‘ปัตตานี’
อยู่ภายใต้การปกครองของสยามอย่างถูกต้องมาแต่โบราณ
ทุกวันนี้มักจะมีคนชอบออกมาให้ข้อมูลว่าในสมัยก่อนเมืองปัตตานีเป็นอิสระไม่ขึ้นตรงกับสยาม
จนมาถึงช่วงปฏิรูปประเทศสมัยรัชกาลที่ 5
ตอนที่มีการทำสนธิสัญญาแองโกล-สยาม ในปี ค.ศ. 1909 (2452) ที่สยามได้ยก
ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส ให้กับอังกฤษ
และให้อังกฤษรับรองอธิปไตยของสยามเหนือปัตตานี ทำให้ปัตตานีตกอยู่ภายใต้อำนาจของสยามตั้งแต่นั้นมา
รู้ไหมครับว่านี่เป็น
“ข้อมูลเท็จ” ทางประวัติศาสตร์ ที่คนบางกลุ่มพยายามสร้างขึ้น
และพยายามโจมตีด้วยว่าเป็นการล่าอาณานิคมภายในของสยามในสมัยรัชกาลที่ 5
เพราะตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์
ปัตตานีอยู่ภายใต้การปกครองของสยามมาแต่โบราณแล้ว ซึ่งวันนี้ จะขอนำเสนอในประเด็นดังกล่าว
รวมถึงเรื่องที่ว่า ทำไมสยาม จึงไม่ปล่อยให้ปัตตานีไปอยู่กับอังกฤษ
เหตุผลที่ว่า
ทำไมสยาม ยอมเสียไทรบุรี ปะลิส กลันตัน และตรังกานู
แต่ไม่ยอมแยกมณฑลปัตตานีออกไปรวมกับอังกฤษนั้น เป็นเรื่องที่หาคำตอบได้ไม่ยาก
ซึ่งเอกสารทั้งไทยและอังกฤษ ก็พูดถึงตรงกันในประเด็นนี้
แต่ก็มีนักวิชาการหน้าใหม่บางคนที่ไม่ค่อยอ่านเอกสารชั้นต้น
แล้วไปตีความฟุ้งซ่านเอาเอง
ทำให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ผิดเพี้ยนไปจากเดิมอย่างมาก
ควรต้องมาเริ่มต้นกันก่อนว่า
มณฑลปัตตานีที่ว่านี้ ประกอบด้วย เมืองหนองจิก ยะหริ่ง ยะลา ปัตตานี รามันห์ ระแงะ
และสายบุรี 7 หัวเมืองเหล่านี้เป็นของสยามอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่
1 เป็นอย่างน้อย
ยังไม่นับรวมช่วงที่ปัตตานีสวามิภักดิ์ต่อกรุงศรีอยุธยามาเกือบตลอดด้วย
เรื่องนี้แม้แต่บันทึกของชาวต่างชาติก็ยังเรียกกษัตริย์ผู้หญิงของปัตตานีในสมัยอยุธยาว่า
‘นาจายัง’ ซึ่งก็คือคำไทยแท้ๆ ที่มาจากคำว่า ‘นางเจ้าหญิง’ ยิ่งกว่านั้น
พงศาวดารของราชสำนักปัตตานี หรือ ฮิกายัตปะตานี
ก็ยืนยันเรื่องที่ปัตตานีภักดีต่อสยามด้วย
หมายความว่าปัตตานียอมรับอิทธิพลที่เหนือกว่าของสยามมาโดยตลอด
ก่อนที่จะมีการแบ่ง
7 หัวเมืองทางภาคใต้สมัยรัชกาลที่ 2 นั้น จริงๆ
อาณาจักรปัตตานี ก็ไม่ได้กว้างใหญ่อย่างที่เข้าใจกัน ถ้าเอา 7 หัวเมืองนี้มากางลงแผนที่จะพบว่า ในสมัยรัชกาลที่ 2
สยามตั้งเมืองใหม่ขึ้นมาถึง 2 เมืองก็คือ หนองจิก และยะลา
ส่วนเมืองปัตตานีเดิมนั้น ประกอบด้วยเมืองปัตตานีในฐานะเมืองหลวง
เมืองสายบุรีในฐานะเมืองเอกที่เจ้าเมืองปัตตานีจะส่งเสนาบดีไปปกครอง
เมืองยะหริ่งเป็นเมืองหน้าด่านชายทะเลที่ปกครองโดยขุนนางยศต่ำลงมา
ส่วนรามันห์และระแงะ จริง ๆ 2
เมืองหลังนี้เป็นเมืองที่ขุนนางท้องถิ่นปัตตานีแอบประกาศอิสรภาพ จากสุลต่านมูฮัมหมัดของปัตตานีในช่วงสุดท้ายก่อนที่รัชกาลที่
1 จะตีปัตตานีแตกจนเสียเอกราช
หากพูดให้ชัดๆ
เลยก็คือ เมืองปัตตานีโบราณแท้ๆ มีอาณาเขตเพียงแค่ริมฝั่งทะเลตะวันออกเท่านั้น
