เดือนมูฮัรรอม
นับเป็นหนึ่งใน 4 ของเดือนต้องห้ามสู้รบ นอกจากเดือนมูฮัรรอมแล้ว ยังมีอีก 3
เดือนต้องห้ามสู้รบ และสั่งห้ามกระทำความชั่ว มุ่งทำแต่ความดี การเพิ่มขึ้นของประชากรมนุษย์นับวันยิ่งทวีคูณ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมจำเป็นต้องอยู่ร่วม ทำกิจกรรมร่วมกัน
หลีกเลี่ยงไม่พ้นเพราะไม่สามารถใช้ชีวิตเพียงลำพังและโดดเดี่ยวได้
การอยู่ร่วมกันในสังคม จำเป็นต้องมีกฎหมายบ้านเมืองมาบังคับใช้เพื่อให้ทุกคนปฏิบัติตาม
ในส่วนของศีลธรรมอันดีงามมีศาสนามากลัดเกลาจิตใจและเป็นที่พึ่ง
ซึ่งจุดมุ่งหมายของทุกศาสนามุ่งสอนให้ศาสนิกกระทำแต่ความดีงาม ละเว้นการกระทำชั่ว
ประเทศต่างๆ
ในโลกนี้ทุกประเทศ ย่อมมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของภูมิประเทศ ภูมิอากาศ
ศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณีวัฒนธรรม ส่วนในประเทศนั้นๆ ในแต่ละภูมิภาคจะมีอัตลักษณ์
ประเพณีความเชื่อ การนับถือศาสนาที่แตกต่างกัน
ดั่งเช่นประเทศไทยของเราในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
และพูดภาษามลายูท้องถิ่น มีวิถีชีวิต สังคม ประเพณี วัฒนธรรม
และอัตลักษณ์ที่ต่างจากพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของประเทศ
ในเมื่อประชากรในพื้นที่
3 จังหวัดชายแดนใต้ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ภาพที่เราได้เห็นภาพคือ
ความพิเศษเฉพาะถิ่น
ศาสนิกจะเคร่งครัดในการปฏิบัติศาสนกิจและการปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสดา
ความศรัทธาที่แท้จริงของชาวมุสลิมที่มีต่อ “อัลเลาะห์” นั้นย่อมหมายถึง
การถวายทั้งกายและใจ ให้แก่พระองค์ การปฏิบัติที่ผิดแตกต่างไปจากนี้
เช่น การยอมรับนับถือพระเจ้าองค์อื่นด้วย หรือการนับถือสิ่งอื่นใดเทียบเท่าพระองค์
ถือว่าเป็นบาปมหันต์ที่มิอาจยกโทษให้ได้ มุสลิมที่ศรัทธาต่ออัลเลาะห์ อย่างแท้จริงจะทำให้เขาละเว้นจากการทำชั่ว
ทำแต่ความดี มีพลังใจที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย
การศรัทธาต่ออัลเลาะห์ จึงเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นมุสลิม
ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ผู้คิดต่างจากรัฐโดยแกนนำกลุ่มขบวนการได้ฉกฉวยโอกาสโดยใช้ความเชื่อความศรัทธาของผู้นับถือศาสนาอิสลาม
มีการบิดเบือนหลักคำสอนศาสนาชี้ให้เห็นว่า ปัตตานีเป็นดินแดน“ดารุลฮัรบี”
หลอกให้สมาชิกผู้ก่อการร้ายทำการญีฮาด ในการก่อเหตุรุนแรงว่า ทำเพื่อความประสงค์ของพระเจ้าเพื่ออัลเลาะห์
เช่นเดียวกับเดือนรอมฎอน เดือนแห่งการถือศีลอด ซึ่งเป็นเดือนอันประเสริฐของมวลพี่น้องมุสลิมที่ประกอบศาสนกิจ
