ผู้นำศาสนาห้าจังหวัดชายแดนใต้
หาทางป้องกันกลุ่มบิดเบือนศาสนา
ผู้นำศาสนาอิสลามใน
5 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ได้ร่วมประชุมในเรื่องการหาหนทางป้องกันการระบาดของการบิดเบือนศาสนา ซึ่งนำไปสู่การใช้ความรุนแรงและอุดมการณ์รัฐอิสลาม
ที่บ่อนทำลายศาสนาอิสลามและยังทำลายความมั่นคงของชาติ
นายอับดุลเราะห์มาน
อับดุลสมัด ประธานสมาพันธ์คณะกรรมการอิสลาม 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ได้เป็นประธานประชุมวาระพิเศษ
เพื่อรับทราบและเสนอแก้ไขปัญหาในเรื่องความเป็นอยู่และเสถียรภาพ ชาติพันธุ์ ศาสนา
ตลอดจนปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลาม
จังหวัดนราธิวาส โดยมีคณะเลขานุการคณะกรรมการอิสลาม และนักศาสนา 5
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดสตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส
และผู้แทนสื่อมวลชนจากประเทศมาเลเซีย เข้าร่วมประชุม
หลังเสร็จสิ้นการประชุม
นายอับดุลเราะห์มาน ฯ ได้กล่าวว่า ได้เน้นย้ำถึงภยันตรายของการที่มีคนบางกลุ่มได้บิดเบือนศาสนาอิสลาม
เพื่อหลอกลวงชาวมุสลิมให้ใช้ความรุนแรง โดยกลับกลายเป็นการทำลายศาสนาอิสลาม
และทำลายความมั่นคงของชาติ
“มันเป็นมหันตภัยอันตรายอย่างยิ่ง
เพราะการสอนที่บิดเบือนศาสนา คนที่เชื่อจะถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ
ทำลายศาสนาอิสลาม และยังทำลายต่อความมั่นคงของประเทศชาติ
และเราต้องป้องกันคนของเราไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มบุคคลที่ใช้ความพยายามบิดเบือนศาสนาอิสลาม
และการแพร่กระจายของกลุ่มไอซิส” นายอับดุลเราะห์มาน กล่าว
“เราห่วงใยประชาชนชาวมลายู
หรือชาวไทยมุสลิม ที่บริโภคข่าวสารในหลายด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบอกปากต่อปาก
สื่อโชเชียลมีเดีย หรือสื่อสารมวลชน นั่นคือการรับข่าวสารที่เป็นข้อเท็จจริง
และหลายครั้งมีแต่ข้อเท็จ มีการสร้างเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด และสร้างเงื่อนไขให้เกิดขึ้นในสังคม
เพื่อขยายความขัดแย้งให้เกิดขึ้น ซึ่งหลายๆ ครั้ง มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์”
นายอับดุลเราะห์มาน ฯ กล่าวเพิ่มเติม
หนึ่งตัวแทนผู้นำศาสนา
กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย มีปัญหาข้อขัดแย้งภายใน
โดยการใช้อาวุธของชาวเชื้อสายมลายูใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนหนึ่ง
กล่าวว่าตนต้องการเอกราชรัฐปาตานี ที่ถูกอาณาจักรสยามยึดครองมานานหลายศตวรรษคืนมา
แต่ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าชาวเชื้อสายมลายูนับถือศาสนาอิสลาม
จึงได้มีกลุ่มหัวรุนแรง
ได้นำเอาศาสนามาเป็นเครื่องมือในการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์รัฐปาตานี
“รัฐบาลไทยได้แก้ปัญหาเพื่อความมั่นคงและดีขึ้นตามลำดับ
แต่ที่นักศาสนาหวาดกลัวที่สุด คือ มีกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม ที่อ้างมีความรู้เรื่องศาสนา
ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ อาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เรียกว่า
กลุ่มบุคคลบิดเบือนศาสนาอิสลาม
สอนให้ผู้คนหรือหลอกให้ผู้คนเชื่อศรัทธาทำสิ่งใดตามพวกตนบอก
ได้เข้าสวรรค์อย่างแน่นอน
และยังอ้างศาสนาอิสลามแบบผิดบิดเบือน