ไม่นับรวมดินแดนที่ลึกลงไปในแผ่นดินซึ่งเป็นเมืองที่สยาม
‘คิดค้นและสร้างขึ้นใหม่’แล้วจึงให้ขุนนางท้องถิ่นปกครองผ่านการกำกับดูแลจากเจ้าเมืองสงขลาอีกที
การผนวกและปกครองในลักษณะนี้ คือ annexation ซึ่งในกรณีของปัตตานีนี้
นอกจากสยามจะผนวกรวมของเดิมแล้วยังตั้งขึ้นมาเพิ่มอีกต่างหาก
เรียกได้ว่าสยามปกครอง
7 หัวเมืองปัตตานีอย่างเด็ดขาด ในฐานะ province หรือ
จังหวัด มานานแล้ว แม้กระทั่งเชื้อสายของรายาหรือเจ้าเมือง
อำนาจแต่งตั้งก็มาจากสยามที่มีการกลั่นกรองอย่างละเอียดเข้มข้นถึง 2 ชั้น คือจากเจ้าเมืองสงขลาชั้นหนึ่ง ก่อนจะส่งมาให้ทางกรุงเทพฯ
พิจารณาเห็นชอบเป็นด่านสุดท้าย แม้กระทั่งรายาปัตตานีคนสุดท้าย นั่นก็คือ อับดุล
กาเดร์ กามารุดดิน ต้นตระกูลก็ไม่ใช่เชื้อสายปัตตานีเดิม แต่เป็นราชวงศ์กลันตัน ที่แพ้ภัยการเมืองในบ้านเมืองตัวเอง
แต่รัชกาลที่ 3 ท่านทรงกรุณาสงสาร จึงให้ย้ายมาปกครองปัตตานี
โดยลดตำแหน่งให้เป็นแค่รายาแทน ไม่ใช่สุลต่าน ซึ่งรายา 7
หัวเมืองในปัตตานีทุกคนตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเป็นต้นมา
ไม่มีใครที่มีฐานะเป็นสุลต่านเลย เพราะสุลต่านนั้นยศสูงกว่ารายา
ในทางรัฐศาสตร์แล้วเทียบเท่ากับกษัตริย์เลยก็ว่าได้ และสยามให้คงมีสุลต่านไว้เฉพาะ
ตรังกานู กลันตัน และไทรบุรี ซึ่งในเวลานั้นมีฐานะเป็นหัวเมืองแขกชั้นนอกที่มีอิสระกว่าปัตตานีอย่างแท้จริง
สำหรับกรณีการปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอังกฤษ
อังกฤษเองก็ยอมรับเรื่องสิทธิการปกครองอย่างชอบธรรมของสยามเหนือ 7
หัวเมืองเป็นลายลักษณ์อักษรมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แล้ว
โดยในเอกสาร “สนธิสัญญาเบอร์นี” นั้น เฮนรี เบอร์นี ทูตอังกฤษก็ย้ำอย่างชัดเจนว่า
ปัตตานีเป็นของสยามอย่างแท้จริง และอังกฤษจะไม่พยายามสร้างอิทธิพลเหนือปัตตานีทั้ง
7 หัวเมือง ซึ่งต่อมา 7
หัวเมืองปัตตานีก็ถูกตัดออกจากการเจรจาเขตแดนทุกรอบมาตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ทำสนธิสัญญากับอังกฤษ
การบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแบบนี้
เป็นการยืนยันว่ารัฐบาลอังกฤษที่ลอนดอนเคารพอธิปไตยของสยามเหนือดินแดนปัตตานีมาอย่างน้อยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่
3 หรือ พ.ศ. 2369 แล้ว
ไม่ใช่เพิ่งจะมารับรองอำนาจสยามในสมัยรัชกาลที่ 5
ตามที่มีการเข้าใจกันแบบผิดๆ อยู่ในทุกวันนี้
และแนวปฏิบัติเรื่องการรับรองปัตตานีอยู่ใต้การปกครองของสยาม
ก็ส่งผลต่อธรรมเนียมทางการทูตมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 จนถึง
รัชกาลที่ 5 เลยทีเดียว
ส่วนกรณีของเมืองไทรบุรี
ตรังกานู และกลันตัน ที่ตกเป็นของอังกฤษนั้น
ทางรัฐบาลอังกฤษได้ตั้งข้อสงสัยว่าสยามอาจไม่ได้มีอำนาจเด็ดขาดอย่างแท้จริงต่อเมืองเหล่านี้
ตามที่เบอร์นีได้ตั้งข้อสังเกตไว้
และปัญหาการพยายามอ้างเพื่อเอาดินแดนเหล่านี้มาเป็นของอังกฤษ ได้เริ่มขึ้นในช่วงสมัยปลายรัชกาลที่
