เลขาฯ
องค์การสันนิบาตมุสลิมโลกชื่นชม สังคมพหุวัฒนธรรม ของไทย
พร้อมสนับสนุน-ช่วยเหลือ
การแก้ปัญหาชายแดนใต้ ย้ำ “ความเอื้ออาทร คือเกราะป้องกันความเกลียดชังอิสลาม”
ดร.มุฮัมมัด
บิน อับดุลกะรีม อัลอีซา มีการกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในโอกาสเรื่อง ความความเอื้ออาทรระหว่างศาสนากับการสร้างสัมพันธภาพ(เป็นภาษาอาหรับ)
ขณะที่ ผศ.ดร.อับดุลลอฮฺ หนุ่มสุข
ประธานคณะทำงานตรวจร่างสำนวนคำวินิจฉัย(ฟัตวา)จุฬาราชมนตรี ได้ถอดความ และสรุปเนื้อหา
มีใจความว่า “การเปิดใจ การยอมรับความเป็นอื่น(ความแตกต่าง) หากว่าเรายังไม่ยอมรับ
การสร้างสะพานการสร้างความสมานฉันท์ สะพานของการสร้างสัมพันธภาพ ในบรรยากาศการอยู่ร่วมกันในประเทศไทยที่เป็นพหุวัฒนธรรมก็จะไม่เกิดขึ้น
นอกจากนี้การมีใจกว้าง
ยอมรับในความต่างของเพื่อนต่างศาสนิกของเรา
จะนำมาสู่การสร้างสะพานจะนำไปสู่การปฏิสัมพันธ์ การพูดคุย
สร้างความเข้าใจเพื่อนำไปสู่การอยู่อย่างสันติ
ซึ่งท่านเน้นย้ำว่าการเปิดใจกว้างจะต้องเป็นภาพของการปฏิบัติตามแบบอย่างสวยงามของท่านนบีมุฮัมหมัด
(ซ.ล.)
ท่านยกตัวอย่าง
ธรรมนูญมะดีนะฮฺ
ธรรมนูญแห่งประวัติศาสตร์ในสมัยการปกครองของท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ.ล.) ที่ให้สิทธิ
เสรีภาพในการนับถือศาสนา และการเป็นพลเมืองกับทุกคนในเมืองมะดีนะฮฺ
ต้องปกป้องผลประโยชน์ร่วมกันในความหลากหลาย คำกล่าวของอัลลอฮฺที่ว่า
“ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนา” จะต้องยอมรับในการมีอยู่ของศาสนา
คำตอบของท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ.ล.)
เมื่อถูกถามว่า อีหม่านแบบไหนที่ดีที่สุด ซึ่งท่านบีตอบว่า
1.
การอดทน
2.
การมีใจเผื่อแผ่ เมตตา เอื้ออาทร คำสอนของอิสลามในการอยู่ร่วมกับพี่น้องต่างศาสนิก
มุสลิมจะต้องให้ความสำคัญในบริบทปัจจุบัน
อีกประเด็นที่สำคัญคือ
การออกคำวินิจฉัยข้อกำหนดในการปฏิบัติศาสนกิจต่างๆ ต้องคำนึงถึงบริบท สถานที่
และเวลา ซึ่งคำวินิจฉัยหนึ่งนั้นไม่สามารถใช้ได้กับมุสลิมทั่วโลก
เราจะต้องให้ความสนใจและให้ความสำคัญ
และนี่คือสิ่งที่จะนำมาในการแก้ไขปัญหาสังคมในการอยู่ร่วมกัน
สุดท้ายท่านชื่นชมในการตื่นตัวของพี่น้องมุสลิมไทยในการที่จะเป็นต้นแบบ
ตัวอย่างที่ดีในการสร้างความสมานฉันท์ ความสงบ ร่มเย็น เพื่อเป็นเกราะป้องกัน ในการเผชิญหน้ากระแสความสุดโต่ง
ความเกลียดกลัว ความเกลียดชังอิสลาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น