วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

จากภาพถ่าย สู่งานศิลป์สายสัมพันธ 2 ศาสนิก

จากภาพถ่ายสู่งานศิลป์...สัมพันธภาพ 2 ศาสนิก ณ สถานีรถไฟยะลา

เมื่อต้นเดือน เม.ย.2559 (ที่ผ่านมา) ได้มีการแชร์ภาพประทับใจในโลกออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เป็นภาพชายหนุ่มมุสลิม 2 คนกำลังช่วยพระสงฆ์รูปหนึ่ง ถือถุงย่ามสัมภาระขึ้นรถไฟที่สถานียะลา มุ่งหน้าไปยังสถานีสุไหงโก-ลก ฯ

เป็นการแชร์ภาพท่ามกลางกระแสความหวาดระแวง แตกแยก แบ่งฝ่ายระหว่างคนพุทธกับพี่น้องมุสลิมทั้งในและนอก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นกระแสที่กำลังลุกลามออกไป เกิดขึ้นทั้งจากความจงใจ เข้าใจผิด และรู้เท่าไม่ถึงการณ์

แต่ภาพถ่ายทั้งชุดจำนวน 6 ภาพ ช่วยทำหน้าที่ยืนยันว่า สถานการณ์ในพื้นที่ปลายด้ามขวานไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

ผ่านมาเกือบ 9 ปี ภาพถ่ายชุดนี้ ได้แปรมาเป็นภาพศิลปะแนว stencil art บนผนังขนาดใหญ่ของสถานีรถไฟยะลา ในเขตเทศบาลนครยะลา ใช้ชื่อว่า peace begins with you หรือ พลังสันติภาพอยู่ในมือคุณ

Stencil art คือการรังสรรค์งานศิลปะจากการพ่นผนังด้วยสีสเปรย์ โดยมีบล็อกกั้นสีที่ออกแบบเป็นลายฉลุบนแผ่นพลาสติกหรือกระดาษแข็ง ถือเป็นศิลปะข้างถนน หรือ Street art แขนงหนึ่ง

ภาพศิลปะชิ้นนี้ สร้างสรรค์โดยกลุ่มศิลปินจิตอาสา นำโดย นายเพาซี พะยิง และนายสุไลมาน ยาโม ศิลปินจากจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ "กลุ่มเฌอบูโด" โดยมีเป้าหมาย เพื่อสื่อและสะท้อนถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมที่อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข รวมทั้งการช่วยเหลือเอื้ออาทรกันในการใช้บริการรถไฟ

มุสลิมกับหลวงพ่อ ณ สถานีรถไฟยะลา กลายเป็นภาพต้นฉบับของงานศิลปะบนผนังสถานีรถไฟยะลา ที่ได้มีชาวจังหวัดยะลา ถ่ายบันทึกจากเหตุการณ์จริง เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2559 ขณะที่ชายหนุ่มมุสลิม 2 คน กำลังช่วยกันหิ้วสัมภาระและถือย่าม ให้พระภิกษุ ขณะกำลังจะโดยสารรถไฟที่สถานียะลา

"ความรู้สึกที่มีต่อภาพนี้คือชื่นใจมาก จึงอดไม่ได้ ที่จะยกไอแพด ขึ้นมาถ่ายไว้ในทุกอิริยาบถของการปฏิบัติต่อกันระหว่างน้องๆ มุสลิมกับหลวงพ่อ ซึ่งเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติมากๆ หลวงพ่อมาถึงสถานีรถไฟ ด้วยรถแท็กซี่พร้อมสัมภาระพะรุงพะรังมากมายหลายย่าม เกินกว่าที่ท่านจะหอบหิ้วด้วยสองมือของท่านได้ แต่สัมภาระเหล่านั้นก็ไม่เกิดปัญหาเลย เมื่อท่านจะขึ้นรถไฟไปต่อยังจุดหมายปลายทางของท่าน...มันไหลลื่นไป ไม่มีแม้แต่คำขอร้องให้ช่วย"

"น้องๆ มุสลิม 2 คนนี้ นอกจากของส่วนตัวของตนเองแล้ว เขายังยื่นมือออกมาหยิบฉวยสารพัดย่ามของหลวงพ่อไว้ได้จนหมด แล้วคอยดูแลให้หลวงพ่อได้ขึ้นรถไฟไปก่อนจนเรียบร้อย แล้วจึงค่อยขึ้นตามไป มันงดงามมาก ชื่นใจ สุขใจ อยากให้คนทั้งโลกเห็นภาพนี้ด้วยว่าเราอยู่ด้วยกันแบบนี้จริงๆ"

พร้อมบรรยายความรู้สึกว่า "พระคุณเจ้าจะขึ้นรถไฟไปไหนไม่ทราบ... แต่เห็นกับตา คือมีน้องๆ วัยรุ่นมุสลิม 2-3 คนช่วยกันหอบหิ้วย่ามให้พระคุณเจ้าอย่างน่ารักที่สุด ยะลาบ้านฉันยังคงงดงามเสมอด้วยมิตรภาพ..."

