การพึ่งพากันและกัน
อิสลามถือว่า ความหลากหลายทางด้านภูมิศาสตร์ ด้านประชากร
และด้านเชื้อชาติหรือวงศ์ตระกูลของมนุษยชาติ
คือหนทางนำไปสู่การเสริมสร้างการปฏิสัมพันธ์กัน การเอื้อเฟื้อกัน
และความร่วมมือกัน ขณะเดียวกันจะปิดประตูต้นเหตุแห่งการบาดหมาง พยาบาท การเข่นฆ่า
และสงครามนองเลือดระหว่างกัน คัมภีร์อัล-กุรอานระบุความว่า "และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเชื้อชาติและเผ่าตระกูล
เพื่อจะได้รู้จักกันและกัน" (อัลหุญุรอต : 13)
ดังนั้นการรู้จักซึ่งกันและกัน
ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การเข้าถึงความร่วมมือกันในด้านต่างๆ
และถือเป็นบันไดขั้นแรกของกระบวนการสร้างอารยธรรมอันสูงส่งของมนุษยชาติ
ทั้งในด้านพัฒนาการศึกษา ชีวิตความเป็นอยู่ สังคม เศรษฐกิจ การปกครอง และอื่นๆ
สังคมและการคบค้าสมาคม
เมื่ออิสลามยอมรับการอยู่ร่วม สังคมพหุวัฒนธรรม แบบหลายหลาก จึงไม่มีข้อห้ามแต่ประการใดที่จะปฏิบัติดีต่อผู้ที่มิได้ต่อต้าน
กดขี่ ข่มเหง เผาทำลาย เข่นฆ่า และขับไล่ออกจากบ้านเกิดเมืองนอน คัมภีร์อัล-กุรอานระบุความว่า
"อัลลอฮ์ มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้า
ในเรื่องศาสนา และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้าในการที่
พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริง อัลลอฮ์
ทรงรักผู้มีความยุติธรรม" (อัลมุมตะหะนะฮ์ : 8)
เช่นเดียวกับช่วยเหลือและสนับสนุนพวกเขา
ตราบใดที่ไม่ขัดต่อหลักกฎหมายอิสลาม ดังปรากฏในคัมภีร์อัล-กุรอานระบุความว่า
"และพวกท่านจงช่วยเหลือสนับสนุนกันในความดีและยำเกรง
และพวกท่านอย่าช่วยเหลือสนับสนุนในกิจกรรมที่บาปและการเป็นศัตรูกัน" (อัลมาอิดะฮ์
: 2)
ส่วนคนที่ประกาศตนเป็นศัตรูต้องการทำลายล้างอิสลาม (กาเฟรหัรบีย์)
หรือแสดงออกเชิงเป็นปรปักษ์ต่อศาสนา อิสลามห้ามคบค้าสมาคมด้วย คัมภีร์อัล-กุรอานระบุความว่า
"แต่ว่าอัลลอฮ์ ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนาและขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า
และช่วยเหลือให้ขับไล่พวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะผูกมิตรกับพวกเขาและผู้ใดผูกมิตรกับพวกเขา
ชนเหล่านั้นพวกเขาเป็นผู้อธรรม" (อัลมุมตะหะนะฮ์ : 9)
การโต้แย้งด้วยวิธีที่ดีกว่า
อิสลามยึดหลักการสนทนาและเจรจาสันติวิธีนำเสนอหาทางออกด้วยวิธีการที่ดีกว่าเสมอ
วิธีการดังกล่าวคือ
หนทางสู่การสร้างความเข้าใจและการยอมรับอันจะนำไปสู่การประสานความร่วมมือ
และจรรโลงปัญหาสังคมโลกสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน คัมภีร์อัล-กุรอานระบุความว่า "และพวกเจ้าอย่าโต้เถียงกับชาวยิว
และคริสเตียน เว้นแต่ด้วยวิธีการที่ดีกว่า" (อัลอังกะบูต :46)
และยังระบุอีกความว่า
"จงเผยแผ่สู่แนวทางแห่งพระเจ้าของเจ้าด้วยวิธีการที่สุขุม
และการตักเตือนที่ดี และจงโต้แย้งพวกเขาด้วยเหตุผลและหลักฐานที่ดีกว่า" (อันนะหฺลุ
:125)
การละเมิดสิทธิในยุคญาฮิลียะฮ์ (ยุคสมัยงมงายและป่าเถื่อน)
ซึ่งเต็มไปด้วยความยากลำบาก ทุกหนแห่งมีความไม่เสมอภาคกัน สตรีคนชราถูกกระทำ
เด็กถูกละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน มนุษย์ถูกแบ่งเป็นชนชั้น
