เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียซึ่งไม่มีอาการจำเพาะ
ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด หรือมีอาการรุนแรง เช่น พบเนื้อตาย แผล
ฝีหนองที่ปอด ตับ หรือม้าม หรือพบการติดเชื้อในกระแสโลหิตอย่างรวดเร็ว
โรคเมลิออยโดสิสเป็นโรคติดเชื้อที่เป็นปัญหาของหลายประเทศ รายงานว่าประเทศทางแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
และทางเหนือของทวีปออสเตรเลีย เป็นบริเวณที่มีโรคชุกชุม
และสามารถตรวจพบโรคนี้ได้บ้างในฮ่องกง ไต้หวัน อินเดีย นิวซีแลนด์ และประเทศอื่นๆ
ทั่วโลก โรคเมลิออยโดสิสเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei ระยะฟักตัวไม่แน่นอน อาจสั้นเพียง 2-3 วัน หรือยาวนานเป็นปี
เชื้อแบคทีเรียนี้มีอยู่ในดินน้ำ
สัตว์หลายชนิด เช่น โค กระบือ แพะ แกะ ม้า สุกร ลิง และสัตว์แทะ เป็นแหล่งแพร่โรค
โรคนี้ติดต่อโดยการได้รับเชื้อเข้าไปทางบาดแผล หรือโดยการกิน และการหายใจ
ผู้ป่วยอาจมีอาการและอาการแสดงอาการที่พบมีตั้งแต่อาการเล็กๆ น้อยๆ
จนถึงขั้นรุนแรงมาก เช่น มีไข้ ปอดบวม พบมีการติดเชื้อในกระแสโลหิต
และเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วมาก อาจมีอาการคล้ายไข้ไทฟอยด์
หรือวัณโรคถุงลมปอดโป่งพอง ฝีเรื้อรังหรือข้อกระดูกอักเสบเป็นต้น
โรคนี้พบได้บ่อยในประเทศไทยโดยเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
การชันสูตรทำได้โดยการเพาะเชื้อจากตัวอย่างแล้วตรวจวินิจฉัย
และการตรวจปฏิกิริยาน้ำเหลือง
ในรายที่อาการไม่รุนแรงสามารถรักษาให้หายได้โดยใช้ยาปฏิชีวนะ
โรคเมลิออยโดสิสมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโรคมงคล่อเทียม
เป็นโรคที่พบในสัตว์หลายชนิด ที่พบบ่อยคือ สุกร แพะ แกะ นอกจากนี้ยังพบในโค กระบือ
ม้า สุนัข แมว สัตว์ฟันแทะ สัตว์ป่าหลายชนิด โรคนี้สามารถติดต่อมายังคนได้
พบในทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและระบาดมากในช่วงฤดูฝน
ในประเทศไทยพบผู้ป่วยได้ทุกภาคทั่วประเทศ แต่พบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดขอนแก่น และอุบลราชธานี
อุบัติการณ์ของโรคมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉลี่ย 4.4 ต่อ 100,000 คน
ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นชาวไร่ชาวนาหรือผู้ที่ทำงานกับดิน และน้ำ พบผู้ป่วยมากในฤดูฝน
คาดว่าจะมีผู้ป่วยมากกว่าปีละ 2,500 รายในประเทศไทย แต่ขาดการศึกษายืนยัน
และไม่มีการรายงานในผู้ป่วยส่วนมาก
จากการสำรวจระดับแอนติบอดีต่อเชื้อของคนปกติในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พบมีการติดเชื้อประมาณร้อยละ 25 จากการพบผู้ป่วยด้วยโรคนี้มีอาการหลายรูปแบบ
ที่อาจคล้ายคลึงกับโรคอื่นๆ เช่น มาลาเรีย วัณโรค จึงได้ชื่อว่า “ยอดนักเลียนแบบ”
เชื้อโรคชนิดนี้มีความพิเศษตรงที่สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองโดยหลบหลีกระบบการตรวจสอบสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย
ทำให้สามารถหลบซ่อนอยู่ในร่างกายของเราได้นาน 20-30 ปี
