รากเหง้าของความคิดตกขอบในสังคมมุสลิม
ผู้ที่ติดตามความเป็นไปของสังคมทุกวันนี้จะตระหนักแก่ใจได้อย่างหนึ่งว่า
ความรุนแรงเกิดขึ้นอยู่ทั่วไป ความขัดแย้งแม้เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ แต่บ่อยครั้ง คนเราก็ใช้ความรุนแรงเข้าจัดการ
ก่อให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างที่ไม่ควรเกิด
จนดูเหมือนชีวิตมนุษย์จะมีค่าน้อยกว่าผักหญ้าริมถนนเข้าไปทุกที แม้สังคมมุสลิม ที่ได้ชื่อว่าเป็นสังคมเคร่งศาสนา
ก็ยังไม่อาจหลีกหนีความรุนแรงได้ จะพูดให้ตรงลึกลงไปอีก ก็คือความรุนแรงในรูปของสงครามและการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์
เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของมุสลิม ในขณะที่ความรุนแรงในพื้นที่อื่น ๆ
มักเป็นอาชญากรรมส่วนตัวและเกิดด้วยแรงกิเลสตัณหาของปัจเจกบุคคลเป็นสำคัญ
การค้นหาคำตอบว่า
อะไรคือต้นเหตุของความคิดตกขอบ ซึ่งนำไปสู่ความรุนแรงในสังคมมุสลิม
อาจไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่ใช่เรื่องถูกต้องนัก
หากไม่สนใจศึกษาประวัติศาสตร์ของมุสลิมเอง ซึ่งฝ่าฟันคลื่นของความ
รุนแรงมาอย่างโชกโชนระลอกแล้วระลอกเล่า ในสายธารประวัติศาสตร์อันยาวไกล
ทั้งความรุนแรงภายในและผลจากการปฏิสัมพันธ์กับประชาชาติอื่น
ทั้งความรุนแรงที่คู่ควรกับสถานการณ์และความรุนแรง ที่ไม่สอดคล้องกับเหตุผลและความชอบธรรม
การเข้าถึงประวัติศาสตร์
เพื่อรับรู้ถึงบ่อเกิดของความคิดตกขอบในอดีตอาจช่วยให้การแก้ไขปัญหา ณ ปัจจุบัน
ทำได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ
ผ่อนคลายความรุนแรงและกอบกู้ชีวิตของผู้บริสุทธิ์ได้มากขึ้น
เป็นที่ทราบกันว่า
วิถีชีวิตมุสลิมผูกพันกับศาสนาอิสลามอย่างเป็นด้านหลัก และควรทราบว่าบทบัญญัติต่าง
ๆ ของอิสลามมุ่งปกป้องสิ่งสำคัญสูงสุดในชีวิตมนุษย์ 6 ประการ เรียกว่า “มะกอซิด
อัชชะรีอะฮ” ได้แก่
· ชีวิต
· ศาสนา
· สติปัญญา
· ทรัพย์สิน
· เผ่าพันธุ์
· เกียรติยศชื่อเสียง
การทำลายชีวิตและทรัพย์สินผู้อื่นอย่างง่ายดาย
และปราศจากความเมตตาสงสาร จึงย่อมขัดแย้งกับเจตนารมณ์แห่งอิสลาม
และนับแต่การอุบัติขึ้นของอิสลามในนครมักกะฮ์ในคริสตศตวรรษที่ 7 ความสงบและสันติ ก็เข้าปกคลุมคาบสมุทรอาหรับ
อันเนื่องจากหัวใจของผู้คนได้ซึมซับ เอาหลักธรรมแห่งอิสลามไว้อย่างเต็มเปี่ยม