เป็นเดือนแห่งบุญให้ทุกคนกระทำแต่ความดี แต่กลุ่มผู้ ผู้ก่อการร้ายกลับบิดเบือนหลักคำสอนศาสนา
และมีความเชื่อแบบผิดๆ โดยกลุ่มขบวนการได้ปลุกระดมความเชื่อชี้นำทางความคิดให้สมาชิกหลงผิดว่า
การก่อเหตุในห้วงเดือนรอมฎอน เป็นการต่อสู้เพื่อศาสนา เพื่อแผ่นดินมาตุภูมิปัตตานี
เป็นการทำสงครามต่อสู้กับผู้รุกราน
ทำการเข่นฆ่าผู้คนโดยเฉพาะผู้นับถือต่างศาสนิกจะได้รับผลบุญหลายเท่า
การเข่นฆ่าคนแล้วได้บุญหลายเท่าตามที่ได้มีการปลุกระดมจริงหรือ? แล้วทำไมสมาชิกเหล่านั้นจึงหลงเชื่อ
ข้อเท็จจริงเดือนต้องห้ามในหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ที่ว่าห้ามทำการสู้รบ
และห้ามทำการล้างแค้น ซึ่งอัลเลาะห์ ตรัสไว้ในบท
อัตเตาบะห์ โองการที่ 136 ความว่า “แท้จริงจำนวนเดือน ณ อัลเลาะห์ มี 12 เดือน
โดยระบุในคัมภีร์ของอัลเลาะห์ ในวันที่พระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าทั้งหลาย
และแผ่นดินในจำนวนนี้มี 4 เดือนต้องห้าม”
โดยมี
4 เดือนติดต่อกันคือ ซุ้ลกิอฺดะห์ (ذُوْالقِعْدَةِ), เดือนซุ้ลฮิจญะห์ (ذُوالحْجَّةِ)
และเดือนอัลมุฮัรรอม (اَلْمُحَرَّمُ)
และเดือนรอญับ (رَجَب)
ซึ่งอยู่ระหว่างเดือนญุมาดา อัลอาคิเราะห์ (جُمَادٰىالآخِرة)
และเดือนชะอ์บาน (شَعْبَانُ)
ความสำคัญของเดือนต้องห้าม
4 เดือน และสิ่งที่ควรปฏิบัติ
เดือนอัลมุฮัรรอม (اَلْمُحَرَّمُ)
เป็นเดือนแรกของปฏิทินอิสลาม ส่วนวันที่สำคัญในเดือนนี้ได้แก่
วันอาชูรออ์คือวันที่ 10 มุฮัรรอม เป็นวันที่ท่านศาสดามุฮัมมัดศ็อลฯ ได้ส่งเสริมให้ถือศีลอดและรวมถึงวันที่
9 มุฮัรรอม ด้วย สิ่งที่ควรปฏิบัติในเดือนนี้
–
ควรที่จะถือศีลอดสุนัตให้มาก ดังที่ท่านศาสดา ศ็อลฯ ได้ทรงกล่าว ความว่า
“ความประเสริฐของการถือศีลอดรองจากเดือนรอมฎอนคือ การถือศีลอดในเดือนแห่งอัลเลาะห์
อัลมุฮัรรอม”
–
เล่าประวัติศาสตร์หรือระลึกถึงการอพยพของท่านศาสดา ศ็อลฯ
ให้บุตรหลานหรือสมาชิกของครอบครัวฟัง
–
สุนัตให้ถือศีลอดในวันอาชูรออ์คือวันที่ 10
ของเดือนมุฮัรรอมซึ่งถือเป็นแบบฉบับของท่านศาสดา ศ็อลฯ ดังมีอัลฮะดีษ กล่าวความว่า
“ท่านศาสดาได้ถูกถามถึงการศีลอดในวันอาชูรออ์ ท่านกล่าวว่า
มันจะลบล้างความผิดหนึ่งปีที่ผ่านมา”
เดือนรอญับ
(رَجَب) เป็นเดือนลำดับที่ 7
ตามปฏิทินทางจันทรคติของชาวอาหรับอยู่ระหว่างเดือนญุมาดา อัลอาคิเราะห์ (جُمَادٰىالآخِرة) และเดือนชะอ์บาน (شَعْبَانُ) คำว่า รอญับ มีรากศัพท์ในภาษาอาหรับ หมายถึง ละอาย, เกรงกลัว, ครั่นคร้าม
ชาวอาหรับเรียกเดือนนี้ว่ารอญับ เพราะยกย่องและให้ความสำคัญต่อเดือนนี้เป็นอันมาก