แต่ทั้งนี้ระยะฟักตัวอาจสั้นเพียง 2 วันหรือเป็นปี ขึ้นอยู่กับระยะการติดเชื้อและอาการของโรค
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
Burkholderia
pseudomallei (Pseudomonas psudomalle) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดแกรมลบ
มีลักษณะจำเพาะคือเซลล์จะติดสีเข้มหัวท้าย
เมื่อย้อมด้วยสีแกรมทำให้มีลักษณะคล้ายเข็มกลัดซ่อนปลาย ไม่สร้างสปอร์
เคลื่อนที่โดยใช้แฟลกเจลลา
เชื้อสามารถเจริญได้ดีในอาหารเลี้ยงเชื้อแบคทีเรียทั่วๆไป
ลักษณะโคโลนีและสีจะเปลี่ยนเเปลงตามชนิดอาหารเลี้ยงเชื้อ
มีความทนทานต่อสิ่งแวดล้อม สามารถเจริญได้ในภาวะเป็นกรด pH 4.5-8
และอุณหภูมิระหว่าง 15-42 องศาเซลเซียส โคโลนีบน Blood agar มีสีขาวขุ่น
และจะเหี่ยวย่นเมื่อบ่มไว้นานกว่า 2 วัน พบมี beta hemolysis zoneรอบๆโคโลนีและมีกลิ่นเฉพาะคล้ายกลิ่นดิน
ในประเทศไทยมีรายงานแยกเชื้อได้จากดินและน้ำของทุกภาค
พบมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี 2 biotypes เชื้อที่แยกได้จากผู้ป่วยเป็นสายพันธุ์
Arabinose negative (Ara-) ในขณะที่แยกได้จากสิ่งแวดล้อมมีทั้ง
Arabinose negative และ Arabinose positive (Ara+) ความสามารถในการก่อโรคของสายพันธุ์ Ara- มากกว่า Ara+
โดยมีค่า LD50 เท่ากับ 102 cfu/mouse และ 109 cfu/mouse ตามลำดับ ปัจจุบัน Ara+ ถูกจัดให้อยู่ในสปีชีส์ใหม่ ชื่อ Burkholderia thailandnensis
วิธีการติดต่อโดยทั่วไปสามารถติดต่อจากการสัมผัสกับดินหรือน้ำผ่านทางแผลที่ผิวหนังหรือหายใจเอาฝุ่นจากดินที่มีเชื้อหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อเจือปนเชื้อเมลิออยโดสิสสามารถอยู่ได้ในซากสัตว์ที่อยู่ในดินและน้ำ
ระยะฟักตัวอาจสั้นเพียง
2 วัน หรือเป็นปีขึ้นอยู่กับระยะการติดเชื้อและระยะเวลาแสดงอาการของโรค
กลไกการก่อโรคยังไม่ทราบแน่ชัด
คาดว่ามีหลายปัจจัยที่มีผลก่อให้เกิดความรุนแรงของโรค เช่น ความสามารถในการก่อโรค
จำนวนและวิธีที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย ภาวะภูมิต้านทานของผู้ป่วย
ความรุนแรงของเชื้อที่สำคัญได้แก่ endotoxin exotoxin และ
เอ็นซัยม์หลายชนิด การสร้าง biofilm ห่อหุ้มเซลล์
ซึ่งมีผลทำให้เชื้อสามารถเจริญได้ในเซลล์เม็ดเลือดขาวโดยไม่ถูกจับกินและสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่างๆ
นอกจากนั้น biofilmยังป้องกันไม่ให้ยาต้านจุลชีพซึมเข้าสู่เซลล์ทำให้เชื้อสามารถทนต่อยาต้านจุลชีพที่ความเข้มข้นสูงขึ้น
เมลิออยโดสิสเป็นโรคติดเชื้อที่เป็นปัญหาของหลายประเทศ
รายงานว่าประเทศทางแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทางเหนือของทวีปออสเตรเลียเป็นบริเวณที่มีโรคชุกชุม
และสามารถตรวจพบโรคนี้ได้บ้างในฮ่องกง ไต้หวัน อินเดีย นิวซีแลนด์ และประเทศอื่นๆทั่วโลก
ในประเทศไทยพบผู้ป่วยได้ทุกภาคทั่วประเทศ แต่พบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดขอนแก่นและอุบลราชธานี ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (ร้อยละ
