ความเป็นไทยในกรอบแห่งอิสลาม
คนไทย
หมายถึงคนที่อาศัยอยู่ในดินแดน ที่เรียกว่าประเทศไทย
เป็นประชาชนคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้กฎหมาย ซึ่งบังคับใช้ในรัฐไทย
คนไทยอาจนับถือศาสนาต่างกันได้ อันเป็นที่มาของความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมในประทศไทย
ซึ่งรัฐธรรมนูญของไทยทุกฉบับก็ได้รับรองสิทธิและเสรีภาพนี้ไว้เช่นกัน
ความเป็นไทย
จึงมิได้หมายถึงคนชาติพันธุ์หนึ่ง หรือ นับถือศาสนาหนึ่ง หรือใช้ภาษาหนึ่ง
เป็นการเฉพาะ แต่หมายรวมถึงทุกชาติพันธุ์ ทุกศาสนา และทุกภาษา
ที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ภายใต้การปกครองและบูรณาการแห่งดินแดนของประเทศไทย
การชี้เฉพาะว่า คนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเท่านั้นที่เป็นคนไทย เช่น
เฉพาะคนชาติพันธุ์ไทย หรือเฉพาะคนที่นับถือศาสนาพุทธหรือเฉพาะคนที่พูดภาษาไทย
ก่อให้เกิดอคติต่อคนชาติพันธุ์อื่น ศาสนาอื่น และคนที่พูดภาษาอื่น
นำมาซึ่งความขุ่นข้องบาดหมางระหว่างคนไทยกันเอง และเป็นภัยร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศ
ถือเป็นความคิดชาตินิยมตกขอบ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการอยู่ร่วมกันของคนในชาติ
ความเป็นมุสลิม
มุสลิม
คือผู้ที่เชื่อและศรัทธาว่า พระเจ้าที่แท้ของมนุษย์และทุกสรรพสิ่งในจักรวาล
มีเพียงพระองค์เดียว คือ อัลเลาะห์ (ซุบบาฮานะฮุวะตาอาลา)
และเชื่อว่าศาสนฑูตมูฮัมมัด เป็นผู้ซึ่งพระองค์ทรงส่งมา เพื่อเป็นเมตตาธรรมแก่มนุษย์ชาติทั้งหลาย
ความเชื่อมั่นศรัทธาต่อเอกภาพแห่งอัลเลาะห์ พระผู้เป็นเจ้าหมายถึง
การยอมรับต่อการรังสรรค์ของพระองค์ ซึ่งการรังสรรค์นี้มีความละเอียดงดงาม
ทั้งประกอบไปด้วยความหลากหลายอย่างยิ่ง และทุกสิ่งก็สะท้อนพระพลานุภาพแห่งอัลเลาะห์
อย่างชัดเจน มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในดินแดนต่าง ๆ ก็มีความหลากหลายทั้งทางชาติพันธุ์
สีผิว และภาษา ความหลากหลายเหล่านี้ถือเป็นพระประสงค์แห่งอัลเลาะห์เจ้า
ซึ่งมนุษย์ทุกคนโดยเฉพาะที่เป็นมุสลิม ต้องน้อมยอมรับ
และการสร้างความแตกต่างในหมู่มนุษย์เช่นนี้
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้มนุษย์ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน
ทั้งยังสามารถแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ต่าง ๆ กันได้
มิใช่เพื่อให้คนเรานำมาเป็นเครื่องอวดข่มกันและกันแต่อย่างใด
พระดำรัสในเรื่องนี้ปรากฏในซูรอฮฺ อัลหุญูรอจ