ตราบจนปี ฮิจรอฮ์ศักราชที่ 40
และ
30 ปีภายหลังศาสดามุหัมมัด (ซ็อลฯ) สิ้นชีพ
สังคมมุสลิมก็เริ่มเผชิญกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่หลายครั้ง ก็ชักนำให้ผู้คนมีความคิดตกขอบและนำไปสู่การล่วงละเมิดบทบัญญัติแห่งศาสนา
ซึ่งที่สุดก็คือการก่อความรุนแรงในสังคมนั่นเอง ปรากฏการณ์ดังกล่าว
มีปัจจัยหนุนส่งสำคัญที่อาจสรุปได้ดังนี้
1.ปัจจัยทางพันธุกรรม
บุคลิกและอุปนิสัยของคนเราส่วนหนึ่งนั้น
ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ รวมทั้งความก้าวร้าวรุนแรงหรือความอ่อนโยนด้วย เห็นได้จากวจนะแห่งบรมศาสดามุหัมมัด
(ซ็อลฯ) ที่กล่าวถึง ซุล คุวัยซิรอฮ์ ซึ่งบังอาจกล่าวหาศาสดาว่า ไม่มีความยุติธรรมว่า
“เทือกเถาเหล่ากอของคน ๆ นี้ เป็นพวกที่อ่านอัลกุรอานอยู่เพียงแค่คอหอย
พวกเขาพร้อมที่จะฆ่ามุสลิมแต่จะละวางพวกบูชาเจว็ด” (บุคอรีย์ มุสลิม)
ซุล
คุวัยซิรอฮ์ นี้เองเป็นต้นกำเนิดของกลุ่มคอวาริจญ์ ที่มีความคิดตกขอบรุนแรง
กระทั่งมองคนอื่นที่คิดเห็นแตกต่างจากตนเป็นอริศัตรูที่ต้องเข่นฆ่า
แม้กระทั่งคอลีฟะฮ์อาลี ผู้ทรงธรรมก็ถูกลอบสังหารในปี ฮ.ศ. 40/ค.ศ. 661
อย่างไรก็ตาม
แม้จะสืบทอดกมลสันดานก้าวร้าวรุนแรงมาอย่างไร แต่หากปัจจัยภายนอกไม่หนุนส่ง
ก็ยากที่คนเหล่านี้จะก่อความรุนแรงได้ จึงแม้จะมีคนประเภทนี้ อยู่ในยุคแห่งบรมศาสดา
(ซ็อลฯ) แต่พวกเขาก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะชักชวนใครให้ก่อความรุนแรงได้
อันเนื่องจากความรู้ ความเข้าใจ อย่างถ่องแท้ต่อหลักธรรมของศาสนา ปัจจัยภายนอก จึงเป็นกุญแจสำคัญในการสกัดกั้นความคิดตกขอบในตัวของคน
ๆ หนึ่ง มิให้ส่งผลเสียหายต่อสังคมโดยรวม
2.ปัจจัยทางชาติพันธุ์
สงครามระหว่างมุสลิมด้วยกันเองหลายครั้ง
มีมูลเหตุมาจากการยึดมั่นในชาติตระกูลที่แตกต่างกันของแต่ละกลุ่ม ทั้ง ๆ
ที่อิสลามวางบรรทัดฐานความประเสริฐของบุคคลไว้ที่ความยำเกรงต่ออัลเลาะห์ พระผู้เป็นเจ้า
(อัลกุรอาน,
อัลหุญุรอต : 13) และห้ามการยึดถือบุคคลเหนือหลักความถูกต้อง
(อัลกุรอาน, เตาบะฮ์ : 24) กระนั้น เมื่อใดที่สำนึกแห่งศาสนธรรมในจิตใจแผ่วอ่อนลง
คนเราก็มักถูกความรู้สึกรักชาติตระกูลครอบงำ จนกลายเป็นความตกขอบและอาจลงมือเข่นฆ่าผู้อื่นได้
โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม
เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
ที่นำความขมขื่นมาสู่มุสลิมทุกคน
คือ การเข่นฆ่าหุซัยน์ ผู้เป็นบุตรแห่งอาลี ที่เมืองกัรบาลา ประเทศอิรัก ในปี
ฮ.ศ.61/ค.ศ.680 มีแรงผลักดันที่สำคัญ นอกเหนือจากประเด็นทางการเมืองแล้วก็คือเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน
ซึ่งกลุ่มที่ลงมือยึดไว้อย่างสุดโต่ง ผลของเหตุการณ์ครั้งนั้น นำไปสู่การกำเนิดของความสุดโต่งอีก
ขั้วหนึ่ง ได้แก่ กลุ่มชีอะฮ์ ที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวอาลี และวงศ์วานของท่านจนเกินความพอดี
แม้จะผ่านความเจ็บปวดรวดร้าว
อันเป็นผลจากการยึดมั่นในเชื้อชาติเผ่าพันธุ์อย่างตกขอบมาแล้วเช่นนั้น
แต่ดูเหมือนคนบางกลุ่มกลับไม่สำเหนียกถึงบาดแผลที่เคยประสบ
ความพลิกผันในประวัติศาสตร์ ที่มักจบลงด้วยการเข่นฆ่าทำลาย
ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในกาลต่อมา แม้กระทั่งการล่มสลายของอาณาจักรออตโตมาน
ในปี ค.ศ.1924 ก็มีปัจจัยทางเชื้อชาติกัดเซาะอยู่เบื้องหลัง
และที่ยังอยู่ในความทรงจำของคนในยุคนี้ได้ดี ก็คือสงครามกลางเมืองในอัฟกานิสถาน ภายหลังอดีตสหภาพโซเวียตถอนกำลังออกไป
สภาพของนักรบอัฟกัน ฯ ซึ่งเคยได้รับการยกย่องจากมุสลิมทั่วโลกว่าเป็น “มุญาฮิดีน”
กลับแปรเปลี่ยนเป็นแก๊งค์อาชญากร ที่รบพุ่งกันเองและต่างก็พยายามยื้อแย่งอำนาจมาสู่กลุ่มพวกของตน
ภายในฝุ่นควันของสงครามกลางเมืองในอัฟกานิสถานนี้
สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความอัปยศดังกล่าวได้แก่
การยึดมั่นถือมั่นอย่างตกขอบในเผ่าพันธุ์ของแต่ละกลุ่มในอัฟกานิสถานเอง
บทเรียนเช่นนี้
น่าจะทำให้มุสลิมร่วมสมัยตระหนักได้ว่า
การต่อสู้เพื่อยกฐานะชาติพันธุ์ของตน โดยการเข่นฆ่าทำลายผู้อื่นอย่างขาดความชอบธรรม
ไม่เคยได้รับพระเมตตาจากอัลเลาะห์ พระผู้เป็นเจ้าให้ยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคงเลย
และน่าจะเตือนสติประเทศมุสลิมบางประเทศได้ว่า
อย่าช่วยเหลือผู้อื่นเพียงเพราะมีชาติพันธุ์เดียวกับตน โดยมองข้ามความถูกต้องเหมาะสมตามหลักศาสนา
ทั้งควรเป็นข้อคิดสำหรับชาวมุสลิมทุกคนว่า อย่าปล่อยให้ความเกลียดชังที่มีต่อคนต่างเผ่าพันธุ์มาทำลายความยุติธรรมและเมตตาธรรมที่พึงมีในจิตใจ
จนสามารถลงมือฆ่าผู้อื่นได้อย่างโหดเหี้ยมไร้ความปราณี
3.
