วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

จะเป็นอย่างไร?..หาก 3 จชต.ใช้กฎหมายชารีอะฮ์

จะเป็นอย่างไร?..หาก 3 จชต.ใช้กฎหมายชารีอะฮ์

สังคมมนุษย์ไม่ว่าจะที่ใดในโลกจะดำรงอยู่โดยปกติสุขได้นั้น จะต้องมีระเบียบ แบบแผน หรือกฎเกณฑ์ให้ทุกคนยึดถือปฏิบัติตาม เพื่อกำหนดความประพฤติของมนุษย์เพื่อให้เกิดความสงบ เรียบร้อยในสังคม กฎเกณฑ์นี้เองเรียกว่า “กฎหมาย

ระบบกฎหมาย ที่มีอยู่ในโลกปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ระบบคือ ระบบซีวิลลอว์ ระบบคอมมอนลอว์ ระบบทวินิติ (ทั้งซีวิลลอว์และคอมมอนลอว์) กฎหมายขนบธรรมเนียม และกฎหมายชารีอะฮ์

กฎหมายในระบบอื่นๆ ผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวถึง แต่จะขอกล่าวเฉพาะ “กฎหมายชารีอะฮ์” ที่มีคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งคิดต่างจากรัฐ มีความพยายามจะนำมาใช้หากแยกสามจังหวัดชายแดนภาคใต้สำเร็จ ตั้งตนเป็น “เอกราช

กฎหมายชารีอะฮ์ คืออะไร?

กฎหมายชารีอะฮ์ (Sharia หรือ Shari'ah) เป็นกฎหมายทางศีลธรรมของศาสนาอิสลาม ที่ควบคุมความประพฤติของคน ทั้งที่เป็นการกระทำต่อสาธารณะ และความประพฤติส่วนตัว กฎหมายชารีอะฮ์ยังควบคุมรูปแบบการปกครอง สังคมและการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

เนื้อหาของกฎหมายชารีอะฮ์ มาจากคัมภีร์อัลกุรอาน และตัวอย่างการดำเนินชีวิตขององค์ศาสดา มูฮัมหมัดเป็นต้นแบบ แต่บางครั้งก็ใช้ “ฟัตวา”หรือคำตัดสินของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอิสลาม ในการชี้ขาด

การตีความกฎหมายชารีอะฮ์ จะมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ  แต่ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า การกระทำที่นับว่าเป็นความผิดร้ายแรง ได้แก่ การลักทรัพย์ ปล้นทรัพย์ มีเพศสัมพันธ์นอกสมรส และการดื่มแอลกอฮอล์

นอกจากนี้ กฎหมายชารีอะฮ์ยังควบคุมด้านการกินอาหาร การอดอาหาร การสวดมนต์ การเข้าพิธีกรรม สุขอนามัย การค้าขาย และการเงิน

ปัจจุบันประเทศที่ใช้กฎหมายชารีอะฮ์อย่างเต็มรูปแบบ ได้แก่ ประเทศอัฟกานิสถาน อิหร่าน อิรัก มัลดีฟส์ ปากีสถาน กาตาร์ ซาอุดิอาระเบีย เยเมน มอริเตเนีย และประเทศซูดาน

ความพยายามของกลุ่มขบวนการและปีกการเมืองใน จชต.

เป็นที่ทราบกันดีว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มขบวนการทางการเมืองแบ่งแยกดินแดน จุดประสงค์หลัก เพื่อปลดปล่อยเป็นรัฐอิสระจากรัฐบาลไทย สถาปนาตนเองเป็นรัฐอิสลามบริสุทธิ์ปาตานีดารุสลาม นำกฎหมายชารีอะฮ์มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ

ก่อนอื่นเรามาดูวิธีการ และยุทธวิธีการต่อสู้ของกลุ่มขบวนการที่จะเดินไปสู่จุดหมายคือ“เอกราช” มีรูปแบบอย่างไร? ซึ่งพอจะแยกแยะการต่อสู้ใน 2 รูปแบบด้วยกัน กล่าวคือ มีการใช้กำลังกองโจร RKK ก่อเหตุสร้างสถานการณ์ความรุนแรง ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินทั้งต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ประชาชน เพื่อต้องการแสดงศักยภาพความมีตัวตนของกลุ่มขบวนการแต่ไม่เคยแสดงตัวรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้นต่อการกระทำที่ชั่วร้ายผิดหลักศาสนาอย่างร้ายแรง

กลุ่มขบวนการใช้ปีกการเมือง ตั้งองค์กรภาคประชาสังคม กลุ่มเยาวชนนักเรียนนักศึกษา เดินหน้าปลุกกระแสการกำหนดใจตนเอง (Self-determination) เพื่อเดินหน้าไปสู่การลงประชามติแยกตัวเป็น“เอกราช”จากรัฐไทย รูปแบบวิธีการมีการแบ่งงานกันทำร่วมกันตีมุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกัน โดยใช้เงื่อนไข กล่าวหาเจ้าหน้าที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางต่อการบังคับใช้กฎหมาย และมีความพยายามสื่อให้เห็นว่าพื้นที่ จชต. เป็นพื้นที่ขัดแย้งกันด้วยอาวุธ (Armed conflict) เพื่อให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซง เดินตามรอยแนวทางประเทศติมอร์-เลสเต หรือ ติมอร์ตะวันออกที่แยกตัวเป็นเอกราชจากประเทศอินโดนีเซีย

การนำกฎหมายชารีอะฮ์มาใช้ใน 3 จชต.เหมาะสมหรือไม่?