อายะฮฺ ที่ ๑๓ ความว่า “มนุษย์ทั้งหลาย เราสร้างพวกเจ้ามาจากชายหนึ่ง
หญิงหนึ่ง และให้พวกเจ้าแตกกอต่อยอดออกไปเป็นกลุ่มชนและเผ่าพันธุ์นานา
เพื่อพวกเจ้าจะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน แท้จริงผู้ที่ประเสริฐสูงสุดในหมู่พวกเจ้า
ณ อัลเลาะห์ คือผู้ที่มีความยำเกรงสูงสุด และอัลเลาะห์นั้นทรงรู้ดียิ่ง
ทรงเชี่ยวชาญยิ่ง”
เมื่ออิสลามเป็นศาสนาเพื่อมนุษย์ชาติ
อันเต็มไปด้วยความหลากหลาย มุสลิม จึงต้องเป็นคนที่พร้อมยอมรับความหลากหลายเหล่านั้น
โดยไม่ถือเอาชาติพันธุ์หรือวงศ์ตระกูลมาเป็นเกณฑ์ในการตีค่าของคน
แต่ยินดีที่จะนำอิสลาม ซึ่งถือว่ามีค่าที่สุดมอบแก่เพื่อนมนุษย์โดยไม่เลือกสีผิว
เผ่าพันธุ์หรือภาษา
โดยนัยนี้อิสลามและความเป็นมุสลิม
จึงอยู่โพ้นพรมแดนทางภูมิศาสตร์ที่เป็นแบ่งเขตแดนระหว่างประเทศ
อิสลามเป็นสิ่งที่กำหนดโดยอัลเลาะห์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งอยู่เหนือมิติของรัฐชาติ
ขณะที่รัฐชาติยกย่องตนเอง และดูแคลนชาติพันธุ์อื่น
ความเป็นไทย
จึงมิได้ขัดแย้งกับความเป็นมุสลิม เพราะความเป็นไทยเพียงแค่บ่งบอกว่า
เราเป็นคนถือสัญชาติไทย อยู่ในประเทศไทย ความรักและภักดีต่อประเทศไทย
ก็เป็นไปตามธรรมชาติของมนุษย์ที่ย่อมผูกพันกับแผ่นดินถิ่นเกิด
และจะไม่กลายเป็นสิ่งต้องห้าม หากความรักและภักดีนั้น ไม่นำไปสู่การปฏิบัติอันขัดแย้งกับหลักธรรมของอิสลาม
เนื่องจากมุสลิมต้องเทิดอิสลามเหนือสิ่งอื่นใด ด้วยว่าอิสลามคือเป้าหมายอันเป็น
นิรันดร์ ขณะที่ประเทศทุกประเทศมีขึ้นและเสื่อมลงเป็นสัจธรรม
ขนบธรรมเนียม
ประเพณีและวัฒนธรรมไทยกับความเป็นมุสลิม
วัฒนธรรมเป็นวิถีชีวิต
ที่กำเนิดมาจากแนวคิดในการมองโลกมองชีวิตแบบหนึ่ง
โดยเชื่อว่าการดำเนินชีวิตเช่นนั้น
เป็นสิ่งที่จะทำให้ตนสามารถดำรงอยู่ในสังคมได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี
วัฒนธรรมจึงผูกติดกับความคิดและความเชื่ออย่างแยกไม่ออก
วัฒนธรรมอิสลามก็เป็นวัฒนธรรมของมุสลิม ซึ่งก่อเกิดจากความเชื่อถือศรัทธาต่ออัลเลาะห์พระผู้เป็นเจ้า
กลายเป็นวิถีที่มีอัตลักษณ์ของตนเองและครอบคลุมทุกมิติของการดำเนินชีวิต
วัฒนธรรมอิสลามมีความเชื่อและหลักปฏิบัติพื้นฐานที่เป็นสากล
จึงเหมาะสมแก่คนทุกชาติ ทุกภาษา ขณะเดียวกันอิสลามก็เปิดโอกาสให้วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นดำรงอยู่ได้
หากวัฒนธรรมนั้นไม่มีความขัดแย้งกับหลักความศรัทธาอันเป็นพื้นฐาน
โดยนัยนี้
มุสลิมไทยจึงสามารถปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมประเพณีของไทยได้
