วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ซุ้ลฮิจยะห์(เดือนกุรบาน) เป็นเดือนแห่งการทดสอบ สติปัญญา และสันติสุข

เดือนซุ้ลฮิจยะห์(เดือนกุรบาน) เป็นเดือนแห่งการทดสอบ สติปัญญา และสันติสุข

เดือนซุ้ลฮิจยะห์ (ذو الحجة) คือเดือนที่ 12 ของปีฮิจเราะห์ศักราชตามปฏิทินจันทรคติอิสลาม ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นเดือนสุดท้ายของปี แต่ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งในเชิงศาสนา ประวัติศาสตร์ และจิตวิญญาณ

สำหรับชาวมุสลิมทั่วโลก เดือนนี้ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งใน "อัลอัชฮุรุลฮุรุม" หรือเดือนต้องห้าม ซึ่งมีอยู่สี่เดือนที่อัลเลาะห์ (ซ.บ.) ได้กล่าวถึงในพระมหาคำภีร์อัลกุรอาน ซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 36 ว่า “แท้จริงแล้ว จำนวนเดือน ณ ที่อัลเลาะห์นั้น มี 12 เดือน… ส่วนหนึ่งจากเดือนเหล่านั้น มี 4 เดือนซึ่งเป็นเดือนต้องห้าม” การต้องห้ามในที่นี้หมายถึงการห้ามการต่อสู้และสงคราม โดยเฉพาะในยุคก่อนอิสลามที่ชาวอาหรับจะพักการสู้รบ หันมาทำการค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้า และเดินทางสู่เมืองมักกะห์เพื่อประกอบพิธีฮัจย์ ซึ่งสะท้อนถึงความศักดิ์สิทธิ์และสันติของเดือนนี้

ในเชิงประวัติศาสตร์ เดือนซุ้ลฮิจยะห์เคยถูกเรียกในชื่ออื่น ๆ โดยชนชาวอาหรับยุคก่อนอิสลาม เช่น "นะอัส" (نَعَس), "บูร้อก" (بُرَك) และในหมู่ชนเผ่าสะมูด ซึ่งเป็นประชากรของท่านศาสดาซอและห์ พวกเขาเรียกเดือนนี้ว่า "มุสบิ้ล" (مُسْبِل) ชื่อเรียกต่าง ๆ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและความเข้าใจต่อธรรมชาติของเวลาและความศักดิ์สิทธิ์ในยุคสมัยนั้น

หนึ่งในเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเดือนซุ้ลฮิจยะห์ คือพิธีฮัจย์ ซึ่งถือเป็นเสาหลักหนึ่งในห้าของศาสนาอิสลาม และในวันที่ 10 ของเดือนนี้ ยังมี "วันอีดกุรบาน" หรือ "วันอีฎิ้ลอัฎฮา" ซึ่งเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองชัยชนะของมนุษย์ที่สามารถเอาชนะอารมณ์ใฝ่ต่ำ และสัญชาตญาณแห่งความเป็นสัตว์ (ฆ่อรีซะฮ์) ได้ เป็นวันที่สะท้อนความศรัทธา การเสียสละ และความจงรักภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า ตามรอยท่านนบีอิบรอฮีม (อ.) ที่ฝันว่าตนเองเชือดอิสมาอีล (อิชมาอิล) ลูกชายของท่าน ตามคำบรรยายในอัลกุรอาน ลูกชายของท่านยอมที่จะให้ตนเองถูกเชือดเพื่ออัลเลาะห์ แต่ก่อนที่ท่านจะเชือดลูกชาย อัลลอฮ์ทรงสั่งให้หยุดและประทานให้เชือดแกะแทน เป็นการทดสอบความศรัทธาแรงกล้า

พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างสรรพสิ่งไว้สามกลุ่มใหญ่ หนึ่ง คือ สัตว์เดรัจฉานที่ขับเคลื่อนชีวิตด้วยสัญชาตญาณและอารมณ์ใคร่ สอง คือ มวลมลาอิกะฮ์ (ทวยเทพ) ที่ดำรงอยู่โดยปราศจากอารมณ์ใฝ่ต่ำและปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้าเสมอ และสาม คือ มนุษย์ ผู้มีทั้งสติปัญญาและอารมณ์ใฝ่ต่ำอยู่ในตัว หากมนุษย์เลือกที่จะตามสัญชาตญาณ เขาก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน และอาจต่ำกว่านั้น หากเขาเลือกที่จะใช้สติปัญญา ปฏิบัติตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า เขาก็อาจมีคุณค่ามากกว่ามลาอิกะฮ์

ดังวจนะของท่านอะมีรุลมุอ์มินีน (อ.) ที่ว่า “อัลเลาะห์ทรงประทานสติปัญญาแก่เทวฑูต โดยไม่มีอารมณ์ใคร่ และประทานอารมณ์ใคร่แก่สัตว์เดรัจฉานโดยไม่มีสติปัญญา ส่วนมนุษย์ พระองค์ประทานทั้ง 2 อย่าง ผู้ใดที่ใช้สติปัญญาพิชิตอารมณ์ใฝ่ต่ำ เขาคือผู้ที่ประเสริฐกว่ามลาอิกะฮ์ และผู้ใดที่ตกอยู่ใต้อารมณ์ใฝ่ต่ำ เขาเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน

ดังนั้น วันอีดกุรบาน จึงไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลองตามประเพณีศาสนาเท่านั้น แต่คือวันที่มนุษย์ควรย้อนกลับมาทบทวนว่าเขาอยู่ในกลุ่มใด ระหว่างผู้ที่ใช้สติปัญญานำทางชีวิต หรือผู้ที่ปล่อยให้สัญชาตญาณควบคุมจิตใจ หากเขาสามารถเอาชนะอารมณ์ใฝ่ต่ำได้ เลือกที่จะทำตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า เขาคือผู้มีสิทธิ์ที่แท้จริงในการเฉลิมฉลองอีดนี้

ขณะเดียวกัน เราต้องตระหนักว่า การก่อการร้ายหรือการใช้ความรุนแรงในนามของศาสนา โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยนั้น เป็นสิ่งที่ผิดหลักการอิสลามอย่างร้ายแรง ทั้งในมิติของจริยธรรม ศาสนธรรม และกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐ หรือการทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ล้วนเป็นบาปใหญ่ และผู้กระทำไม่อาจอ้างศาสนาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการกระทำของตนได้

ประเทศไทยคือประเทศที่เปิดโอกาสและเคารพในเสรีภาพทางศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างวัด โบสถ์ หรือมัสยิด ล้วนมีสิทธิ์ตามกฎหมาย จึงไม่อาจมีเหตุผลใดที่บุคคลหนึ่งจะอ้างว่า ประเทศนี้เป็น "ดารุลฮัรบี" เพื่อใช้ความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์ การเลือกที่จะสร้างสันติ พัฒนา และอยู่ร่วมกันในความสงบ คือหนทางที่สมควรยิ่งในเดือนแห่งสติปัญญาและการเสียสละเช่นเดือนซุ้ลฮิจยะห์นี้

สรุป

เดือนซุ้ลฮิจยะห์คือเดือนแห่งการเตือนสติให้มนุษย์ เลือกทางที่ถูกต้อง ให้พิจารณาคุณค่าของสติปัญญาเหนืออารมณ์ และให้ยืนหยัดในความยุติธรรมและสันติสุข ไม่ใช่เพียงเพื่อเฉลิมฉลองในวันนี้เท่านั้น แต่เพื่อวางรากฐานของชีวิตและสังคมที่สงบสุขตลอดไป.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น