วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2568

เมื่อการพลีชีพของผู้ก่อการร้าย BRN กลายเป็นพลังบวกในสายตาประชาชน

ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับกลุ่มก่อการร้าย BRN (Barisan Revolusi Nasional) ดำเนินมาอย่างยาวนาน พร้อมกับการตีความสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างสองฝ่าย

เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของรัฐมีความเชื่อว่า การปราบปรามและการสูญเสียชีวิตของสมาชิกกลุ่มก่อการร้าย BRN คือการลดทอนกำลังของขบวนการ เป็นการ "ลดจำนวน" และบั่นทอน "พลังโจรใต้" ในเชิงยุทธศาสตร์ แต่ทว่าความเข้าใจนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม เมื่อกลุ่ม BRN พลิกสถานการณ์ได้อย่างแนบเนียน และแปรเปลี่ยนการตายของสมาชิกตนเองให้กลายเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมในสายตาประชาชน

ในพื้นที่ที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยรู้สึกถึงการถูกกดขี่หรือไม่เป็นธรรมจากการปฏิบัติของรัฐ ความตายของสมาชิก BRN ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นการสูญเสีย แต่กลับถูกตีความว่าเป็น "การพลีชีพ" เพื่อศาสนา เพื่อประชาชน และเพื่อการกอบกู้เอกราช พวกเขาสื่อสารกับชุมชนในท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพว่า การถูกเจ้าหน้าที่รัฐยิงตายนั้น คือ "การตายอย่างสมเกียรติ" ภายใต้หลักญีฮาด (Jihad) เป็นการตายเพื่อศาสนาอันสูงส่ง เป็นการเสียสละที่ควรยกย่อง ไม่ใช่เสียใจ

ในขณะที่รัฐเชื่อว่าศพหนึ่งศพคือการทำให้ศัตรูอ่อนแอลง แต่ในความเป็นจริงของพื้นที่ ศพหนึ่งศพกลับกลายเป็นเชื้อไฟที่จุดประกายให้เกิดนักเคลื่อนไหวหน้าใหม่อีกหลายคน เป็นการเติมเชื้อเพลิงทางอุดมการณ์ให้กับขบวนการอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่การบั่นทอน แต่คือการต่อยอด เป็นการตอกย้ำอุดมการณ์และความเชื่อในหมู่ชุมชน

ทางออกที่แท้จริงของรัฐ จึงไม่ใช่การใช้กำลังเข้าปะทะจนฝ่ายตรงข้ามตาย แต่คือการเข้าถึงจิตวิญญาณของมวลชน

ในภารกิจปิดล้อม กดดัน จับกุม หากเจ้าหน้าที่สามารถใช้ทักษะการพูดจูงใจ การล้อมอย่างนุ่มนวล การชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของการกลับไปหาครอบครัว และการมีชีวิตเพื่อคนที่รักได้ จะทำให้กองกำลัง BRN อ่อนแรงจากภายใน เมื่อคนร้ายยอมออกมามอบตัวด้วยความสมัครใจ นั่นคือชัยชนะที่แท้จริงของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นการหักล้างอุดมการณ์ปลอม ๆ ที่กลุ่ม BRN พยายามปลูกฝัง ว่าการตายจากการปะทะกับรัฐคือการตายอย่างสมเกียรติ

การสร้างทางเลือกให้กับผู้ก่อความไม่สงบเห็นว่า ชีวิตที่มีค่า คือชีวิตที่ยังมีลมหายใจเพื่อคนที่เขารัก ไม่ใช่ความตายที่ถูกสร้างภาพว่าศักดิ์สิทธิ์ คือการทำลายแนวคิดสุดโต่งตั้งแต่รากฐาน และเป็นวิธีเดียวที่จะค่อย ๆ ดับไฟแห่งความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมายาวนานในพื้นที่จชต.

ซึ่งความล้มเหลวที่สำคัญ จึงไม่ใช่แค่ในเชิงการทหารหรือความมั่นคง แต่คือความล้มเหลวในการทำความเข้าใจและเข้าถึงหัวใจของประชาชนในพื้นที่ ความรุนแรงที่รัฐใช้ตอบโต้ ไม่เพียงไม่แก้ปัญหา แต่กลับยิ่งตอกย้ำวาทกรรมที่ BRN ต้องการเผยแพร่ให้ลึกซึ้งเข้าไปในจิตใจของชุมชน

หากรัฐยังคงมองสถานการณ์ด้วยมุมมองเดิม ๆ เข้าใจผิดว่าการปราบปรามด้วยกำลังเท่านั้นจะยุติขบวนการได้ โดยไม่หันมาฟังเสียงของประชาชน หรือลงลึกถึงรากเหง้าของปัญหา ความขัดแย้งในจชต. ก็จะยังคงดำเนินต่อไปไม่รู้จบ และจะยิ่งทำให้ขบวนการก่อความไม่สงบแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ บนสายธารของเลือดและความหวังของคนในพื้นที่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น