วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2567

การคลั่งชาติ และเผ่าพันธุ์ ไม่ใช่พฤติกรรมของคนมีศาสนา

การคลั่งชาติ และเผ่าพันธุ์ ไม่ใช่พฤติกรรมของคนมีศาสนา

ตอบโจทย์โจรใต้ BRN

ที่มา https://www.facebook.com/1555177384706108/photos/a.1555179134705933.1073741826.1555177384706108/1709161672641011/?type=1&fref=nf

ตามที่มีการโพสต์บทภาษามลายูรูมีเกี่ยวกับ ชาติพันธุ์ที่ยังไม่มีรัฐ(ประเทศ) ในกลุ่มอาเซียน โพสต์ในบล็อกของ Pos Patani ใน www.deepsouthwatch.org ชื่อหัวข้อ “Bangsa-bangsa yang belum bernegara di Asean” แปลว่า ชาติพันธุ์ที่ยังไม่เป็นรัฐในกลุ่มอาเซียน

จะเห็นได้ว่าบทความนี้ เป็นการปลูกฝังให้เกิดความรู้สึกรักและเข้าใจเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และเชื้อชาตินิยม เพื่อนำไปสู่การเรียกร้องและต่อสู้ให้มีการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ ในฐานะเราเป็นอิสลามไม่น่าจะมี่ปัญหากับเรื่องเหล่านี้ เพราะจะขัดต่อหลักคำสอนของอิสลาม ซึ่งการต่อสู้และเรียกร้องด้วยเงื่อนไขของการเชิดชูความเป็นเชื้อชาตินิยมนั้นเป็นแนวคิดที่พยายามจะสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมโลก เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านร่อซู้ล(ศ็อลฯ) ได้กล่าวไว้ ความว่า “ใครก็ตามที่เรียกร้องไปอะเศาะบียะฮฺ(การคลั่งชาติ เผ่าพันธุ์ หลงตระกูล ถือพวกพ้อง)คนผู้นั้นมิได้เป็นพวกฉัน ใครก็ตามที่ต่อสู้เพื่ออะเศาะบียะฮฺ คนผู้นั้นมิได้เป็นพวกฉัน และใครก็ตามที่ตายไปเพราะสนับสนุนอาเศาะบียะฮฺ คนผู้นั้นมิได้เป็นพวกเดียวกับฉัน” (รายงานโดยมุสลิม อะบาวูดและอันนะสาอียฺ)

ยังมีการอ้างเรื่องของการต่อสู้ของคนปาตานี ที่มีอยู่ในกฎแห่งสากลของสิทธิมนุษยชน (UDHR) และมติของสหประชาชาติฉบับที่ 1514 (XV) ในปี 1960 กล่าวถึงการมอบเอกราชแก่ชาติพันธุ์ที่ถูกอาณานิคม และยังไม่มีรัฐ ยังพูดถึงเรื่องที่รัฐบาลไทยกดขี่ ข่มเหง และละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนปาตานี กำหนดชะตากรรมของตัวเองไม่ได้ ฯลฯ

แต่จริงๆ แล้ว เราจะเห็นว่าในวันนี้ชาวมลายูปาตานีได้มีความเป็นตัวตน มีสิทธิในการปฏิบัติศาสนกิจตามศาสนบัญญัติได้ครบถ้วน มีสิทธิเท่าเทียมกันเหมือนประชาชนคนไทยทั่วไป อยู่ในฐานะมนุษยชาติที่มีศักดิ์ศรี มีเสรีภาพในการใช้ภาษาและวัฒนธรรม รัฐไทยไม่เคยต่อต้านในการเผยแพร่ศาสนา ไม่กดขี่ ลิดรอนสิทธิ พร้อมยังสนับสนุนเรื่องงบประมาณโดยให้ความร่วมมือดูแลอย่างเต็มที่

ทำไมเราถึงไม่ก้าวข้ามความหลังในอดีต ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขมันได้แล้ว บางกลุ่มพยายามเปิดเวทีนำเรื่องเก่ามาเล่าซ้ำ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการสร้างละคร ที่ผู้กำกับคนเดียวกัน จึงทำให้คนดูน่าเบื่อ มีแต่คนเรียกร้องสันติภาพ เรียกร้องสันติสุข เรียกร้องสันติวิธี แต่แฝงไปด้วยผลประโยชน์ แฝงไปด้วยการโจมตีอีกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่ออ้างความชอบธรรมของฝ่ายตัวเอง เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าเราคือคนที่เสียสละ ทำงานเพื่อสังคม ทำเพื่อพี่น้องประชาชน ทำด้วยจิตอาสา แต่จะมีใครรู้บ้างไหมว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาชาวบ้านมีความรู้สึกอย่างไร ต่างมีคำถามแต่ไร้คำตอบ เพราะเป็นคำถามที่ทิ่มแทงใจให้กับใครหลายคน

19 ปีที่ผ่านมา ไม่ต่างอะไรกับการสร้างภาพ เล่นละคร แสวงหาผลประโยชน์จากความตายของพี่น้องในพื้นที่ 3 จังหวัด ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะหันมาช่วยเหลือภาคใต้อย่างจริงจัง ปราศจากเงื่อนไข ผลประโยชน์สักที

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น