ให้ก่อเหตุใช้ความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์ อย่างโหดเหี้ยมไร้ปราณี
ซึ่งไม่ใช่เป็นหลักคำสอนศาสนาอิสลามแต่อย่างใด” นายอับดุลเราะห์มาน ฯ กล่าว
ทั้งนี้
ตั้งแต่การเกิดเหตุรุนแรงระลอกใหม่ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2547
ได้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 6,700 ราย
อิงตามตัวเลขของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้
“เราจำเป็นจะต้องป้องกันและมีมาตรการให้ชัดขึ้น
เพื่อไม่ให้ประชาชนตกเป็นเครื่องมือ จึงขอให้ประชาชนทุกคนฟังศาสนาในมัสยิด ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
เพื่อป้องกันบุคคลแฝงตัว และจะมีมาตรการอื่นอีกตามมา เป็นเสมือนวัคซีนป้องกัน”
นายอับดุลเราะห์มาน ฯ กล่าวเพิ่มเติม
นอกจากนี้
นายอับดุลเราะห์มาน กล่าวอีกว่า ตนจะออกหนังสือในวาระพิเศษ เป็นหนังสือย้อนอดีตคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
และความสัมพันธ์ฉันมิตรกับประเทศเพื่อนบ้าน
ตลอดจนเรื่องราวเกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม หรืออื่นๆ อีกมากมาย ฯลฯ
ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาในข้อเท็จจริง อย่างไม่บิดเบือน
เหตุมัสยิดกรือเซะกับการบิดเบือนศาสนา
นายอับดุลเราะห์มาน
ฯ กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ยิงปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับคนร้ายที่บริเวณมัสยิด
เมื่อปี 2547 จนทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 2 นายและบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง
ส่วนคนร้ายเสียชีวิตทั้งในและนอกมัสยิด รวม 32 ศพ นั้น
องค์กรที่ดูแลในเรื่องศาสนาอิสลาม ทั้งสมาพันธ์และคณะกรรมอิสลาม ชายแดนภาคใต้
ได้ทำการติดตามและวิเคราะห์ หาหลักฐานกรณีบุคคลที่เสียชีวิต พบว่า บุคคลเหล่านั้น
มีความเชื่อในเรื่องศาสนาและได้รับคำสอนที่บิดเบือน
ซึ่งแหล่งคำสอนมาจากสถานที่หนึ่งในประเทศมาเลเซีย ทำให้บุคคลเหล่านั้น
กระทำการโดยไม่กลัวตาย เพราะเชื่อตามคำสอนที่ถูกบิดเบือนว่าการต่อสู้จนตัวตายนั้นตนเองจะเข้าสู่สวรรค์
“ในปัจจุบันเรายังพบว่า
ในพื้นที่จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส และอีกหลายจังหวัด
ยังมีกลุ่มบุคคลมาสอนนัดหมายตามบ้านเรือน ในหมู่บ้าน และมีการขยายวงจรซาตาน
บิดเบือนศาสนาอย่างต่อเนื่อง” นายอับดุลเราะห์มาน ฯ กล่าวโดยไม่ได้ให้รายละเอียดของกลุ่มบุคคลต่างๆ
ดังกล่าว
ทางด้าน นายอัลฮามี อิซซัม (Ilhami Hisham) และนักเขียนอิสระ รัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย ที่ได้เข้าฟังการประชุม กล่าวว่า เรื่องการเบี่ยงเบนศาสนาอิสลามในมาเลเซีย มีมานานแล้ว แต่เป็นการกระทำที่ไม่เปิดเผย และมีหลายกลุ่มที่รัฐบาลติดตาม และยังมีความเคลื่อนไหวกระแสไอซิสด้วย ทำให้นานาประเทศ โดยเฉพาะในหมู่ประเทศที่กำลังประสบปัญหาความไม่สงบภายใน เกรงว่าจะยิ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบจนถึงขั้น "การก่อการร้าย" และสร้างความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์
สิ่งที่ประเทศมาเลเซีย
ไทย หรือประเทศใดๆ ควรทำคือ
1.
อย่าปล่อยบุคคลผู้ไม่หวังดีสอนศาสนาอิสลามที่บิดเบือน
2.
ต้องให้ความรู้กับประชาชนว่า อย่าหลงเชื่อการสอนศาสนาที่บิดเบือน”
นายอัลฮามี กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น