60-95)เป็นชาวไร่ชาวนาหรือผู้ที่ทำงานกับดินและน้ำพบผู้ป่วยมากในฤดูฝนมีรายงานการติดเชื้อในโรงพยาบาลผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นบุคคลที่มีปัจจัยเสี่ยงเช่นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเรื้อรังวัณโรคเบาหวานโรคไตโรคเลือดมะเร็งและภาวะบกพร่องทางภูมิคุ้มกันเป็นต้นเด็กเป็นโรคนี้น้อยกว่าผู้ใหญ่
อาการ
อาการไข้นานไม่ทราบสาเหตุผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมาพบแพทย์ด้วยอาการมีไข้เป็นเวลานานโดยที่ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดพบว่าน้ำหนักลดลงร่างกายอ่อนเพลียต่อมาจึงเกิดอาการที่รุนแรงขึ้นลักษณะทางคลินิกของโรคนี้สามารถเลียนแบบโรคอื่นๆได้เกือบทุกโรคขึ้นอยู่กับตำแหน่งของอวัยวะที่เกิดโรค
ผู้ป่วยมาด้วยอาการของการติดเชื้อเฉพาะที่ส่วนใหญ่พบการติดเชื้อที่ปอดมีอาการเหมือนปอดอักเสบคือมีไข้ไอมีเสมหะเล็กน้อยน้ำหนักลดบางรายไอมีเสมหะปนเลือดเจ็บหน้าอกพบว่าการเกิดโรคมีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเรื้อรังผู้ป่วยบางรายมีอาการของฝีในตับฝีในกระดูกหรือเป็นเพียงฝีที่ผิวหนังเท่านั้นถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาให้ถูกต้องอาจเกิดอาการรุนแรงขึ้น
การติดเชื้อในกระแสโลหิต
เชื้อจะกระจายเข้าสู่กระแสเลือดไปทั่วร่างกาย ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรง
และอาจเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่มักเสียชีวิตภายใน 2-3
วันหลังเข้าโรงพยาบาล เชื้อจะกระจายเข้าสู่กระแสเลือดไปทั่วร่างกาย
ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงและตายอย่างรวดเร็ว อัตราป่วยสูงมาก
ส่วนใหญ่มักเสียชีวิตภายใน 2 – 3 วันหลังเข้าโรงพยาบาล
ผู้ป่วยกลุ่มนี้มากกว่าร้อยละ 50 ไม่มีประวัติเป็นมาก่อน ร้อยละ 25-30
มีประวัติเป็นโรคที่ปอดมาก่อน และร้อยละ 20-25มีประวัติเป็นโรคนี้ที่บริเวณผิวหนังและบริเวณอื่นๆ
จากการศึกษาที่จังหวัดอุบลราชธานี
พบโรคเมลิออยโดสิสเฉพาะที่ปอดร้อยละ 40-50 ของผู้ป่วยโรคนี้ รองลงมาคือ
ที่ผิวหนังและชนิดเชื้อแพร่กระจายในเลือดประมาณร้อยละ 20เท่าๆกัน อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคเมลิออยโดสิสชนิดติดเชื้อในกระแสเลือดประมาณร้อยละ
60-70
การรักษา
1.แยกผู้ป่วยไม่ให้ผู้อื่นสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งจากทางเดินหายใจและโพรงจมูก
2.นำสารคัดหลั่งสิ่งส่งตรวจของผู้ป่วย
เช่น เลือด ปัสสาวะ เสมหะ หรือหนอง มาเพาะเลี้ยง
แล้วนำมาทดสอบดูว่ามีเชื้อนี้อยู่หรือไม่ ซึ่งจะใช้เวลา 3-5 วันจึงจะรู้ผล
3.พิจารณาให้ยาปฏิชีวนะแก่ผู้ป่วย
โดยให้ยาฉีดในระยะแรก 2 สัปดาห์ และให้ยารับประทานต่อจนครบ 20สัปดาห์เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
4.เนื่องจากผู้ป่วยที่มีภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด
จะเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว การใช้ยาต้านจุลชีพที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
ยาที่นิยมใช้กันได้แก่ tetracycline,
