เมื่อเสียงปืน
เสียงระเบิดลั่น เสียงสันติภาพแผ่วลงหรือไม่?
นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายน
2568
เหตุความสงบและคลื่นความรุนแรงถาโถมเข้าสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกครั้ง
ความขัดแย้งที่ไม่เคยจางหายกลับถูกตอกย้ำด้วยสถานการณ์น่าสะเทือนใจ ‘เหตุไม่สงบ’
เริ่มรุนแรงขึ้นจนเข้าขั้น ‘การก่อการร้าย’
โดยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเท่านั้น
แต่เสมือนว่าพุ่งเป้าไปที่พลเรือนและกลุ่มเปราะบาง
ที่ตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งที่ฝังลึก
🔴 เสียงปืนปะทุ คร่าผู้บริสุทธิ์
เมื่อวันที่
22 เมษายน 2568 ขณะที่รถกระบะของตำรวจอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา
นำพระภิกษุและสามเณรออกบิณฑบาต คนร้ายสองคนขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบ
ก่อนกราดยิงเข้ากระจกฝั่งซ้าย ทำให้สามเณรรูปหนึ่ง อายุ 16 ปี
มรณภาพขณะนำตัวส่งโรงพยาบาล และสามเณรรายอื่นได้รับบาดเจ็บอีก 5 รูป
ต่อมาเมื่อ
2 พฤษภาคม 2568 เกิดเหตุคนร้ายยิงประชาชนชาวไทยพุทธในพื้นที่อำเภอจะแนะ
และอำเภอตากใบ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวม 4 ราย และบาดเจ็บ 3 ราย
โดยในจำนวนผู้เสียชีวิตของเหตุการณ์ดังกล่าว มีหญิงชราอายุ 76 ปี
ซึ่งพิการทางสายตา และเด็กหญิงอายุเพียง 9 ขวบ รวมอยู่ด้วย
สถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรง
เมื่อมีรายงานการลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดสืบสวนคดีความมั่นคง
กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส เหตุเกิดบริเวณบ้านไอร์ซือเระ
ตำบลช้างเผือก อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บาดเจ็บ
จำนวน 3 ราย และต่อมาเจ้าหน้าที่ 1 รายได้เสียชีวิตลง
🔴 BRN ย้ำไม่มีนโยบาย ‘พุ่งเป้าพลเรือน’
ในวันที่
3 พฤษภาคม สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต
และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์
พร้อมทั้งยืนยันเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการที่จะดำเนินมาตรการทุกวิถีทางเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
“สมช.
ตระหนักดีว่า เพียงคำพูดไม่อาจทำให้บาดแผลที่เกิดขึ้นหายไป
แต่ขอให้คำมั่นว่าภาครัฐจะทำงานอย่างเต็มที่
เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างถึงที่สุด
และจะมุ่งผลักดันมาตรการคุ้มครองและปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างเต็มกำลังความสามารถ”
ส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุ
ในอีกด้านหนึ่ง
ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN) ซึ่งถูกเพ่งเล็งอย่างกว้างขวางว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น
ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการสูญเสียชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์
พร้อมทั้งยืนยันว่าเป้าหมายของการต่อสู้ของพวกเขา ไม่ใช่ การทำร้ายพลเรือน
“BRN ขอเน้นย้ำว่า เราไม่มีนโยบายโจมตีเป้าหมายพลเรือน
และยังคงยึดมั่นในหลักการของการต่อสู้ที่ให้เกียรติต่อชีวิต ศักดิ์ศรี
และสิทธิมนุษยชนของทุกฝ่าย
เป็นนโยบายการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรีของประชาชนมลายูปาตานี”
แถลงการณ์ของ
BRN
ยังระบุว่า
จะยึดมั่นในสิทธิแห่งการกำหนดอนาคตตนเองของประชาชนมลายูปาตานี
และจะเดินหน้าต่อสู้ต่อไปโดยเคารพหลักสิทธิมนุษยชนสากล
และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
มุ่งเน้นการสร้างพื้นที่ทางการเมืองที่ยุติธรรมและครอบคลุม
เพื่อให้ประชาชนสามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้โดยปราศจากการกดขี่จากรัฐไทย
🔴 พร้อมเจรจาใต้เงื่อนไข
รัฐไทยไม่แบ่งแยก
จากห่วงโซ่ของสถานการณ์ภาคใต้อันร้อนระอุ
รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ แพทองธาร ชินวัตร
กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากสังคมทุกภาคส่วน
โดยเฉพาะความคืบหน้าและประสิทธิภาพของกระบวนการเจรจาพูดคุยเพื่อสันติภาพ
ภูมิธรรม
เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ระบุถึงเงื่อนไขในการพูดคุยไว้ว่า “ต้องหยุดความรุนแรงจริงๆ ไม่ใช่เกมการเมือง”
รองนายกฯ
ย้ำว่าไทยยินดีที่จะเจรจาพูดคุยภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญไทย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐเป็นรัฐเดียวแบ่งแยกไม่ได้ ดังนั้น “การจะเจรจาเพื่อเป็นรัฐปาตานี
หรือรัฐอะไรก็ตาม เราไม่พร้อมเจรจาด้วย”
ขณะที่
พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
มองกรณีที่ผู้สูญเสียเป็นชาวไทยพุทธจำนวนมาก
ว่าขอให้มีการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของศาสนา
แต่การกระทำกับกลุ่มเปราะบางเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง พร้อมย้ำว่า
หลักการสูงสุดในการแก้ปัญหาคือ “ต้องเอาความปลอดภัยและอยู่ดีกินดีของประชาชนเป็นหลัก”
นอกจากนี้ภูมิธรรมฯ
ยังมอบหมาย พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
ซึ่งเคยเป็นรองผู้บัญชาการทหารบก และอดีตเลขา สมช.