ปัจจัยทางการเมือง
อำนาจเป็นสิ่งที่หอมหวานเสมอ
หากผู้แสวงหามุ่งหวังเพียงอำนาจโดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม
อำนาจทางการเมืองเมื่อบวกกับความคลั่งเชื้อชาติ
เคยก่อโศกนาฏกรรมต่อชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์มานับไม่ถ้วน ในประวัติศาสตร์อิสลาม
ความขัดแย้งทางการเมืองในปลายยุคคุลาฟาอ์รอชิดีนหนุนส่งให้ผู้มีความคิดอ่านก้าวร้าวอยู่แล้ว
จัดตั้งกลุ่มคอวาริจญ์ขึ้น กล่าวหาผู้มีความคิดเห็นแตกต่างจากตนเป็นคนนอกศาสนา
(กุฟร์) และใช้อาวุธทำลายผู้คนจนล้มตายดุจใบไม้ร่วง
ความกระสันอยากในอำนาจจนเกินขอบเขตความพอดี
ทำให้ราชวงศ์อุมัยยะฮ์กับอับบาซียะฮ์ ขับเคี่ยวกันเป็นเวลาถึงเกือบศตวรรษ (ฮ.ศ.40
– ฮ.ศ.132) ช่วงเวลาของการขับเคี่ยวระหว่างสองกลุ่ม เป็นทั้งช่วงเวลา ของการ
ทรยศหักหลังและการเข่นฆ่าทำลายล้างศัตรูทางการเมือง ราชวงศ์อับบาซียะฮ์ ซึ่งสามารถโค่นราชวงศ์อุมัยยะฮ์ลงได้ในปี
ฮ.ศ.132/ค.ศ.750 กลับมาห้ำหั่นกันเองจนขุนศึกคนสำคัญอย่างอบูมุสลิมแห่งคุรอซาน ยังถูกรุมสังหารอย่างเหี้ยมโหดในปี
ฮ.ศ.137/ค.ศ.755 ขณะอยู่บนบัลลังก์อำนาจคอลีฟะฮ์อับบาซีย์ ยังพยายามขจัดคู่แข่งทางการเมืองอย่างชีอะฮ์ทุกรูปแบบ
จนกระทั่งฝ่ายหลังต้องหลบไปเผยแพร่ลัทธิของตนทางตะวันออกของคาบสมุทรอาหรับ และสามารถรวบรวมกำลังพลได้มากในบาห์เรนภายใต้การนำของอบี
ตอฮิร สุลัยมาน กลุ่ม คนซึ่งบ่มเพาะความเกลียดชังต่อราชวงศ์อับบาซียะฮ์นี้ ถึงกับลงมือยกกำลังพลเข้าสู่มักกะฮ์ในปี
ฮ.ศ.317 ทำลายกะบะฮ์ ถอดหินดำจากที่ตั้ง
และสังหารหมู่ผู้ที่กำลังประกอบพิธีฮัจญ์ในมัสยิดอัลหะรอมไปถึงประมาณ 30,000 คน
จากนั้นก็โยนศพของเหยื่อเหล่านั้นลงในบ่อน้ำซัมซัม!
เหตุการณ์ทำนองนี้น่าจะมีนัยยะสอนใจคนรุ่นหลังได้ว่า
อำนาจทางการเมืองหากตกอยู่ในมือของคนที่ขาดสำนึกแห่งศาสนธรรม มักนำไปสู่ความตกขอบในเรื่องการช่วยเหลือพวกพ้องและปกป้องผลประโยชน์ส่วนตน
แม้อิสลามจะสอนให้เคารพในเลือดเนื้อและชีวิต แต่อิสลามก็มักถูกนำไปเป็นเครื่องมือในการเข่นฆ่าผู้อื่นอยู่เสมอ โดยน้ำมือของผู้มีความคิดตกขอบในการตอบโต้ความอยุติธรรม
การเมือง
ที่ขาดความยุติธรรมและขาดการเสียสละเพื่อส่วนรวมมักผลักดันให้คนบางกลุ่มเกิดความคิดตกขอบในการต่อต้านสังคมเสมอ
และยังนำไปสู่ความคิดตกขอบด้านศาสนาด้วย เช่น กำเนิดของชีอะฮ์และคอวาริจญ์ เป็นต้น
ที่กล่าวมาข้างต้นนี้
แม้จะเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความคิดและการกระทำอันถือได้ว่าตกขอบในอดีต
แต่ปัจจัยดังกล่าวจะเกิดในยุคใดก็ย่อมให้ผลไม่ต่างกัน ดังนั้น ตราบถึงปัจจุบัน
ความคิดตกขอบในสังคมมุสลิมก็ยังมีอยู่