แง่งามของความต่าง "พื้นที่ของเราไม่ได้เป็นไปตามที่เขาเล่าว่า หรือที่มีกระแส หรือข่าวลือต่างๆ ในทางที่เป็นความแตกแยก ทุกอย่างที่เป็นประเด็นของสถานการณ์ความรุนแรง พวกเราล้วนรับและยอมจำนนกันตลอดมาต่อประเด็นที่ถูกจัดใส่ลงมาในผู้คนหรือพื้นที่ของพี่น้องมุสลิม...ใครจะสร้างอะไรที่เป็นประเด็นขึ้นมาอย่างไร แต่โดยเนื้อแท้แล้ว เรามีมิตรภาพที่ดีงามต่อกันตลอดมาและตลอดไป ขอให้มีภาพแบบนี้เกิดขึ้นทุกวัน และภาพความรุนแรงจงหมดไปจริงๆ เสียที"

มุมเล็กๆ ที่มีพลัง นายเพาซี ฯ ศิลปินผู้รังสรรค์ภาพนี้ เล่าถึงที่มาของภาพและแรงบันดาลใจ ที่ทำให้เขาตัดสินใจสร้างสรรค์งานศิลปะชิ้นสำคัญ

ผมได้ภาพต้นฉบับ จากการโพสต์แชร์ในโซเชียลมีเดีย เหตุการณ์การเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เรื่องราวในมุมเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของพื้นที่ชายแดนใต้ ขอบคุณภาพถ่ายต้นฉบับ ภาพน้องๆ วัยรุ่นมุสลิม 2 คน ช่วยถือย่ามให้พระสงฆ์ขึ้นรถไฟ ได้เห็นภาพชุดนี้แล้วมันติดตามาก ได้อารมณ์ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ เหมือนมีพลังบางอย่างในมุมนั้น ถึงแม้ว่ามีผู้คนเดินไปมาอย่างขวักไขว่ แต่ภาพนี้มันสะกดนิ่งในสายตาเรา เป็นแรงบันดาลใจ

ผมเชื่อว่าศิลปะสามารถเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนได้ ภาพบางภาพสามารถสะกดจิตใจของคนได้ ยิ่งภาพมีที่มาที่ไป ประกอบกับบริบททางสังคมที่บางคนมองอีกแบบ อย่างชายแดนใต้ หลายคนมองว่าเรามีความหวาดระแวงต่อกันระหว่างไทยพุทธ-มุสลิม แต่ภาพนี้ เป็นตัวชี้วัดอย่างชัดเจนว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น วิถีชีวิตปกติบ้านเราก็เป็นอย่างนั้น แค่ไม่มีหลักฐานยืนยันปรากฏให้เห็นได้ชัด

บังเซ็ง ปั่นสามล้อส่งพระ เป็นเรื่องราวแง่งามของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังมีอีกมากมาย แต่ไม่ค่อยแพร่กระจายผ่านสื่อ...

นายเจะโก๊ะ อาแซ ชาวปัตตานี เล่าว่า สิ่งดีๆ ยังเกิดขึ้นในพื้นที่ นอกจากภาพหนุ่มมุสลิมช่วยถือของให้พระแล้ว ยังมีเรื่องของ "บังเซ็ง" หรือ นายอุเซ็ง แวหลง อายุ 79 ปี คอยปั่นจักรยานสามล้อรับส่ง พระวีระ จิตตธัมโม หรือ หลวงตาวีระ อายุ 75 ปี จากวัดตานีนรสโมสร หรือวัดกลาง ออกบิณฑบาตในเมืองปัตตานีด้วย

"เรายังสามารถอยู่ร่วมกันได้แม้จะมีคนไม่ดีพยายามมาสร้างความแตกแยก ทำให้เกิดความรุนแรงในพื้นที่ แต่เรายังรักกันทุกวัน ยังพึ่งพากันเหมือนอดีต" เจะโก๊ะ บอก

ขณะที่ นางดวงใจ แก้วมีนี ชาวปัตตานี เช่นกันยอมรับว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทำให้มีความหวาดระแวงระหว่างกัน แต่เรายังอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ ยังพึ่งพากันอยู่

มันอยู่ที่ว่าเราจะมองมุมไหน มุมที่อยู่อย่างพึ่งพาก็ยังเกิดขึ้นจริงในพื้นที่ ส่วนมุมที่ระแวงกัน สร้างความหวาดกลัวกันก็มีจริง ปัญหาคือเราต้องยอมรับร่วมกัน และหากทางแก้ไขมัน เพื่อให้เกิดความสงบสุขเหมือนในอดีตที่เป็นมา

และนั่นคือทางออกของสัมพันธภาพแห่งผู้คนที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ เพิ่มอีก...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น