ในส่วนที่ไม่ขัดแย้งกับหลักศรัทธาของอิสลาม ทั้งนี้
พึงเข้าใจว่าวัฒนธรรมไทยก่อเกิดจากความคิดความเชื่อของคนไทยส่วนใหญ่
ซึ่งต่างไปจากความศรัทธาแบบอิสลาม ที่งอกเงยจากความเชื่อในเอกภาพแห่งอัลเลาะห์พระผู้เป็นเจ้า
แต่แม้จะมีความแตกต่างอิสลามก็ไม่ได้สอนให้มุสลิมมีความรังเกียจเดียดฉันท์พี่น้องร่วมชาติ
เนื่องจากถือว่าบุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในการนับถือศรัทธาต่อสิ่งที่ตนยึดมั่น
และย่อมมีเสรีภาพที่จะปฏิบัติตามความเชื่อถือศรัทธาของตนได้ สิ่งที่มุสลิมพึงกระทำก็คือหยิบยื่นไมตรีจิต
มิตรภาพ และให้พี่น้องร่วมชาติได้เข้าใจว่าอิสลามสอนอะไร
ทั้งนี้เพื่อขจัดอคติอันอาจเกิดจากสื่อสารมวลชนบางกลุ่มที่ไม่เข้าใจอิสลามอย่างดีพอ
ส่วนการดำรงตนเยี่ยงคนไทย
โดยใช้วัฒนธรรมไทยที่ไม่ขัดแย้งกับหลักศาสนาย่อมเป็นสิ่งที่พึงกระทำ
เพราะจะเป็นสิ่งที่สะท้อนความเป็นมุสลิมในประเทศไทย
และยังช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างพี่น้องร่วมชาติอีกด้วย เช่น
การใช้ภาษาไทยตามขนบธรรมเนียมของไทย การทักทาย
การปฏิบัติตามธรรมเนียมไทยที่ไม่มีลักษณะตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ เป็นต้น
วัฒนธรรมไทยแต่เดิมมา
มีน้ำจิตน้ำใจและยอมรับความแตกต่างของสมาชิกร่วมสังคม
จึงทำให้การอยู่ร่วมกันของประชาชนเป็นไปอย่างสันติ
แต่ปัจจุบันประเทศไทยตกอยู่ในกระแสโลกาภิวัฒน์ทุนนิยม ซึ่งแปรทุกอย่างเป็นสินค้า
รวมถึงวัฒนธรรมด้วย ทำให้วัฒนธรรมการดำเนินชีวิตของคนไทยแปรเปลี่ยนไป
ขณะรับฟังข่าวสารในโลกกว้างมากขึ้น
แต่วิถีชีวิตกลับคับแคบลง การให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับมูลค่าทางวัตถุ
ทำให้ผู้คนละเลยคุณค่าของจิตใจภายใน จนในที่สุดก็ละเลยประเพณีต่าง ๆ
ที่แสดงถึงความสำคัญของคุณค่าเหล่านั้น
ประเพณีที่ปฏิบัติกันอยู่จึงไม่ได้เป็นวิถีชีวิตอีกต่อไป
แต่เป็นสิ่งที่อนุรักษ์และปฏิบัติกันในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อดึงดูดเงินตราซึ่งก็คือ
ทำให้ประเพณีเป็นสินค้านั้นเอง
สำหรับมุสลิม
วัฒนธรรมและประเพณีต่าง ๆ ต้องเป็นวิถีชีวิต มิใช่สิ่งที่เอามาปฏิบัติกันแค่ช่วงเวลาหนึ่ง
แล้วหลังจากนั้นก็ดำเนินชีวิตไปโดยขัดแย้งกับคุณค่าที่ประเพณีนั้นมุ่งสั่งสอน
หากมุสลิมคนหนึ่งดำเนินชีวิตโดยขัดแย้งกับวัฒนธรรม ที่มาจากคำสอนแห่งอิสลามย่อมกล่าวได้ว่า
มุสลิมนั้นไม่ได้มีความศรัทธาต่ออัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง.
