บิดเบือนศาสนา
สร้างความแตกแยก ทาสแท้นักรบฟาตอนี
ความจริงที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่เกิดจากการกระทำอย่างไร้จิตสำนึกของโจรที่เรียกตัวเองว่า “นักรบฟาตอนี”
ในเวลานี้นั้น นอกเหนือจากการใช้อาวุธเข้าข่มขู่เข่นฆ่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าศาสนาใดที่เข้ามาขัดขวางการกระทำอันหยาบช้าของกลุ่มตน
ไม่เว้นแม้แต่ชาวบ้านตาดำๆ ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยแล้ว
การแอบอ้างเอาอุดมการณ์ ซึ่งคำๆ
นี้ไม่คู่ควรจะใช้กับคนบาปเหล่านี้มาสร้างความชอบธรรมในการทำชั่ว
โดยเฉพาะ
การบังอาจแอบอ้างถึงองค์อัลเลาะห์ โดยการบิดเบือนทั้งคำสอนทางศาสนา และประวัติศาสตร์
ยังเป็นวิธีการหนึ่งที่ขบวนการผู้หิวโหยใช้
มุ่งหวังให้พี่น้องมุสลิมซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ คล้อยตาม
เพื่อรักษามวลชนของตนไว้และบิดบังกลบเกลื่อนความเลวทราม
ที่ได้กระทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ซึ่งทุกเรื่องนั้นฟังดูน่าขันที่ “ไซตอน”
กลุ่มนี้กล้าโกหกพี่น้องมุสลิมมลายูได้อย่างหน้าด้านๆ เรื่องเป็นอย่างไรจะยกตัวอย่างให้เห็น
คำกล่าวที่ว่ารัฐปัตตานี
เป็นรัฐอิสลามที่ดำรงอยู่มากว่าหนึ่งพันปีนี่เป็นเรื่องแรกที่กุเรื่องบิดเบือน
โดยไม่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของตนเองเลยแม้ซักนิด (ซึ่งน่าจะไม่เคยเรียนมาด้วยซ้ำ)
รัฐปัตตานีในอดีตนั้น ประชาชนนับถือศาสนาฮินดู-พรหมณ์และศาสนาพุทธ
ต่อมาเมื่อศาสนาอิสลามเผยแพร่
เข้ามายังปัตตานี เมื่อประมาณ 500 ปีที่ผ่านมา พลเมืองมลายูบางส่วนจึงเข้ารับอิสลาม
ทำให้ดินแดนปัตตานี มีทั้งมลายูมุสลิมและมลายูพุทธ
ภายหลังเมื่อราชสำนักเริ่มรับอิสลามทำให้เหล่าขุนนาง
ข้าราชสำนักและประชาชนเริ่มรับอิสลามมากขึ้น ทำให้ประชาชนบางส่วนนับถือศาสนาอิสลาม
แต่ในความเป็นจริงแล้วประชาชนส่วนใหญ่ยังคงนับถือศาสนาพุทธอยู่
ซึ่งยังมีหลักฐานทางโบราณคดีปรากฏให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน
อย่างนี้ยังจะมาบิดเบือนให้ลูกหลานรับรู้ประวัติศาสตร์แบบผิดๆ
ได้อย่างไร ขบวนการต่างหากที่พยายามก่อเหตุร้ายมาอย่างต่อเนื่อง
เพื่อสร้างความขัดแย้งของพี่น้องร่วมชาติที่แตกต่างกันเพียงศาสนาและขับไล่มลายูพุทธให้ออกไปจากพื้นที่ให้หมดมิใช่หรือ
แล้วพวกเขามิได้สืบเชื้อสายมลายูมาด้วยกันหรืออย่างไร
การปลุกเร้าให้เยาวชนลุกขึ้นต่อสู้เพื่อแผ่นดินปัตตานีที่บริสุทธิ์โดยอุปโลกน์เรียกตนเองว่า
“นักรบฟาตอนี” ยิ่งเป็นการกล่าวอ้างที่น่าอับอาย
