เพราะไทยนี้รักสงบ
3 เหตุผลที่ชาวมุสลิมชน ดำรงอยู่ได้อย่างกลมกลืนบนผืนแผ่นดินไทย
ความแตกต่างทางด้านความเชื่อทางศาสนาในอดีตนั้น
เป็นบ่อเกิดและเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งมาหลายครั้งหลายครา ไม่ว่าความขัดแย้งนั้นจะเกิดในยุคก่อนการมีรัฐสมัยใหม่
หรือหลังการมีรัฐสมัยใหม่ก็ตาม
ดังนั้นความยากประการหนึ่งของการดำรงอยู่ร่วมกันก็คือ ภายใต้ความแตกต่างทางความคิด
ความเชื่อ และเหตุผลทางศาสนาอย่างมากมายหลายประการนี้
เราจะดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างไร?
บางประเทศก็สามารถหาทางดำรงอยู่ร่วมกันได้
บางประเทศก็ยังคงพยายาม หรือบางประเทศก็ไม่ได้คิดจะหาทางเลย ด้วยเหตุผลต่างๆ
ในประเทศอันหลากหลายในโลกนี้
ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการดำรงอยู่ร่วมกันของคนหลากหลายเชื้อชาติและหลากหลายความเชื่อด้วยเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของคนมุสลิม ซึ่งนับเป็นชนกลุ่มน้อยหากมองจากภาพใหญ่ทั้งหมดของประเทศไทย
แต่ถึงแม้จะเป็นชนกลุ่มน้อย และประเทศไทยเอง ก็เคยประสบกับปัญหาด้านความเชื่อและชาติพันธุ์มาในอดีต
แต่ก็สามารถดำรงชาติมาได้อย่างสงบสุขเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน คำถามจึงมีว่า
ด้วยสาเหตุอะไรประเทศไทยและชาวมุสลิมจึงสามารถกลมกลืนกันได้มากกว่าบางประเทศ
สำหรับสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยสามารถอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนกับพี่น้องชาวมุสลิม
(และอาจจะรวมถึงกลุ่มอื่นๆ ด้วย) มีเหตุผลหรือเงื่อนไขอยู่ 3 ประการด้วยกัน(1) คือ
สถานภาพทางกฎหมายของมุสลิมชนกลุ่มน้อย มุมมองของรัฐ ที่มีต่อมุสลิมชนกลุ่มน้อย
และอิทธิพลของพุทธชาตินิยมและความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรง
สถานภาพทางกฎหมายของมุสลิมชนกลุ่มน้อย
ประชาคมชาวมุสลิมในไทยนั้น
มีความมั่นคงและได้รับการคุ้มครองในเชิงกฎหมายชัดเจนมากกว่าเพื่อนบ้าน
สถานภาพและการดำรงอยู่ของมุสลิมจึงได้รบการรับรองจากรัฐ
และไทยยังอนุญาตให้มีตำแหน่งดาโต๊ะยุติธรรมทำหน้าที่วินิจฉัยคดีแพ่งของมุสลิมอีกด้วย
โดยมีอัตรากำลัง 9 อัตรา ครอบคลุมพื้นที่นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสตูล
อีกประการที่สำคัญคือการดำรงอยู่ของจุฬาราชมนตรี
ที่ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม
การมีอยู่ของสำนักงานจุฬาราชมนตรีทำให้ชาวมุสลิมมีช่องทางในการผลักดันนโยบายสาธารณะ
และยังมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานรัฐอีกด้วย
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการรักษาความสัมพันธ์กับพระมหากษัตริย์ ซึ่งทำให้สถานภาพของชาวมุสลิมมั่นคงมากขึ้นไปด้วย
ดังเช่นปรากฏเป็นพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10
ที่เสด็จเปิดงานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
หรือการพระราชทานรางวัลแก่ผู้ชนะการทดสอบการอัญเชิญคัมภีร์อัลกุรอานระดับประเทศ
และการสืบสานพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
ในการแปลพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานเป็นไทย
ด้วยพระราชกรณียกิจและความสำคัญของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่