นับแต่ยุคอัลญาฮีลียะห์ (ยุคก่อนอิสลามอันเป็นยุคแห่งอวิชชา)
และถือว่าเดือนนี้เป็นหนึ่งในสี่เดือนต้องห้ามที่แยกเป็นเอกเทศ เมื่อชาวอาหรับเรียกเดือนนี้ว่า
อัรร่อญะบานี (اَلرَّجَبَانِ)
วันสำคัญของเดือนนี้
วันที่ 27 เป็นวันที่ท่านศาสดา ศ็อลฯ เสด็จขึ้นชั้นฟ้า (อัลอิสรออ์วั้ลเมี๊ยะรอจ)
สิ่งที่ควรปฏิบัติในเดือนนี้ ระลึกถึงค่ำคืน อัลอิสรออ์วั้ลเมี๊ยะรอจ
โดยการเล่าประวัติศาสตร์ของคืนดังกล่าวให้บุตรหลานได้รับทราบ
เดือนซุ้ลเกาะอ์ดะห์
(ذُوالقَعْد) หรือ ซุ้ลกิอฺดะห์ (ذُوْالقِعْدَةِ) เดือนลำดับที่ 11 ตามปฏิทินทางจันทรคติของชาวอาหรับ
เหตุที่เรียกเดือนนี้ว่า ซุ้ลเกาะอ์ดะห์ หรือ ซุลกิอฺดะห์
ก็เพราะว่าชาวอาหรับจะระงับ ละเลิก จากเรื่องไม่ดีไม่งามทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็นการรุกรานเผ่าอื่น การปล้นสะดม ทั้งนี้เดือนซุ้ลเกาะอ์ดะห์
นับเป็นหนึ่งในสี่ของเดือนต้องห้าม (อัลอัชฮุรุ้ล ฮุรุม)
และในช่วงเวลาการประกอบพิธีฮัจญ์ในเดือน ซุ้ลฮิจญะห์
ฉะนั้นจึงต้องมีช่วงเวลาที่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินสำหรับผู้ที่เดินทางสู่นครมักกะห์ตามเส้นทางสู่ประกอบการพิธี
“ฮัจญ์”
เดือนซุ้ลฮิจญะห์
(ذُوالحْجَّةِ) เดือนสุดท้ายลำดับที่ 12
ตามปฏิทินทางจันทรคติของชาวอาหรับ อยู่ระหว่างเดือนซุ้ลเกาะอ์ดะห์กับเดือนมุฮัรรอม
เหตุที่เรียกเดือนนี้ว่า ซุ้ลฮิจญะห์ (ذُوالحْجَّةِ)
ก็เพราะว่าเป็นช่วงฤดูฮัจญ์ที่ชาวอาหรับจากทุกสารทิศจะเดินทางมุ่งสู่นครมักกะห์เพื่อประกอบพิธีฮัจญ์
คำว่า อัลฮัจญ์ (اَلْحَجُّ)
หมายถึง การเยี่ยมเยียน เช่น เยี่ยมเยียนสถานที่สำคัญ ส่วนคำว่าอัลฮิจญะห์ (اَلْحِجَّةُ) หมายถึง “ปี” เพราะการประกอบพิธีฮัจญ์
จะถูกกระทำตามศาสนบัญญัติในทุกๆ ปี
ชาวอาหรับบางทีก็นับจำนวนปีโดยอาศัยการประกอบพิธีฮัจญ์ เช่น อาศัยอยู่ในนครมักกะห์
มา 3 ฮัจญ์แล้ว เป็นต้น
วันสำคัญของเดือนนี้
เป็นเดือนแห่งการประกอบพิธีฮัจย์,วันที่ 9 คือวันอะร่อฟะห์, วันที่ 10 คือวันตรุษอีดิ้ลอัฎฮา, วันที่ 29 หรือ 30
เป็นวันสิ้นปีศักราชอิสลาม
สิ่งที่ควรปฏิบัติในเดือนนี้
ไปประกอบพิธีฮัจย์สำหรับผู้ที่มีความสามารถ, สำหรับผู้ที่ไม่ได้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์นั้น
สุนัตให้ถือศีลอดในวันอะร่อฟะห์, ร่วมกันละหมาดอีดิลอัฎฮา,
เชือดสัตว์กุรบ่าน และแจกจ่ายให้แก่ผู้ยากไร้, สำนึกตัว(เตาบัต)ในความผิดที่ผ่าน และออกซะกาตเมื่อครบพิกัดและครบรอบปี
จากการศึกษาจะพบว่า
อิสลามมิได้เพียงแค่ห้าม
การทำสงครามกันเฉพาะในเดือนต้องห้ามเท่านั้น แต่ยังได้มีบทลงโทษอันแสนสาหัสได้อีกด้วย