ทั้งนี้
เพราะปัจจัยต่าง ๆ
ที่ได้กล่าวถึงแล้วนี้ยังคงอยู่หรืออาจกล่าวได้ว่าความเข้มของปัจจัยเหล่านี้มีมากกว่าในอดีตด้วยซ้ำไป
เนื่องจากสิ่งเดียวที่จะช่วยดับความร้อนแรงจากเปลวเพลิงแห่งอารมณ์อันก้าวร้าว
เปลวเพลิงจากความคลั่งเชื้อชาติและเปลวเพลิง จากความกระสันอยากทางการเมือง
อันได้แก่อิสลามบริสุทธิ์
ถูกสังคมจำกัดบทบาทอยู่เพียงพิธีกรรมไม่กี่อย่างแล้วปล่อยช่องว่างให้เป็นสิทธิของกิเลส
ตัณหา อารมณ์ คอยบงการชี้นำ จนแม้ศาสนาที่บริสุทธิ์ก็พลอยมัวหมอง
เพราะตกเป็นเครื่องมือของคนที่คลั่งไคล้เหล่านั้น
เมื่ออิสลามเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยดับเปลวเพลิงของความคลั่งไคล้และแค้นเคืองได้
จึงเป็นหน้าที่ของผู้รู้ (อุละมาอ์) ที่มีอิสลามอยู่กับตัว ต้องนำโอสถขนานนี้ มาบำบัดความทุกข์ร้อนที่กำลังเกาะกินใจของผู้คนอยู่
คือ ผู้รู้ซึ่งอิสลามถือว่า เป็นทายาทสืบทอดศาสนธรรมจากบรมศาสดา
(ซ็อลฯ) ที่สำคัญผู้รู้เองต้องไม่ปล่อยให้ความรู้สึกรักและห่วงใยในพวกพ้องของตนมาปิดหูปิดตาจนไม่ยอมรับรู้ว่ามีความคิดและการกระทำตกขอบของมุสลิม
ซึ่งขัดแย้งกับหลักธรรมอิสลามอยู่มากมายในสังคมนี้
สังคมที่ถึงพร้อมด้วยเหตุและปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งสามารถ
ชักนำสู่ความตกขอบได้เช่นเดียวกับที่เคยเกิดมาแล้วในประวัติศาสตร์อันยาวนาน
การปฏิเสธความจริงและโยนความผิดให้กับผู้อื่นร่ำไป
เป็นการกระทำที่ดูเหมือนจะพยายามล้มล้างประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่อาจเป็นไปได้
ซ้ำยังทำให้ปัญหา
ยิ่งบานปลายและกลายเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของอิสลามให้มัวหมองยิ่งขึ้นไปอีก
แน่นอน
ความรุนแรงในที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย
มีส่วนผสมของเหตุและปัจจัยต่าง ๆ ร่วมอยู่มากมาย ปัจจัยทางการเมืองและการปกครองเป็นเรื่องที่รัฐและเจ้าหน้าที่รัฐต้องพึงตระหนักถึงความผิดพลาดที่ผลักดันให้ประชาชนออกห่างและไม่อยากให้ความร่วมมือด้วย
แต่การตอบโต้ความอยุติธรรมต่าง ๆ บนพื้นฐานของความคิดตกขอบสุดขั้ว
โดยใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของบรรดานักวิชาการอิสลามและองค์กรมุสลิมทั้งหลายที่จะต้องช่วยกันฉุดรั้งและจรรโลงความพอดี
ที่อิสลามวางไว้ให้เป็นบรรทัดฐานในการแก้ไขปัญหาต่อไป หาไม่แล้วผู้รู้และองค์กรมุสลิมทั้งหลาย
ท่านจะตอบอัลเลาะห์ พระผู้เป็นเจ้าว่าอย่างไร? หากพระองค์ทรงถามว่า ได้ทำอะไรบ้าง
เพื่อปกป้องศาสนาของพระองค์จากการย่ำยีของพวกตกขอบสุดขั้วทั้งหลาย...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น