“อินนาลิลลาฮิวะอินนาอิลัยฮิรอญิอูน”
เป็นคำที่มุสลิมกล่าวเสมอๆ
เมื่อได้รับข่าวการเสียชีวิตของมุสลิม ซึ่งมีความหมายว่า “แท้จริงเราเป็นของอัลลอฮฺ
และยังพระองค์ที่เราต้องกลับคืน” เสมือนเพื่อเป็นการย้ำเตือนตนเองว่า
สักวันหนึ่งก็ต้องกลับคืนสู่พระเจ้า ไม่มีผู้ใดหลีกเลี่ยงรอดพ้นจากความตายไปได้
สำหรับคนทั่วไปความตายถือว่าเป็นเรื่องที่โศกเศร้า
หากแต่ในทัศนะของศาสนาอิสลามถือว่าการตายเป็นการกลับสู่พระองค์
และเพราะพระองค์เป็นผู้ทรงสร้างให้เกิดมาเพื่อให้โอกาสแสวงหา
และกระทำความดีเพื่อนำกลับไปรับผลตอบแทนจากพระองค์ เพราะฉะนั้น
ตามหลักศาสนาอิสลามจึงไม่อาจที่ยับยั้ง หรือกระทำการใดๆ
อันเป็นการถ่วงเวลาในการเดินทางกลับไปสู่พระเจ้าของผู้ที่เสียชีวิต
และต้องได้รับการปฏิบัติตามหลักศาสนาด้วยการชำระอาบน้ำศพให้สะอาด
พร้อมกับการละหมาด
ยกเว้นการตายที่เป็นชะอีด
หรือตายเนื่องจากการทำหน้าที่ในการปกป้องศาสนาจากศัตรู หรือการญิฮาด
ซึ่งผู้ตายชะฮีดนั้น
จะได้รับผลานิสงส์ผลตอบแทนจากพระเจ้าเป็นกรณีพิเศษแม้ว่าการตายไม่ใช่เป็นเรื่องโศกเศร้าในทัศนะ
และความเชื่อของอิสลาม แต่อดที่จะโศกสลดไม่ได้กับการตายของคนจำนวนมากที่นำอาวุธทำร้ายผู้บริสุทธิ์
และปะทะกับเจ้าหน้าที่รัฐ ในพื้นที่หมู่ 4 บ้านคลองช้าง ต.นาเกตุ อ.โคกโพธิ์
จ.ปัตตานี ด้วยแผนการที่มุ่งร้ายต่อหน่วยกำลังที่ทำหน้าที่ดูแลความสงบสุข
และรักษาความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่น่าเศร้ามากกว่านั้น
ก็เพราะผู้ที่เสียชีวิตเหล่านั้นเชื่อว่า การกระทำของพวกเขาเป็นไปในแนวทางของศาสนา
หรือการญิฮาด และการเสียชีวิตของพวกเขาคือ การชะฮีด
นอกจากนี้
ยังมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีอาศัยสถานการณ์ดังกล่าวสร้างความแตกแยกด้านความคิด
ด้วยผลิตสื่อเผยแพร่ทางสื่อสารออนไลน์ เพื่อเบี่ยงเบนความเชื่อให้เห็นคล้อยว่า
เป็นการญิฮาด และเกิดความโกรธแค้นเกลียดชังต่อเจ้าหน้าที่รัฐ
ซึ่งเรื่องในลักษณะดังกล่าวได้เกิดขึ้นมาแล้ว
อย่างเช่นกรณีเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2547 ที่มัสยิดกรือเซะ (ที่ผ่านมา) ทางสำนักจุฬาราชมนตรี
ได้มีการประชุมนักวิชาการมุสลิมเพื่อวินิจฉัย
และได้ยืนยันพร้อมมีเอกสารเผยแพร่แล้วว่า
เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้อยู่ในข่ายของญิฮาดแต่อย่างใด
หากย้อนดูประวัติศาสตร์อิสลามสมัยศาสดามูฮัมหมัด
จะเห็นว่า ตลอดระยะเวลา 13 ปี ของการเผยแพร่ศาสนา
ศาสดามูฮัมหมัดได้รับการต่อต้านจากชนเผ่าต่างๆ ตลอดเวลา
อันเนื่องจากหลักการอิสลามนั้นแตกต่างกับความเชื่อดั้งเดิมของแต่ละชนเผ่า
ยิ่งมีคนศรัทธาต่อศาสดามากขึ้นเท่าใด ยิ่งได้รับการต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น
เพราะสาวกของแต่ละชนเผ่าลดเหลือน้อยลง การต่อต้านก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ศาสดาอดทนยืนหยัดไม่กระทำการตอบโต้ใดๆ จนกระทั่งเข้าปีที่ 13
ปีแห่งการอพยพจากนครเมกกะห์ สู่นครมะดีนะห์