10 นี้ ในช่วงที่ไทยได้เปิดการเจรจาสันติสุขร่วมกับกลุ่ม มาราปตานี (MARA Patani) สุกรี ฮารี หัวหน้ากลุ่มคณะฝ่ายมาราปตานีได้ระบุกับ BBC ไทยเมื่อปี 2017 ว่า “รัชกาลที่ 10
ทรงมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ ถ้ารัฐบาลเป็นอย่างนี้
ไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาได้ นอกจากรัชกาลที่ 10
พระองค์เดียวที่จะแก้ปัญหาให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด”
นอกจากนี้ชนมุสลิมไม่มีปัญหาเรื่องการมีตัวแทน เพราะมีนักการเมืองที่เป็นมุสลิมหลายท่านและมีการกำหนดโควต้าที่นั่งให้ในวุฒิสภา รวมไปถึงการมีสิทธิขั้นพื้นฐานและมีสถานะพลเมืองเทียบเท่าคนไทยทุกประการ เหตุผลทั้งหมดในเชิงโครงสร้างนี้ ได้ทำให้คนมุสลิมต่างมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชาติไทย
มุมมองของรัฐที่มีต่อมุสลิมชนกลุ่มน้อย
ไทยมองกลุ่มชนมุสลิมอย่างเป็นมิตรมากกว่า
และยอมรับอัตลักษณ์มากกว่า ถึงแม้จะเคยเกิดเหตุการณ์กรณีตากใบขึ้น
แต่หลังจากการรัฐประหาร พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
นายกรัฐมนตรีขณะนั้นได้เดินทางมากล่าวคำขอโทษต่อชาวมุสลิมที่ปัตตานีในวันที่ 2
พฤศจิกายน 2549 ว่า “ผู้นำชุมชนได้ขอร้องผมว่าให้กล่าวคำขอโทษต่อกรณีที่เกิดขึ้นที่อำเภอตากใบ
โดยธรรมเนียมของคนมุสลิมในช่วงที่ออกจากการถือศีลอดนั้น
ต้องมีการขอโทษและให้อภัยกัน ผมก็ได้ขอโทษแทนรัฐบาลชุดที่แล้ว
และในฐานะที่เป็นผู้นำของผู้บริหารในรัฐบาลปัจจุบันก็ขอโทษในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น…
ผมขอโทษ ผมเคยเป็น ผบ.ทบ. มาก่อน
และเคยพยายามคัดค้านการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้ว แต่ไม่เป็นผล
ถือว่าผมมีส่วนผิดด้วย ที่คัดค้านการยุบ ศอ.บต. ไม่สำเร็จ แต่วันนี้ พล.อ.สนธิ ฯ
มาทำงานร่วมกัน น่าจะไม่มีปัญหาในทุกเรื่อง เราจะหาทางแก้ไขจากง่ายไปหายาก
จากเล็กไปหาใหญ่”
นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนปฏิสัมพันธ์เพื่อพยายามแสดงให้เห็นว่าไทยไม่ปฏิเสธคนมุสลิม
และใช้วิธีการอย่างสันติมากขึ้นในการเจรจา
และกลุ่มประชาสังคมยังช่วยผลักดันด้วยกระบวนการพูดคุยสันติภาพมาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
อิทธิพลของพุทธชาตินิยมและความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรง
กระแสของพุทธชาตินิยมในไทยนั้นไม่ได้มีความรุนแรงเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน
และคนไทยทั่วไปก็ไม่ได้มีความรู้สึกต่อต้านคนมุสลิม
ถึงแม้จะมีกลุ่มที่พยายามผลักดันกฎหมายหรือผลักดันแนวคิดที่ไปในทางต่อต้านคนมุสลิม
แต่คนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้มีอิทธิพลและไม่ได้รับการตอบรับ และองค์กรพุทธสายสันติก็มีบทบาทนำมากกว่าด้วย
จากเหตุผลทั้งสามข้อนี้
ทำให้คนไทยส่วนใหญ่สามารถดำรงอยู่กับคนมุสลิมกลุ่มน้อยได้อย่างกลมเกลียวไม่มีปัญหาต่อกัน
และนอกจากนี้กระบวนการสันติภาพก็ยังสามารถดำเนินต่อไปได้
โดยที่ตอนนี้ยังไม่มีประเด็นน่ากังวลอะไรมากมายนัก
อ้างอิง
:
[1]
สรุปความจากเอกรินทร์ ต่วนศิริ และอันวาร์ กอมะ, มุสลิมชนกลุ่มน้อยภายใต้รัฐเมียนมาและรัฐไทย
(ปัตตานี: คณะรัฐศษสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, 2564).
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น