ก็มิใช่นักรบขี้ยาเหล่านี้หรอกหรือ ที่ทำให้แผ่นดินนี้ลุกเป็นไฟท่ามกลางเลือดและน้ำตา
เข่นฆ่าพี่น้องมลายูให้ตายดับมากี่พันคนแล้ว ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 65
ที่ผ่านมา กรณี เหตุคาร์บอมบ์บริเวณแฟลตตำรวจ ถ.สุริยะประดิษฐ์
ตรงข้ามโรงเรียนนราสิกขาลัย เขตเทศบาลเมืองนราธิวาส เป็นเหตุให้ข้าราชการตำรวจ และประชาชนได้รับบาดเจ็บ
40 กว่าราย โดยรองสารวัตรงานป้องกันและปราบปราม สภ.เมืองนราธิวาส เสียชีวิตทันที 1
ราย
พวกเขาทำกับเหล่านั้นได้อย่างไร
ผีห่าซาตานตนใดดลใจให้เขาทำเรื่องเลวทรามกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้ถึงขนาดนั้น ไม่รู้จะต้องตาย
เพื่อสังเวยความโลภโมโทสันของพวกเขากันอีกเท่าไหร่
อย่างนี้ยังเรียกว่าเป็นแผ่นดินบริสุทธิ์อยู่อีกหรือ จะโกหกกันไปอีกนานเท่าไหร่
ลูกหลานมลายูไม่ใช่คนไม่มีสมองที่ใครจะมาชักจูงได้ง่ายๆ หรอกนะ
การปลูกฝังให้ปฏิเสธศาสนาพุทธและศาสนาอื่นๆ
เป็นการบิดเบือนคำสอนทางศาสนาอย่างร้ายแรง เพราะในหะดิษฮฺของท่านนบีมุฮัมมัด(ซล.) ตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า
“แม้แต่คนต่างศาสนิกที่เสียชีวิตแล้วเคลื่อนศพผ่านเราต้องลุกขึ้นยืนเพื่อให้เกียรติ”
ซึ่งยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าเหล่า “นักรบบ้องตื้น” บังอาจแอบอ้างบทบัญญัติศาสนาขึ้นใหม่
อวดดีอย่างนี้ยังจะมีหน้ามาแอบอ้างพระผู้เป็นเจ้า เพื่อฆ่าคนบริสุทธิ์ฆ่าคนต่างศาสนา
เพื่อจะได้เข้าสวรรค์อีกหรือ ไม่มีศาสดาพระองค์ใดสอนให้ฆ่าคนเหมือนผักปลาแบบนี้หรอก
ไม่นานอัลเลาะห์ จะพิพากษาคนชั่วเหล่านี้เอง
การบิดเบือนประวัติศาสตร์และหลักศาสนาข้างต้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นและกระทำได้ด้วยคนที่เรียกตนเองว่ามลายูมุสลิม
สำหรับในดินแดนที่มีวิถีบริสุทธิ์มาช้านาน คำกล่าวทักทายของพี่น้องเราที่ว่า “ขอสันติสุขจงมีแด่ท่าน”
นั้น หมายถึงความต้องการสื่อความจริงใจ และความปรารถนาดีที่มีต่อกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ
แต่เหล่า “นักรบฟาตอนี”
และขบวนการจอมปลอมที่คุ้มหัวกบาลโจรหรือหลอกใช้โจรเพื่อหวังผลประโยชน์อยู่นั้น
กลับทำให้คุณค่าที่เป็นอัตลักษญ์อันดีงามเสื่อมค่าลงไป การดูถูกเหยียดหยามคนอื่น
การสอนให้ฆ่าคนมันจะช่วยให้เกิดสันติสุขได้ตรงไหน
หากมีกลุ่มคนที่บ้าคลั่งกลุ่มหนึ่งมาทำร้ายฆ่าฟันพี่น้องของท่านบ้าง
ท่านจะโกรธและเสียใจไหม หยุดคิดและพิจารณาตนเองเสียใหม่ เห็นแก่พระผู้เป็นเจ้า “ขอสันติสุขจงมีแด่ท่าน”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น