ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
(จชต.) ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับกลุ่มก่อการร้าย BRN (Barisan
Revolusi Nasional) ดำเนินมาอย่างยาวนาน พร้อมกับการตีความสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างสองฝ่าย
เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของรัฐมีความเชื่อว่า
การปราบปรามและการสูญเสียชีวิตของสมาชิกกลุ่มก่อการร้าย BRN คือการลดทอนกำลังของขบวนการ เป็นการ "ลดจำนวน"
และบั่นทอน "พลังโจรใต้" ในเชิงยุทธศาสตร์ แต่ทว่าความเข้าใจนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม
เมื่อกลุ่ม BRN พลิกสถานการณ์ได้อย่างแนบเนียน
และแปรเปลี่ยนการตายของสมาชิกตนเองให้กลายเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมในสายตาประชาชน
ในพื้นที่ที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยรู้สึกถึงการถูกกดขี่หรือไม่เป็นธรรมจากการปฏิบัติของรัฐ
ความตายของสมาชิก BRN
ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นการสูญเสีย แต่กลับถูกตีความว่าเป็น "การพลีชีพ"
เพื่อศาสนา เพื่อประชาชน และเพื่อการกอบกู้เอกราช
พวกเขาสื่อสารกับชุมชนในท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพว่า
การถูกเจ้าหน้าที่รัฐยิงตายนั้น คือ "การตายอย่างสมเกียรติ"
ภายใต้หลักญีฮาด (Jihad) เป็นการตายเพื่อศาสนาอันสูงส่ง
เป็นการเสียสละที่ควรยกย่อง ไม่ใช่เสียใจ
ในขณะที่รัฐเชื่อว่าศพหนึ่งศพคือการทำให้ศัตรูอ่อนแอลง
แต่ในความเป็นจริงของพื้นที่
ศพหนึ่งศพกลับกลายเป็นเชื้อไฟที่จุดประกายให้เกิดนักเคลื่อนไหวหน้าใหม่อีกหลายคน
เป็นการเติมเชื้อเพลิงทางอุดมการณ์ให้กับขบวนการอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่การบั่นทอน
แต่คือการต่อยอด เป็นการตอกย้ำอุดมการณ์และความเชื่อในหมู่ชุมชน
ทางออกที่แท้จริงของรัฐ
จึงไม่ใช่การใช้กำลังเข้าปะทะจนฝ่ายตรงข้ามตาย แต่คือการเข้าถึงจิตวิญญาณของมวลชน
ในภารกิจปิดล้อม
กดดัน จับกุม หากเจ้าหน้าที่สามารถใช้ทักษะการพูดจูงใจ การล้อมอย่างนุ่มนวล
การชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของการกลับไปหาครอบครัว และการมีชีวิตเพื่อคนที่รักได้
จะทำให้กองกำลัง BRN
อ่อนแรงจากภายใน เมื่อคนร้ายยอมออกมามอบตัวด้วยความสมัครใจ
นั่นคือชัยชนะที่แท้จริงของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นการหักล้างอุดมการณ์ปลอม ๆ ที่กลุ่ม
BRN พยายามปลูกฝัง
ว่าการตายจากการปะทะกับรัฐคือการตายอย่างสมเกียรติ
การสร้างทางเลือกให้กับผู้ก่อความไม่สงบเห็นว่า
ชีวิตที่มีค่า คือชีวิตที่ยังมีลมหายใจเพื่อคนที่เขารัก ไม่ใช่ความตายที่ถูกสร้างภาพว่าศักดิ์สิทธิ์
คือการทำลายแนวคิดสุดโต่งตั้งแต่รากฐาน และเป็นวิธีเดียวที่จะค่อย ๆ
ดับไฟแห่งความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมายาวนานในพื้นที่จชต.
ซึ่งความล้มเหลวที่สำคัญ จึงไม่ใช่แค่ในเชิงการทหารหรือความมั่นคง
แต่คือความล้มเหลวในการทำความเข้าใจและเข้าถึงหัวใจของประชาชนในพื้นที่
ความรุนแรงที่รัฐใช้ตอบโต้ ไม่เพียงไม่แก้ปัญหา แต่กลับยิ่งตอกย้ำวาทกรรมที่ BRN ต้องการเผยแพร่ให้ลึกซึ้งเข้าไปในจิตใจของชุมชน
หากรัฐยังคงมองสถานการณ์ด้วยมุมมองเดิม
ๆ เข้าใจผิดว่าการปราบปรามด้วยกำลังเท่านั้นจะยุติขบวนการได้ โดยไม่หันมาฟังเสียงของประชาชน
หรือลงลึกถึงรากเหง้าของปัญหา ความขัดแย้งในจชต. ก็จะยังคงดำเนินต่อไปไม่รู้จบ
และจะยิ่งทำให้ขบวนการก่อความไม่สงบแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ
บนสายธารของเลือดและความหวังของคนในพื้นที่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น