คนชั้นล่างจะถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกปฏิบัติเหมือนเป็นสิ่งของ
สิทธิถูกสงวนไว้สำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น สงครามระหว่างกันคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์
แต่หลังนบีมุฮัมมัด
(ซ.ล.) ถูกแต่งตั้งเป็นศาสนทูตแห่งพระเจ้า ท่านกำหนดสิทธิให้กับประชาชน
ทั้งเรื่องสิทธิส่วนบุคคลและสิทธิส่วนรวม
และสิทธิที่พึงมีพึงได้รับและสิทธิที่พึงปฏิบัติ
ชนิดมีกฎหมายอิสลามรับรองไว้อย่างแยกเยอะ เช่น
สิทธิมนุษย์ขั้นพื้นฐานจะได้มาตั้งแต่กำเนิดไม่มีใครสามารถพรากเอาไปได้
หรือสิทธิมุสลิมพึ่งได้รับจากผู้ปกครองมุสลิม
หรือสิทธิผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมพึงได้รับจากผู้ปกครองมุสลิม
สิทธิดังกล่าวล้วนได้รับความคุ้มครอง ไม่ว่าจะเป็น ชีวิต เลือดเนื้อ ทรัพย์สิน
ชื่อเสียง และเกียรติของตนเองและผู้อื่น คัมภีร์อัลกุรอานระบุความว่า "เนื่องจากเหตุนั้น
เราจึงได้บัญญัติแก่วงศ์วานของอิสรออีลว่าผู้ใดสังหารชีวิตหนึ่งโดยไม่ใช่เป็นการชดเชยอีกชีวิตหนึ่ง
หรือไม่ใช่เนื่องจากการบ่อนทำลายในแผ่นดินแล้ว
ก็ประหนึ่งว่าเขาได้สังหารมนุษย์ทั้งมวล
และแท้จริงนั้นบรรดาศาสนทูตของเราได้นำหลักฐานต่างๆ อันชัดแจ้งมายังพวกเขาแล้ว, แล้วได้มีจํานวนมากมายในหมู่พวกเขาเป็นผู้ฟุ่มเฟือยในแผ่นดิน" (อัลมาอิดะฮ์
: 32)
ปีที่
10 ฮ.ศ. ศาสนทูตมุฮัมมัด (ซ.ล.) พร้อมด้วยบรรดาเศาะหาบะฮฺหรือสหายประกอบพิธีหัจญ์
ณ ทุ่งอะเราะฟะฮฺ คลื่นมหาชนได้รวมตัว ณ สถานที่เดียวกัน วันเวลาเดียวกัน
การแต่งกายที่เหมือนกัน เจตนารมณ์และวัตถุประสงค์เดียวกัน
ภายใต้การนำโดยผู้นำสูงสุดคนเดียวกัน
และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่สามารถรวมคนราว 100,000
คนที่มีความแตกต่างกันในด้านภาษา สีผิว วงศ์ตระกูล เชื้อชาติ และเผ่าพันธุ์
เนื้อหาหลักของเทศนาธรรมครั้งสุดท้ายของท่านนี้
เป็นการประกาศโลกาทัศน์ของศาสนาอิสลามที่พึงมีต่อมนุษยชาติ ซึ่งครอบคลุมถึง
(1)
หลักความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
ทุกชีวิตมีเกียตริมีศักดิ์ศรีและเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า
(2)
หลักการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ความเสมอภาค ความเท่าเทียมกัน และให้เกียรติกัน
(3) การปฏิบัติตนสำหรับมุสลิมกับมุสลิม
ด้านจริยธรรมและศีลธรรม
(4)
การปกป้องผลประโยชน์และขจัดการเอารัดเอาเปรียบที่เกิดในสังคมทุกรูปแบบ
โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
(5)
องค์ประกอบสังคมที่ดีมาจากฐานครอบครัว
ทุกคนต้องรู้จักหน้าที่และรับผิดชอบในหน้าที่ของตน
(6)
ทุกชีวิตต้องได้รับการคุ้มครองสิทธิมนุษย์ขั้นพื้นฐาน ได้แก่ ศาสนา ชีวิต สติปัญญา
เชื้อสาย และทรัพย์สิน
(7)
สตรีทุกคนมีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่ดีงามจากผู้ชาย
เช่นเดียวกับผู้ชายมีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่ดีจากสตรี
(8)
ให้หาทางออกและแก้ปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้น โดยอาศัยสิ่งที่ปรากฎจากพระคัมภีร์อัล-กุรอานและแบบฉบับศาสดา
