด็กเล่นเพศสภาพใดเข้าถึงเป็นหลัก
หรือสถานศึกษาจัดสรรทรัพยากรที่เคารพความเป็นมนุษย์หรือไม่
นักเรียนกำลังถูกบูลลี่จากความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติอย่างไร
ความรู้ของใครกำลังถูกสอนอยู่ในโรงเรียน
มุมมองเช่นนี้
จึงต้องอาศัยบทบาทครูในการทำความเข้าใจว่าใครกำลังถูกกดทับในระบบการศึกษาและสังคม
พร้อบกับมาทบทวนว่าตัวเองกำลังถูกและกำลังกดทับคนอื่นอยู่หรือไม่ไปพร้อม ๆ กัน
ครูจะสอนบนแนวคิดพหุวัฒนธรรมศึกษาอย่างไร...
บทบาทของครูจึงต้องมองพหุวัฒนธรรมบนฐานสิทธิ
ความเป็นธรรม และความเป็นมนุษย์ หลายครั้งมีความเข้าใจผิดว่า
พหุวัฒนธรรมเป็นเพียงการสอนในห้องเรียนที่มีนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มวัฒนธรรมหลักอยู่ในห้อง
เช่น เด็กข้ามชาติ เด็กชาติพันธุ์ แต่ในความเป็นจริงแทบทุก ๆ ชั้นเรียนยังมีความแตกต่างในเรื่องชนชั้น
เพศสภาพ ความพิการ ถ้าเช่นนั้นแล้วในฐานะครูจะสอนเรื่องพหุวัฒนธรรมอย่างไร
แนวทางที่
1 การสอนแบบเสรีนิยม
แนวทางนี้มองว่าหากต้องการสร้างเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ระบบการศึกษาเป็นตัวหล่อหลอมคนในสังคมให้มีสำนึกในพหุวัฒนธรรม
ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำหรับพหุวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์
การสอนในแนวนี้เชื่อว่าวัฒนธรรมหลากหลายนั้นดำรงอยู่ได้ เช่น
ในประเทศเกาหลีใต้ที่ให้นักเรียนเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของกลุ่มคนและความคิดพหุวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง
ทบทวนรากความเป็นมาของตัวเอง มากกว่าการหยิบจับฉาบฉวยทางวัฒนธรรมที่เห็นได้ง่าย ๆ
เศรษฐกิจสร้างสรรค์ในเกาหลีจึงมีมูลค่าสูงพร้อม ๆ กับการสร้างจิตสำนึกร่วมกันของคนในสังคม
แนวทางที่
2 การสอนแบบเชิงวิพากษ์
เป็นการมองผ่านกรอบอำนาจและความไม่ยุติธรรมเป็นสำคัญ
โดยมองว่าบทบาทครูต้องสร้างบทสนทนาให้เห็นว่า
ใครบ้างที่เข้าถึงหรือเข้าไม่ถึงทรัพยากรและอำนาจ หรือใครกำลังถูกกดทับบ้างในสังคม
โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้เห็นว่า “คนทุกคนเป็นคนเท่ากัน” เช่น ประเทศญี่ปุ่น
มีเด็กเกาหลีอยู่เนื่องจากครอบครัวถูกวาดต้อนมาจากช่วงสงครามโลก
ครูจะอธิบายความแตกต่างนี้อย่างไร ซึ่งครูอาจสร้างบทเรียนเพื่อให้นักเรียนเห็นว่า
ทำไมเด็กเกาหลีถึงไปอยู่ญี่ปุ่น เกิดอะไรขึ้นในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
ชุดความรู้ต้องเป็นชุดความรู้ที่มองเห็นตัวตนในเชิงความเข้าใจ มีบทเรียน
มีตัวอย่าง มีปฏิบัติการที่ต้องไปกระแทกความรู้สึก
รวมถึงตั้งคำถามไปมากกว่าในชั้นเรียน
เช่น จะออกแบบพื้นที่ในโรงเรียนในเชิงพหุวัฒนธรรมที่มองคนเท่ากันอย่างไร
หรือจะสอนให้เห็นอำนาจผ่านเสียงของแต่ละคนอย่างไร เช่น
สภานักเรียนควรมีโควตาให้สำหรับเด็กพิการ LGBTQ หรือไม่
ชวนคุณครูลองมองย้อนกลับที่ห้องเรียนของตนเอง
และลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ห้องเรียนของฉันมีความเป็นพหุวัฒนธรรมอย่างไร”
และ “ความเป็นพหุวัฒนธรรมกำลังสร้างความไม่ยุติธรรมกับนักเรียนคนใดอยู่หรือไม่”
เมื่อได้พบคำตอบของคำถามแล้ว อาจจะทำให้คุณครูได้ประเด็นต่าง ๆ
ในการทำงานต่ออีกมากมายเลยล่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น