เพื่อป้องกันมิให้คนใดคนหนึ่ง คิดถึงเรื่องการทำสงครามกันเดือนนี้
จนถึงขั้นที่ว่าอัลกุรอานโองการที่ถูกถามถึงนั้น,
ได้ระบุชัดเจนว่าการทำสงครามกันในเดือนต้องห้าม
ถือว่าเป็นบาปใหญ่ด้วยซ้ำไป
นอกจากนั้นการสังหารผู้อื่นโดยไม่เจตนายังต้องจ่ายสินไหมชดเชยเป็นสองเท่าด้วย
ทั้งหมดเหล่านี้คือ
เหตุผลที่แสดงให้เห็นว่า อิสลามได้ให้ความสำคัญ
และให้ความเคารพต่อเดือนต้องห้ามทั้ง 4 เดือน การห้ามทำสงครามในเดือนต้องห้ามทั้งสี่นั้น
ก็เพื่อให้ชาวมุสลิมทั้งหมดให้เกียรติ และแสดงความเคารพต่อเดือนเหล่านี้ แต่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงกลับได้ใช้ประโยชน์จากการที่ชาวมุสลิมให้เกียรติต่อเดือนเหล่านี้
และทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของเดือนโดยจับอาวุธมาก่อเหตุ ทำร้าย เจ้าหน้าที่รัฐ
และผู้บริสุทธิ์ ทั้งพี่น้องชาวไทยพุทธ และมุสลิม...
ทั้งที่ในความเป็นจริง การฆ่าผู้หนึ่งผู้ใดโดยปราศจากความผิดเป็นถือเป็นบาปใหญ่
ในอัล-กุรอาน ไม่อนุญาตให้ฆ่าคนบริสุทธิ์
โดยไม่คำนึงว่าเขาหรือเธอจะนับถือศาสนาใดชีวิตของมนุษย์ทุกคนมีค่า ตามคำสอนของกุรอานและทางนำของศาสดามุฮัมมัด
ฉะนั้นการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ที่ชอบแอบอ้างว่าต่อสู้เพื่อศาสนา
ทำเพื่อ “อัลเลาะห์” เป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้วหรือ ?
เพราะถ้าเราได้ศึกษาอย่างถ่องแท้ คัมภีร์กุรอาน
มีข้อความมากมายที่กล่าวถึงการส่งเสริมคนทำความดีละเว้นความชั่ว และ
การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างศาสนิกต่างๆ
แต่ผู้คนกลับไม่กล่าวถึงและนำมาปฏิบัติ ในเมื่ออัลกุรอานเป็นคัมภีร์
เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตในทุกๆด้าน และ
มิติทีเกี่ยวข้องกับมนุษย์และบทบัญญัติที่มีอยู่ในคัมภีร์ คือ
กฎหมายที่มุสลิมทุกคนต้องปฏิบัติ
หากคำสอนของอัล-กุรอาน ถูกนำไปตีความอย่างผิด
ๆ หรือใช้เพื่อบิดเบือน อย่างที่กลุ่มขบวนการที่มีแนวคิดสุดโต่ง ได้นำเอาข้อความเหล่านี้ไปใช้
บิดเบือน ปลุกระดมบ่มเพาะ เพื่อเป้าหมายของตนเอง เพราะฉะนั้นเราต้องแยกแยะระหว่างหลักการของศาสนาที่ถูกต้องกับมุสลิม
และมีการชี้แจงหลักศาสนาที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันการบิดเบือน และชักจูง
ให้เข้าร่วมขบวนการของคนบาปนี้ที่ก่อเหตุในทุก ๆ โอกาส ไม่เว้นเดือนต้องห้ามที่ไม่ให้มีการทำสงคราม
ในขณะเดียวกัน เราจะต้องร่วมกันประณามการก่อการร้ายทุกรูปแบบที่กระทำในนามของศาสนา
และเป็นกำลังใจต่อผู้กระทำความดี ละเว้นความชั่ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น