“โศกนาฏกรรมเกือบทุกเรื่องในสังคมไทย ยาเสพติดคือหนึ่งในเงื่อนไขจริงๆ” เป็นคำกล่าวของ
ผศ.ดร.ฐิติวุฒิ บุญยวงศ์วิวัชร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ชี้เปรี้ยงให้เห็นถึงปัญหาเรื้อรังในบ้านเรา
ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา หรืองานรูทีน
แต่วันนี้สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว
ประเทศไทยมีโอกาสเผชิญกับเหตุการณ์
“สังหารหมู่” ได้ทุกเมื่อ ดังเช่นที่เกิดล่าสุดที่ จ.หนองบัวลำภู หรือเมื่อปี 63 ที่ จ.นครราชสีมา
ข่าวแบบนี้ไม่ใช่ข่าวที่เกิดเฉพาะในต่างประเทศตามความรู้สึกของคนไทยอีกต่อไป!
ผศ.ดร.ฐิติวุฒิ
เขียนบทความตอกย้ำให้เห็นปัญหาในเรื่องนี้ และต้องยกเครื่องเพื่อวางมาตรการป้องกัน
ไม่ใช่แค่เตรียมแผนเผชิญเหตุ หรือซ้อมรับมือ
แต่ต้องปรับนโยบายความมั่นคงแห่งชาติกันขนานใหญ่เลยทีเดียว
ยาเสพติดและโศกนาฎกรรมซ้ำซ้อน
: นัยต่อการปรับนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ
“โศกนาฏกรรมซ้ำซ้อน” ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย
โดยเฉพาะเหตุการณ์การกราดยิงในศูนย์เด็กเล็ก จังหวัดหนองบัวลำภู
ในท้ายที่สุดแล้วจะพบว่าเงื่อนไขหรือการได้รับผลกระทบจากยาเสพติด
กลายเป็นปัจจัยที่นำมาสู่การสร้างอาชญากรรมที่น่าสะพรึงกลัว
แม้ว่าการกราดยิงจะถูกอธิบายหลากหลายมิติในสังคมไทย
แต่ในกรณีที่เกิดขึ้นล่าสุดที่จังหวัดหนองบัวลำภู
หากเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจนกับกรณีที่เกิดขึ้นกับการกราดยิงที่จังหวัดนครราชสีมา
และโศกนาฎกรรมที่จังหวัดกระบี่
จะพบว่ามีเงื่อนไขและความแตกต่างที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะมูลเหตุจูงใจและความกดดันที่เกิดขึ้นจากการใช้ยาเสพติดและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากแรงกดดันต่อสภาพจิตใจ
กล่าวคือ การกราดยิงที่จังหวัดนครราชสีมา
เป็นการเกิดขึ้นจากความคับข้องใจจากการถูกกดขี่และการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมของผู้ก่อเหตุ
แรงกดดันดังกล่าวก่อให้เกิดการใช้อาวุธสงครามกราดยิงเข้าไปในพื้นที่สาธารณะ
ทั้งบริเวณตัวห้างสรรพสินค้าและสถานที่สาธารณะที่หลากหลาย
ซึ่งในกรณีดังกล่าวนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแรงกดดันและความยับยั้งชั่งใจ
รวมทั้งการควบคุมกำลังคนภายในกองทัพ การให้การดูแลเรื่องราวต่างๆ
อาจจะกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่หน่วยงานต้นสังกัดอาจจะต้องดูแลเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม
เมื่อพิจารณาย้อนดูในกรณีของพื้นที่จังหวัดกระบี่
ซึ่งมีการสังหารเยาวชนในระดับมัธยมศึกษาจำนวน 3 ศพ
จะพบว่ากรณีดังกล่าวนี่เป็นกรณีของการคลั่งที่เกิดจากการใช้สารเสพติดจนส่งผลต่อสุขภาพจิต
และเกิด “การสังหารหมู่เยาวชน”
การเปรียบเทียบสองสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นนี้จะพบว่าการกราดยิงในสังคมไทยมักจะมีมูลเหตุมาจากสองมิติ
โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพจิตจากแรงกดดัน
และปัญหาการใช้สารเสพติดจนส่งผลกระทบต่อจิตและประสาท
หากเปรียบเทียบความรุนแรงทั้งสองกรณีต่อวิถีการสร้าง
“โศกนาฏกรรมการกราดยิง” จะพบว่า
ทั้งสองส่วนสามารถที่จะเป็นอันตรายต่อสาธารณะได้อย่างเท่าเทียมกัน
แต่มูลเหตุที่เกิดขึ้นจากการกดดันจากสุขภาพจิตนั้น
จะพบว่าการดูแลของหน่วยงานต้นสังกัดหรือแม้แต่กระทั่งบุคคลรอบข้างอาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถป้องกันปัญหาได้อย่างชัดเจนกว่า
อย่างไรก็ตาม
เมื่อพิจารณาถึงมูลเหตุการณ์กราดยิงที่เกิดจากการใช้สารเสพติดแล้ว
จะพบว่ากลายเป็นเหตุที่หน่วยงานต้นสังกัดเองหรือแม้แต่กระทั่งการควบคุม
โดยเฉพาะสังคมรอบข้าง อาจจะไม่ได้มีศักยภาพเพียงพอที่จะลดความเสี่ยงได้