ด้วยเหตุที่วัฒนธรรมอิสลามกำเนิดจากความศรัทธาต่ออัลเลาะห์พระผู้เป็นเจ้านี้เอง
การปฏิสัมพันธ์ข้ามวัฒนธรรมระหว่างมุสลิมกับศาสนิกอื่น
จึงอยู่ในขอบเขตความศรัทธานั้น กล่าวคือ
มุสลิมสามารถที่จะปฏิบัติตนตามประเพณีใด ๆ ก็ได้
ตราบที่ประเพณีนั้นไม่มีลักษณะขัดแย้งกับความศรัทธาและหลักธรรมคำสอนของอัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้า
เนื่องจากอิสลามมิได้มีเป้าหมายอยู่ที่การทำลายล้างประเพณีหนึ่งประเพณีใด
แต่มีเป้าหมายให้มนุษย์ได้รู้จักและศรัทธาต่ออัลเลาะห์ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงเอกะ
ไม่มีภาคีใดร่วมกับพระองค์ในการรังสรรค์และการจัดการกับสรรพสิ่งในจักรวาล
อีกทั้งให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์บนความศรัทธามั่นว่า
สิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติให้ปฏิบัติย่อมดีที่สุดสำหรับมนุษย์
และสิ่งใดที่ทรงบัญญัติห้ามปฏิบัติสิ่งนั้นย่อมเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายแก่มนุษย์เอง
ความเชื่อมั่นว่าอัลเลาะห์ทรงเมตตาต่อมวลมนุษย์
และทรงประทานสิ่งที่ดีที่สุดมาให้
คือบ่อเกิดของวัฒนธรรมการดะวะฮฺหรือการเรียกร้องเชิญชวนสู่อิสลาม
อันเป็นวัฒนธรรมที่ผลักดันให้มุสลิมต้องมีปฏิสัมพันธ์อันดีกับพี่น้องต่างวัฒนธรรม
ไม่ใช่การปฏิสัมพันธ์บนฐานความเกลียดชังและความไร้น้ำใจ
ทั้งนี้เพราะอิสลามถูกส่งมาเพื่อเป็นเมตตาธรรมแก่มนุษย์ชาติ
มิใช่เพื่อการพิฆาตเข่นฆ่า ดังความปรากฏในซูรอฮฺ อัลอัมบิยะฮฺ อายะฮฺ ๑๐๗ ความว่า “เรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่อการอื่นใด
เพียงแต่เป็นเมตตาธรรมต่อโลกทั้งมวล”
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับต่างศาสนิก
จึงต้องเป็นไปด้วยไมตรีเสมอ ยกเว้นเมื่อเผชิญการรุกรานทางวัฒนธรรม
2 รูปแบบที่ปรากฏในซูรอฮฺ อัลมุมตะหินะฮฺ อายะฮฺที่ ๘ ความว่า “อัลเลาะห์ไม่ทรงห้ามพวกเจ้า
ในอันที่จะทำดีและมีความเป็นธรรมต่อบรรดาผู้คน ซึ่งมิได้ทำสงครามทำลายศาสนาของพวกเจ้า
อีกทั้งมิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากถิ่นฐานบ้านเรือนของพวกเจ้า แท้จริงอัลเลาะห์ทรงรักผู้มีความเป็นธรรม”
มารยาทไทยกับมารยาทของความเป็นมุสลิม
มารยาทเปรียบได้ดั่งสีหรือสิ่งปรุงแต่งต่าง
ๆ มารยาทช่วยร้อยรัดความสัมพันธ์ของบุคคลกับสิ่งที่เขาปฏิสัมพันธ์ด้วยให้แนบแน่นมั่นคงได้
เมื่อคนเรามีความจำเป็นต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยธรรมชาติ
จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่คนทุกคนรักให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตนด้วยมารยาทอันดีงาม
และมีความไม่พึงพอใจหากได้รับการปฏิบัติอย่างหยาบคายไร้มารยาท
มารยาทเป็นสิ่งที่สามารถสะท้อนวัฒนธรรมของกลุ่มชนแต่ละกลุ่มได้
เพราะวัฒนธรรมเป็นตัวหล่อหลอมมารยาทของผู้คน ในวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
จึงอาจทำให้คนเรามองมารยาทต่างกันไปด้วย
การกระทำบางอย่างอาจถือเป็นมารยาทในวัฒนธรรมหนึ่ง
แต่อาจเป็นเรื่องร้ายแรงในอีกวัฒนธรรมหนึ่งได้ เช่น
วัฒนธรรมการกราบของพุทธศาสนิกชนไทย หากให้มุสลิมปฏิบัติย่อมถือเป็นเรื่องร้ายแรง