ให้ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อพูดคุยกับแม่ทัพภาคที่ 4
และหน่วยงานในพื้นที่ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดการดำเนินการ ซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เป็นผู้รับผิดชอบ
สำหรับ
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลไม่สนับสนุนความรุนแรงทุกรูป
พร้อมมอบหมายรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้กำกับดูแลประเด็นนี้อย่างเข้มข้นแล้ว ทั้งนี้
ยังขอสื่อมวลชนช่วยในเรื่องแบ่งคำพูด เชื้อชาติ ศาสนา
เพราะทุกคนก็คือคนที่มีครอบครัว ไม่ควรมาแบ่งแยก และความรุนแรงก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น
ทุกชีวิตที่เสียไป มีคุณค่าและมีความหมายต้องช่วยกัน ทำความเข้าใจในเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม
บิดาของนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ได้แสดงออกถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีกับ อันวาร์
อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน
และความพร้อมที่จะร่วมมือกันขับเคลื่อนกระบวนการพูดคุยสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ซึ่งดูมีแนวโน้มดีขึ้น
ก่อนเหตุรุนแรงจะหวนมาปะทุหนักข้ออีกครั้งหลังเดือนรอมฎอนผ่านพ้นไป
🔴 ฝ่ายค้านชี้ ความรุนแรงจะตอกย้ำอคติ
ด้านพรรคประชาชน
แกนนำหลักของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ออกจดหมายเปิดผนึกในนามพรรค
ซึ่งแสดงออกถึงการสนับสนุนให้เปิดพื้นที่เพื่อเจรจา โดยในช่วงหนึ่งใช้คำว่า “ขบวนการที่คิดว่ากำลังต่อสู้เพื่อพี่น้องมลายูมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร องค์กรไหน”
พรรคประชาชนชี้ว่า
การสังหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักศาสนา กฎหมาย
และมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
อีกทั้งยังส่งผลร้ายแรงต่อการสร้างสันติภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่
ความรุนแรงต่อพลเรือนจะสร้างความเกลียดชังและอคติต่อชาวมลายูมุสลิม
บดบังความเข้าใจในความอยุติธรรมที่พวกเขาเคยได้รับ
ผลักสังคมไปสู่การตอบโต้ที่ไม่สิ้นสุด
และบ่อนทำลายความชอบธรรมทางการเมืองของการต่อสู้
“พรรคประชาชน
จึงเรียกร้องให้หยุดการสังหารพลเรือนโดยทันที
ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการพูดคุยสันติภาพ
และขบวนการต่อสู้ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองและแสดงความพร้อมที่จะใช้กระบวนการทางการเมืองในการแก้ไขปัญหา”
พรรคประชาชน
ยังมีความเห็นต่อรัฐบาลว่า
การที่ความรุนแรงปะทุขึ้นอีกครั้งอาจมีสาเหตุจากความไม่ชัดเจนในยุทธศาสตร์ของรัฐบาลเกี่ยวกับการสร้างความยุติธรรม
นิติรัฐ และสันติภาพ โดยเฉพาะการปล่อยให้กระบวนการพูดคุยหยุดชะงักไปเกือบ 1 ปี
พรรคประชาชนจึงเรียกร้องให้รัฐบาลกลับมาสานต่อกระบวนการพูดคุยโดยเร็ว
โดยต้องรับฟังเสียงประชาชนทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ
และจัดเวทีคู่ขนานเพื่อให้ทั้งชาวพุทธและมุสลิมมีส่วนร่วมและเป็นเจ้าของกระบวนการสันติภาพร่วมกัน
ขณะเดียวกัน กัณวีร์ สืบแสง สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ได้วิจารณ์ทั้งการดำเนินการที่เพิกเฉยของรัฐบาลไทย พร้อมประณามการกระทำของผู้ก่อเหตุร้าย ซึ่งหากเป็น BRN จริง กัณวีร์ชี้ว่า การสังหารผู้บริสุทธิ์คือการทำลายกระบวนการสันติภาพของกลุ่มที่อ้างว่าตนเองเป็นนักรบ จะยิ่งทำให้คนในพื้นที่ระแวง หวาดกลัว และจะไม่มีใครยอมรับ
“รัฐไทยก็ทำให้มืด คู่เจรจาอย่าง BRN ก็ทำให้มืด แล้วประชาชนเจ้าของพื้นที่ที่ต้องอยู่กับปัญหาทุกวัน จะหาแสงสว่างของสันติภาพได้จากไหน สถานการณ์มันกลายเป็นอาชญากรรมสงครามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” กัณวีร์ระบุในช่วงหนึ่ง
🔴 คนพื้นที่ประสานเสียง ต้องการเจรจา
ดร.ชญานิษฐ์
พูลยรัตน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้มุมมองว่า
การหยุดชะงักของกระบวนการเจรจาสันติภาพที่ยาวนานเกือบ 1 ปี
เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจนำไปสู่การปะทุของความรุนแรงระลอกใหม่ ข้อมูลจาก Deep South
Watch ที่แสดงให้เห็นถึงสถิติเหตุการณ์ความไม่สงบที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่มีการเริ่มต้นกระบวนการเจรจาในปี
2556 เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า
การพูดคุยเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการลดความรุนแรง
ดร.ชญานิษฐ์
ยังวิพากษ์วิจารณ์เงื่อนไขของรัฐบาลในการพูดคุยกับ ‘ตัวจริง’
ว่าเป็นอุปสรรคต่อการเริ่มต้นกระบวนการ
และตั้งคำถามถึงความพยายามของรัฐบาลในการทำความเข้าใจโครงสร้างและความซับซ้อนของกลุ่มต่างๆ
ในพื้นที่
นอกจากนี้เธอยังเตือนถึงอันตรายของกระแสการสร้างความเกลียดชังแบบเหมารวมต่อชาวมุสลิม
ซึ่งจะยิ่งทำให้สันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม
“ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น
หากยังไม่เกิดกระบวนการพูดคุยกันอีก
อาจแปลความได้ว่าทั้งรัฐบาลไทยและขบวนการติดอาวุธไม่ได้มีเจตจำนงที่จะสร้างสันติภาพอย่างแท้จริง
ผลคือความชอบธรรมของทั้งรัฐบาลและขบวนการจะลดลงเรื่อยๆ
และทั้งสองฝ่ายก็จะไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างที่พยายามกล่าวอ้างมาโดยตลอด
เพราะขณะนี้ประชาชนประสานเสียงต้องการให้เกิดการพูดคุย
ฉะนั้นการพูดคุยเร็วเท่าไหร่ยิ่งเป็นผลดีกับทุกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น”
นักวิชาการธรรมศาสตร์กล่าว
ดร.ชญานิษฐ์
ฯ กล่าวอีกว่า
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งเหตุการณ์ความรุนแรงต่อพลเรือนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น
ภาคประชาสังคมและประชาชนกลุ่มต่างๆ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ทั้งที่เป็นชาวมลายูและไทยพุทธ ต่างก็แสดงความต้องการไปในทิศทางเดียวกัน
คือเรียกร้องให้รัฐบาลและขบวนการกลับสู่กระบวนการเจรจาสันติภาพโดยเร็ว
ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้
โดยเครือข่ายวิชาการ PEACE
SURVEY นับตั้งแต่ปี 2559-2566 รวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง
โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นทั้งชาวมลายูและคนไทยพุทธ อายุ 18-70 ปี จำนวนรวมกว่า
10,581 คน ทั่วจังหวัดชายแดนภาคใต้
พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ในการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั้ง 7 ครั้ง
สนับสนุนให้ใช้การพูดคุยสันติภาพเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาความรุนแรง
และไม่เคยมีผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนครั้งใดเลยที่ได้รับคำตอบว่าสนับสนุนการพูดคุยสันติภาพน้อยกว่าร้อยละ
55
“ความไม่สงบจนเป็นผลให้มีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจำนวนไม่น้อยนั้นถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง
แม้ว่าหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าอาจจะเป็นการกระทำจากขบวนการ BRN แต่ล่าสุดขบวนการ BRN ก็ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อเหตุรุนแรงและยืนยันไม่มุ่งโจมตีพลเรือน
แม้ว่าการปะทุขึ้นของความรุนแรงในปี 2547
จะสามารถทำความเข้าใจได้ว่าเป็นผลมาจากประวัติศาสตร์และความรู้สึกที่ได้รับการกดขี่หรือถูกกระทำ
แต่ก็คงไม่มีเป้าหมายไหนจะสูงส่งพอที่จะอนุญาตให้คุณทำร้ายคนชรา เด็ก
และผู้พิการได้ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถยอมรับได้” ดร.ชญานิษฐ์ กล่าว
ทั้งนี้
แม้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนใต้
ในทางหนึ่งจะเป็นการต่อสู้กันทางอาวุธ
แต่ในอีกมุมก็ยังเป็นพื้นที่ของการต่อสู้ทางการเมืองด้วย
เพราะทั้งรัฐไทยและขบวนการติดอาวุธ
ต่างฝ่ายต่างก็ต้องพยายามช่วงชิงความชอบธรรมระหว่างกันด้วย ส่วนตัวมองว่า “การที่ขบวนการติดอาวุธทำเช่นนี้
ย่อมส่งผลให้ตัวขบวนการฯ ต้องสูญเสียความชอบธรรมทางการเมืองไป
ถือเป็นความพ่ายแพ้ทางการเมืองอย่างสำคัญ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น