5 ซึ่งรัฐบาลอังกฤษที่สิงคโปร์พร้อมกับพวกนักธุรกิจชาวอังกฤษบางกลุ่ม
ได้พยายามยุแหย่ให้ทางลอนดอนอ้างสิทธิ์เพื่อครอบครองดินแดนมลายูที่อยู่ภายใต้การปกครองของสยาม
ด้วยวิธีการนำเอาผลประโยชน์และเกียรติภูมิของจักรวรรดิมาอ้าง
ทำให้ลัทธิการล่าอาณานิคมในคาบสมุทรมลายูกลับมาเฟื่องฟูขึ้นอีกครั้ง ทั้งๆ
ที่ก่อนหน้านั้นรัฐบาลอังกฤษที่ลอนดอนพยายามคัดค้านไม่ให้มีการทำสงครามหรือเอาดินแดนใดๆ
เพิ่ม
แต่หลังจากที่กองทัพจักรวรรดิอังกฤษทำสงครามกับชาวบัวร์ในแอฟริกาใต้จนได้รับชัยชนะในปี
ค.ศ. 1902
ความคลั่งไคล้ในลัทธิอาณานิคมก็กลับมาอีกครั้งอย่างมีนัยสำคัญ
และกรณีการเสีย
ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส ให้กับอังกฤษ จริงๆ
แล้วรัฐบาลสยามก็ไม่ได้มีอำนาจเหนือดินแดนเหล่านี้อย่างแท้จริง
ซึ่งกิจการภายในของเมืองเหล่านี้ สยามเข้าไปมีส่วนร่วมน้อยมากถ้าเทียบกับปัตตานี
และที่สำคัญ การปกครองของไทรบุรี กลันตัน และตรังกานู ยังคงมีระบอบสุลต่าน
ทำให้ชนชั้นนำท้องถิ่นของเมืองเหล่านี้ยังคงมีอำนาจมากอยู่ ซึ่งใน 7
หัวเมืองปัตตานีนั้น การปกครองในระบอบสุลต่านได้ล้มเลิกไปแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่
1
โดยเหลือแต่รายาหรือเจ้าเมืองที่ทำหน้าที่เป็นข้าราชการของสยามเท่านั้น
และด้วยเหตุผลที่ว่า
7 หัวเมืองปัตตานีมีฐานะเป็นจังหวัดที่สยามปกครองโดยตรงมานานมาก
ไม่ใช่เมืองแขกประเทศราชอย่าง ไทรบุรี ปะลิส กลันตัน และตรังกานู ที่รัชกาลที่ 5 ทรงได้รับการสืบทอดมาจากพระมหากษัตริย์องค์ก่อน ๆ
และเมืองในกลุ่มหลังก็มีอิสระพอสมควรในการปกครองตนเอง ดังนั้น สถานะของเมืองทั้ง 2 ประเภทนี้ในแง่ของการเอามาเจรจาทางการทูตกับอังกฤษจึงแตกต่างกันอย่างมาก
เมืองจำพวกแรก คือ ปัตตานี เราถือว่าเป็นเขตแดนของสยามร้อยเปอร์เซ็นต์
ส่วนเมืองในจำพวกหลังนั้นแม้รัฐบาลสยามจะทุ่มงบประมาณและกำลังคนในการพัฒนาไปบ้างแล้ว
แต่ก็เรียกได้ว่าอำนาจในการบริหารบ้านเมืองของสยามนั้นไม่เต็มไม้เต็มมือถ้าเทียบกับสุลต่านของเมืองนั้นๆ
นี่ถือเป็นจุดยืนที่หนักแน่นของรัฐบาลสยามในเวลานั้น
เพราะทุกครั้งที่มีการเจรจาเขตแดน
ถ้าอังกฤษมีการยกประเด็นปัตตานีมาเกี่ยวข้องเมื่อไหร่
ทางรัฐบาลสยามจะยืนกรานเด็ดขาดว่าไม่เจรจาด้วย และจากนโยบายที่หนักแน่นของสยาม
รวมถึงพระอัจฉริยภาพของเจ้านายและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการเจรจาเขตแดนทุกพระองค์และทุกท่าน
ทำให้ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงจังหวัดสตูล
ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยในฐานะด้ามขวานทองมาจนถึงปัจจุบัน
ก็น่าคิดเหมือนกันว่า
หากวันนั้นรัฐบาลสยามไม่หนักแน่นพอหรือยอมจำนนต่ออำนาจทางการทูต
โฉมหน้าประเทศไทยในทุกวันนี้อาจจะมีหน้าตาที่ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิมก็เป็นได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น