การต่อต้านยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น การประกาศสงครามกับผู้มุ่งร้ายเหล่านั้นจึงได้เกิดขึ้นบนพื้นฐานความจำเป็น
เพื่อปกป้องจากการถูกข่มเหงขับไล่ และทำลายบ้านเรือนสถานที่สำคัญของศาสนา
และเพื่อให้สามารถยืนหยัดปฏิบัติตามหลักศาสนาของอัลลอฮฺได้อย่างมั่นคง
จากประวัติศาสตร์ครั้งดังกล่าว
และจากหลักฐานที่ปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน นักวิชาการจึงได้สรุปหลักการ
และเหตุผลในการฮิญาด ซึ่งต้องประกอบด้วยเหตุผล 3 ประการดังนี้ คือ
1.บรรดามุสลิมถูกข่มเหงด้วยการก่อการร้าย
และขับไล่ให้ออกจากบ้านเรือนของพวกเขาโดยปราศจากความเป็นธรรม
2.หากอัลลอฮฺไม่อนุมัติให้มนุษย์ทำการต่อสู้ป้องกันแล้ว
บรรดาโบสถ์ วิหาร และหอสวดต่างๆ และมัสยิด จะถูกทำลายอย่างแน่นอน
อันเนื่องมาจากการข่มเหงของพวกปฏิเสธ และไม่ศรัทธา
3.เป้าหมายของการญิฮาดคือ
การมีอำนาจในการปกครอง และปฏิบัติตามแนวทางของศาสนาอย่างอิสระ
เมื่อเปรียบเทียบประวัติศาสตร์ดังกล่าวกับสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน
จึงกล่าวได้ว่า ไม่มีเหตุผลใดที่มุสลิมจะประกาศสงครามญิฮาดได้เลย
เพราะเงื่อนไขในการป้องกันทั้ง 2 ประการไม่เคยเกิดขึ้น ส่วนเหตุผลข้อที่ 3
เพื่อให้มีอำนาจในการปกครอง และเพื่อปฏิบัติตามศาสนานั้น
ขณะนี้สิ่งดังกล่าวมีอยู่ในสังคมมุสลิมทุกประการ
ซึ่งกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ระบุชัดเจนว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนทุกหมู่เหล่า
รวมทั้งได้บัญญัติสิทธิในการนับถือศาสนา
และปฏิบัติตามหลักตามความเชื่ออย่างเสรีภาพ อีกทั้งได้กำหนดให้รัฐบาลกำหนดนโยบายต่างๆ
เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชนเป็นหลัก
การสรุปว่า
การก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นการญิฮาด
และการเสียชีวิตของผู้ก่อความไม่สงบที่มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐว่าเป็นชะฮีด
แล้วมีการจัดการศพเยี่ยงผู้ตายชะฮีดนั้น จึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ผู้จัดการเกี่ยวกับการศพของกลุ่มคนดังกล่าวจึงต้องได้รับโทษในโลกหน้า
เนื่องจากการกระทำผิดต่อหลักการของศาสนา กล่าวคือ มีการละทิ้งการอาบน้ำศพ
และการละหมาดให้แก่ศพ ซึ่งถือเป็นสิ่งจำเป็นตามหลักการของศาสนา
การปฏิบัติต่อศพของกลุ่มคนดังกล่าวเป็นไปตามความเชื่อ
และอารมณ์ของตนเองเป็นที่ตั้ง โดยปราศจากการศึกษาข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
นับเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ
และไม่น่าจะเกิดขึ้นในดินแดนที่การศึกษาด้านศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาช้านานตั้งแต่อดีต
ซึ่งครั้งหนึ่งถูกเรียกขานว่าเป็นระเบียงแห่งมักกะห์
อันเป็นแหล่งศึกษาความรู้ทางศาสนาอิสลาม
อันเสมือนสาขาหนึ่งของนครมักกะห์แหล่งกำเนิดศาสนาอิสลามที่ลื่อเลื่องไปทั่วโลก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น