ลองคิดเล่นๆ หากขบวนการทางการเมืองแบ่งแยกดินแดนต่อสู้ และสามารถปลดปล่อยสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นรัฐอิสระจากรัฐบาลไทย สถาปนาตนเองเป็นรัฐอิสลามบริสุทธิ์“ปาตานีดารุสลาม” นำกฎหมายชารีอะฮ์มาใช้จะมีความเป็นไปได้ หรือมีความเหมาะสมหรือไม?

ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า“กฎหมายชารีอะฮ์” มาจากคัมภีร์อัลกุรอาน และตัวอย่างการดำเนินชีวิตขององค์ศาสดามูฮัมหมัดเป็นหลัก แต่บางครั้งก็ใช้ “ฟัตวา” หรือคำตัดสินของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอิสลาม ในการควบคุมความประพฤติของคน ควบคุมรูปแบบการปกครอง สังคมและการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งปวง

กฎหมายชารีอะฮ์ ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีพื้นฐานมาจากหลักวิถีศาสนาอิสลามสำหรับมุสลิม บทลงโทษสำหรับผู้กระทำความผิด เช่น การเฆี่ยนในคดีดื่มสุรา การถูกปาก้อนหินจนเสียชีวิตในคดีผิดประเวณี ความผิดมีชู้  มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก การลงโทษด้วยการถูกตัดอวัยวะในคดีขโมยทรัพย์สิน

นอกจากนี้กฎหมายชารีอะห์ ยังมีบทลงโทษที่รุนแรง และจะลงโทษผู้กระทำผิดฐานข่มขืน ฆาตกรรม การปล้นโดยใช้อาวุธ หรือการค้ายาเสพติด ด้วยการประหารชีวิต

กฎหมายชารีอะฮ์ ยังครอบคลุมวิถีการดำเนินชีวิตของชาวมุสลิมทุกด้าน อาทิ ข้อบังคับการเรียน กำหนดโทษปรับหรือจำคุกในความผิดตั้งแต่การประพฤติตัวไม่เหมาะสม ข้อกำหนดการไปละหมาดที่มัสยิด การตั้งครรภ์นอกสมรส การผิดบาปมีรักกับคนเพศเดียวกัน และอีกหลายประการ

ย้อนกลับมาดูวิถีชีวิตและการใช้ชีวิตของพี่น้องมุสลิมในพื้นที่ จชต. ในปัจจุบัน ที่มีการใช้ชีวิตอย่าง มีความสุข มีเสรีภาพในการประกอบศาสนกิจ อยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมกับผู้คนต่างศาสนาอย่างกลมกลืน ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน หากกลุ่มขบวนที่ต้องการให้พื้นที่ จชต.เป็นรัฐอิสลามบริสุทธิ์“ปาตานีดารุสลาม” นำกฎหมายชารีอะฮ์มาใช้อย่างเต็มรูปแบบคงเป็นไปได้ยาก และขัดแย้งต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คนที่เป็นอยู่

ในปัจจุบันประชาชนในพื้นที่ จชต. มีความพึงพอใจต่อนโยบายของรัฐบาลที่ได้อนุมัติจัดสรรงบประมาณโครงการต่างๆ เพื่อพัฒนาระบบเศรษฐกิจ ยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดีกินดี โดยเฉพาะการสนับสนุนในเรื่องกิจกรรมทางศาสนา การประกอบศาสนกิจของพี่น้องมุสลิม ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจที่นครมักกะหฺประกอบพิธีฮัจญ์ หรือแม้กระทั่งการอุมเราะห์ รัฐบาลสนับสนุนและดูแลตั้งแต่ต้นทางก่อนไป ระหว่างประกอบศาสนกิจ จนกระทั่งเดินทางกลับบ้านเป็นอย่างดี แม้แต่ประเทศที่ เป็น“ดารุสลาม” ในหลายๆ ประเทศแถบตะวันออกกลางยังดูแลไม่ดีเท่า...แล้วการที่กลุ่มขบวนการและปีกการเมืองต้องการให้ จชต. เป็น“ปาตานีดารุสลาม” ทำการโฆษณาชวนเชื่อของข้อดีในการนำกฎหมายชารีอะฮ์มาใช้กับพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้.....คิดหรือ? ว่า จะมีผลดีมากกว่าผลเสียผู้ที่ได้รับผลกระทบจริงๆ คงหนีไม่พ้นพี่น้องมุสลิมที่เป็นเบี้ยล่างให้กับกลุ่มขบวนการ......

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น