chloramphenicol, kanamycin, cotrimoxazole และ novobiocin ที่ใช้ได้ผลดีคือ ceftazidime 4 กรัม/วัน นาน 1
เดือน ต่อเนื่องด้วย tetracycline นาน 6 เดือน
5.ปัจจุบันมีแนวทางการรักษาแบบยาชนิดเดียว
โดยใช้ ceftazidime
120 มก./กก./วัน โดยฉีดเข้ากล้าม หรือฉีดเข้าเส้นเลือดนาน 14 วัน
ในผู้ป่วยอาการหนัก ซึ่งให้ผลอัตราการรอดชีวิตประมาณร้อยละ 60 แบะการรักษาแบบยา 2
ชนิด ceftazidimne 100 มก./กก./วัน ร่มกับ cotrimoxazole
นาน 7 วัน อัตราการรอดชีวิตในผู้ป่วยหนักถึงร้อยละ
70-75จากนั้นผู้ป่วยควรได้ยาชนิดรับประทานต่อไป
6.ในรายที่ฝีจะต้องมีการผ่าตัดเอาฝีออกซึ่งจะให้ผลดีกว่าการใช้เข็มเจาะหรือดูดเอาแต่หนองออกการทำผ่าตัดควรทำเมื่อตรวจไม่พบเชื้อในกระแสโลหิตแล้ว
7.โรคเมลิออยโดสิสนับเป็นปัญหาสาธารณสุขของไทยเนื่องจากพบมีอัตราป่วยตายสูงโดยเฉพาะผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสโลหิตและมักพบอาการรุนแรงถึงเสียชีวิตในคนที่เป็นโรคเรื้อรังเช่นโรคเบาหวานโรคไตทั้งนี้มักมีการกลับซ้ำของโรคในกรณีให้การรักษาระยะสั้นและผู้ป่วยมีภาวะภูมิต้านทานบกพร่อง
นอกจากนั้นอาการของโรคยังคล้ายกับโรคติดเชื้ออื่นหลายโรคอาจทำให้วินิจฉัยผิดได้ซึ่งจะมีผลต่อการรักษาเพราะการรักษาโรคเมลิออยโดสิสมีรูปแบบจำเพาะไม่เหมือนโรคติดเชื้ออื่นและยามีราคาค่อนข้างแพงจึงจำเป็นต้องพัฒนาวิธีตรวจกรองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถตรวจได้ทุกห้องปฏิบัติการ
การป้องกันโรค
1.ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคเมลิออยโดสิสการควบคุมป้องกันโรคทำได้ยากเนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นชาวนาที่ต้องสัมผัสดินและน้ำขณะทำงานผู้ที่มีภาวะภูมิต้านทานบกพร่องผู้ป่วยโรคเบาหวานโรคเรื้อรังหรือมีบาดแผลที่ผิวหนังควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสดินโดยสวมรองเท้าบูทขณะทำงานลุยน้ำลุยโคลนรวมทั้งบุคคลที่มีอาการของโรคเบาหวานและแผลบาดเจ็บรุนแรงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับดินและน้ำเช่นในไร่นา
2.ป้องกันไม่ให้เกิดบาดแผลเมื่อต้องสัมผัสดินและน้ำหรือรีบทำความสะอาดร่างกายหลังการทำงานในบุคคลที่มีอาการของโรคเบาหวานและแผลบาดเจ็บรุนแรงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับดินและน้ำถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้อาจต้องสวมถุงมือรองเท้ายางเพื่อป้องกัน
3.หากมีแผลถลอกหรือไหม้ซึ่งสัมผัสกับดินหรือน้ำในพื้นที่ที่เกิดโรคควรทำความสะอาดทันที
4.เมื่อมีบาดแผลและเกิดมีไข้หรือเกิดการอักเสบเรื้อรังควรรีบไปพบแพทย์นอกจากนี้แล้วการมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคต่างๆและการดูแลสุขภาพของร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆได้
5.การป้องกันโรคเป็นไปได้ยากเพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นชาวไร่ชาวนาที่ต้องทำงานสัมผัสดินและน้ำซึ่งในถิ่นระบาดพบเชื้อสาเหตุอยู่ทั่วไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น