เพราะอิสลามถือว่าการกราบเป็นสิ่งที่มนุษย์พึงปฏิบัติต่ออัลเลาะห์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
การกราบมนุษย์เท่ากับยกย่องมนุษย์กันเองจนสูงส่งเทียบเคียงพระผู้ป็นเจ้า (ชีริก)
ซึ่งถือเป็นบาปใหญ่ที่สุด
กระนั้นก็ตามแม้จะต่างมุมมองจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมเช่นนั้น
แต่ทั้งสองศาสนาก็มีจุดร่วมกันคือ เห็นว่าการเคารพผู้ใหญ่เกรงใจคนดี
ปราณีต่อผู้น้อย เป็นมารยาทที่บุคคลพึงมี
แต่ในทางปฏิบัติมีรูปแบบที่ต่างกันตามการหล่อหลอมของแต่ละวัฒนธรรม
ซึ่งผู้คนที่อยู่ร่วมกันพึงเข้าใจกันและกันด้วยดี
โดยคำนึงถึงจุดร่วมที่คนต่างศาสนาสามารถปฏิบัติร่วมกันให้มาก
แล้วสงวนจุดต่างให้เป็นเสรีภาพที่แต่ละศาสนิกจะดำเนินการตามความเชื่อศรัทธาแห่งตน
อย่างไรก็ตาม
ในส่วนของมุสลิม การแสดงมารยาทถือเป็นสิ่งวาญิบ(จำเป็น) ไม่ว่าจะกับมุสลิมด้วยกันหรือกับต่างศาสนิก
ทั้งนี้เพราะมารยาทคือ ดอกผลอันงามของความศรัทธา กล่าวคือ ความศรัทธา ที่แท้ย่อมผลิตอกออกผลเป็นมารยาทอันประเสริฐ
นับตั้งแต่การมีมารยาทกับอัลเลาะห์
พระผู้เป็นเจ้า ในยามประกอบอิบาดะฮฺ
รวมทั้งทุกโมงยามที่บุคคลยังต้องใช้ทรัพยากรและบริโภคปัจจัยต่าง ๆ
ที่พระองค์ทรงประทานให้ การกินอยู่หลับนอนของคนเราจึงต้องกระทำด้วยความรำลึกต่อพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระองค์อยู่เป็นนิจ
ด้วยการบริโภคสิ่งที่ฮาลาล ละเว้นสิ่งที่หะรอม
บริโภคแต่พอควรและรู้จักแบ่งปันแก่ผู้อื่น
อีกทั้งรู้จักรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยทั้งในชีวิตส่วนตัวและส่วนรวม
เป็นต้น
ความศรัทธาและความยำเกรงในอัลเลาะห์
ยังส่งผลให้มุสลิมต้องมีมารยาทต่อเพื่อนมนุษย์ด้วย ตั้งแต่การมีน้ำใจต่อผู้อื่น
การไม่เบียดเบียนทำร้ายกัน ไม่ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน ไม่นินทาว่าร้าย
รักษาคำมั่นสัญญา และเคารพในสิทธิหน้าที่ของกันและกัน เป็นต้น
ทั้งนี้
อัลเลาะห์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสถึงมารยาทที่มุสลิมพึงแสดงออกไว้ในหลายที่ทางในอัลกุรอาน
เช่นความจากซูรอฮฺ อัลมาอิดะฮฺ อายะฮ์ที่ 2 “จงช่วยเหลือกันและกันในเรื่องความดีและความยำเกรง
และจงอย่าช่วยเหลือกันในเรื่องความชั่ว และความเป็นอริบาดหมาง”
หรือความจากซูรอฮฺ อัลหุญุรอต อายะฮฺที่ 11 “โอผู้ศรัทธาทั้งหลาย
กลุ่มชนหนึ่งอย่าได้ดูหมิ่นชนอีกกลุ่ม
บางทีกลุ่มที่ถูกหมิ่นหยามอาจดีกว่ากลุ่มที่ทำการนั้นต่อสตรีด้วยดัน
เพราะสตรีที่ถูกดูหมิ่นอาจดีกว่าคนที่ทำการดูหมิ่นเสียอีกก็ได้ อย่าได้ใส่ร้ายป้ายสีกัน อย่าได้ตั้งฉายาเพื่อล้อลามหยามหยาบกัน
อันชื่อที่เลวมากคือชื่อที่สะท้อนการละเมิด หลังจากที่มีความศรัทธาแล้ว
ผู้ใดไม่กลับตัว ผู้นั้นย่อมเป็นคนอธรรม”
ด้วยเหตุที่มารยาทเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เช่นนี้เอง
บรมศาสนฑูตมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ) จึงได้กล่าวไว้ ความว่า “แท้จริง
ฉันถูกตั้งเป็นศาสดา เพื่อทำให้มารยาทอันประเสริฐทั้งหลายมีความสมบูรณ์”
(หะดิษบันทึกในมุวัตเฏาะของอิหม่ามมาลิก)
About author : Wisoot
Binlateh
ประธานฝ่ายวิชาการและการศึกษาสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น