สนับสนุนสันติภาพ อิสลามยอมรับเรื่องการให้ความช่วยเหลือในทุกกิจการอันนำไปสู่คุณประโยชน์ต่อสังคมและส่งเสริมคุณค่าของความเป็นมนุษยชาติ
เพื่อสร้างบรรยากาศที่สงบร่มเย็น เป็นสุข และมีความยุติธรรม นบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) ได้เคยเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในสนธิสัญญา
(ยุคก่อนอิสลาม) ที่บ้านของอับดุลลอฮฺ บุตร ญัดอาน
ซึ่งมีเนื้อหาต่อต้านความอยุติธรรมในสังคม
และหลังจากที่อิสลามได้แผ่ขยายไปทั่วคาบสมุทรอาหรับไปพร้อมๆกับสนธิสัญญาดังกล่าวท่านว่า
“หากฉันได้รับการเชิญชวนให้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานในสนธิสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ที่คล้ายคลึงกันกับสนธิสัญญาดังกล่าว
ฉันยินดีเข้าร่วมอย่างแน่นอน” (บันทึกโดยบัซซาร,หะดีษเฎาะอีฟ)
คำกล่าวของท่านสะท้อนให้เห็นว่า
อิสลามไม่ปฏิเสธ
สนธิสัญญาหรือการเข้าร่วมกระบวนการสร้างสันติภาพที่มีนัยยะส่งเสริมหรือช่วยเหลือเกื้อกูลในสิ่งที่ดี
ประสานความเข้าใจ มีความจริงใจและซื่อสัตย์ต่อกัน เช่นเดียวกับนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) เคยร่วมเป็นภาคีสัญญากับชาวกุเรชในสงครามหุดัยบียะฮฺ
เพื่อยุติความขัดแย้งและความสูญเสีย
ตลอดจนท่านเคยร่วมลงนามในสัญญากับเผ่าต่างของกลุ่มชาวยิว
เพื่อสร้างความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้นในสังคมในนครมะดีนะฮ์
นอกจากนั้นอิสลามยังได้กำชับให้มุสลิมยึดมั่นในความยุติธรรมและความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อมนุษยชาติ
คัมภีร์อัล-กุรอานระบุความว่า "อัลลอฮ์ มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าให้พวกเจ้ากระทำความดีและให้ความยุติธรรมแก่
บรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และมิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักผู้ดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม" (อัลมุมตะหะนะฮฺ : 8)
ความสงบร่มเย็น
คือ เป้าหมายเท่าที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า คำสอน กฎระเบียบ
ข้อห้ามข้อใช้ที่มาจากศาสนาอิสลามนั้น
มุ่งไปที่การอยู่ดีกินดีสงบสุขและมั่นคงของสังคมโลก
แนวทางดังกล่าวนับเป็นเส้นทางหลักในการเสริมสร้างสันติภาพในประชาคมโลก
และถืออันเป็นโอกาสดีที่เอื้อต่อการสร้างความเข้าอกเข้าเข้าใจที่ดีต่อกัน
สร้างความเข้มแข็งทางสังคม สร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และอื่นๆ คัมภีร์อัล-กุรอานระบุความว่า
"โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย
เจ้าจงเข้าในกระบวนการสันติภาพโดยทั่วทั้งหมดด้วยเถิด" (อัลบะเกาะเราะฮ์
: 208)
คัมภีร์อัลกุรอานยังระบุความว่า
"และหากพวกเขาโอนอ่อนมา เพื่อการประนีประนอมแล้ว
เจ้าก็จงโอนอ่อนตามเพื่อการนั้นด้วย และจงมอบหมายกิจการทั้งปวงแด่อัลลอฮ์เถิด แท้จริงนั้นพระองค์คือผู้ทรงได้ยินทรงรอบรู้
และถ้าหากพวกเขาต้องการที่จะหลอกลวงเจ้า
แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นที่พอเพียงแก่เจ้าแล้ว พระองค์คือ
ผู้ที่ได้ทรงสนับสนุนเจ้าด้วยการช่วยเหลือของพระองค์ และด้วยผู้ศรัทธาทั้งหลาย"
(อัลอัมฟาล : 61)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น