ในกรณีการแสวงยาเสพติดมาเสพอย่างต่อเนื่องจนเกิดกลายเป็นปัญหาสุขภาพจิต
และเมื่อกล่าวให้ถึงที่สุดแล้วจะพบว่าในสังคมไทยเอง
ในอดีตที่ผ่านมาเคยพบกับประสบการณ์ที่เลวร้ายจากผู้ที่ติดสารเสพติดและเกิดอาการคลุ้มคลั่งในหลากหลายรูปแบบ
อาทิ การจับกุมตัวประกันหรือแม้แต่กระทั่งการใช้อาวุธมีดปกติธรรมดาเข้าไปทำร้ายผู้คน
แม้กระทั่งบุคคลในครอบครัว
จนกลายเป็นข่าวอาชญากรรมที่สังคมรู้สึกว่ากลายเป็นเรื่องปกติ
“แต่ความปกติต่อข้อมูลที่ปกติในชีวิตประจำวันเหล่านั้น
กลายเป็นสิ่งที่ไม่ปกติ”
เมื่อวิถีการก่อเหตุอาชญากรรมสามารถที่จะสร้างเครื่องมือแบบใหม่
หรือแม้แต่กระทั่งการใช้วิธีการเลียนแบบจากวิธีการจากข่าวหรือข้อมูลจากต่างประเทศ
โดยเฉพาะการกราดยิง
“การกราดยิง”
ในสังคมไทยจึงมีวิธีการและโครงสร้างไม่ได้เหมือนกับการกราดยิงในต่างประเทศ
ซึ่งในปัจจุบันการกราดยิงในต่างประเทศมักจะกลายเป็นข่าวในชีวิตประจำวันเช่นเดียวกัน
แต่แรงจูงใจมักจะเกิดจากการถูกข่มเหง โดยเฉพาะภายในเขตของรั้วมหาวิทยาลัย
หรือแม้แต่กระทั่งในปัจจุบันจะพบว่าการกราดยิงกลายเป็นกลไกวิธีการหนึ่งในการก่อการร้าย
โดยเฉพาะการเหยียดทางด้านเชื้อชาติ
กล่าวได้ว่าการกราดยิงคือวิธีการที่ถูกซ้อนทับกัน
“ระหว่างการก่อการร้ายกับการก่อเหตุอาชญากรรม”
กรณีของไทย
การให้ความสนใจต่อการยกระดับการก่อเหตุอาชญากรรมที่มาจากแรงจูงใจหรือการเสพสารเสพติดจนส่งผลต่อสุขภาพจิตในปัจจุบัน
ไม่ได้เป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิตประจำวันของผู้คนแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
หากแต่การกราดยิงที่เกิดจากสารเสพติดกำลังยกระดับส่งผลต่อความปลอดภัยและความมั่นคงของประเทศโดยรวม
ตราบใดก็ตามที่กรณีของการลดความสามารถในการเข้าถึงยาเสพติดและการแก้ไขปัญหาแหล่งผลิตจากต่างประเทศเป็นไปได้อย่างล่าช้า
ในมิตินี้แม้ว่าจะมีความพยายามนำเสนอถึงการประสบความสำเร็จในการยึดทรัพย์
จากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด อย่างไรก็ตาม
หากพิจารณาในมุมมองของสาธารณชนแล้วเป็นการยากเป็นอย่างยิ่งที่จะเชื่อว่านโยบายและยุทธศาสตร์ดังกล่าวประสบความสำเร็จ
ฉะนั้นการปรับยุทธศาสตร์ยาเสพติดที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงของไทย
จึงอาจกลายเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบและมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่ต้องให้ความสนใจ
โดยเฉพาะการทำให้ยาเสพติดกลายเป็นภัยคุกคามความมั่นคงรูปแบบใหม่
และสามารถบรรจุอยู่ในนโยบายความมั่นคงแห่งชาติได้อย่างเป็นรูปธรรม
หากพิจารณาจากร่างนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ
พ.ศ. 2566
– 2570 จะพบว่าหมวดประเด็นความมั่นคงมีทั้งหมด 13 ประเด็น การป้องกันปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติดกลายเป็นประเด็นที่ 8 ซึ่งถูกระบุว่าเป็นภัยคุกคามที่เร่งป้องกันและแก้ไขเร่งด่วน 5 ปี
แต่ข้อสังเกตหนึ่งที่จะต้องสนใจนั่นก็คือ
เมื่อรูปแบบอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเปลี่ยนแปลงไป
นโยบายความมั่นคงของไทยต่อปัญหายาเสพติดมีความจำเป็นที่จะต้องถูกออกแบบใหม่ด้วยหรือไม่
โดยเฉพาะการให้ความสนใจต่อการสร้างกลไกเพิ่มเติม 2 ระดับ นั่นคือ
ระดับแรก การพัฒนาระบบติดตามการฟอกเงินที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติดในทุกรูปแบบ
โดยเฉพาะการใช้ยาเสพติดเป็นทุนสร้างธุรกิจต่อเนื่อง
การใช้ยาเสพติดเพื่อเป็นทุนสนับสนุนทางด้านการเมือง
การใช้ยาเสพติดเป็นทุนสนับสนุนหรือกลายเป็นแหล่งทุจริตคอร์รัปชั่น
ซึ่งการพัฒนาระบบการฟอกเงินดังกล่าวนี้ยังสามารถทำให้ระบบการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติด
สามารถสร้างภาระและความรับผิดชอบร่วม
ไม่ใช่เฉพาะหน่วยงานปราบปรามยาเสพติดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ยังเกี่ยวเนื่องกับองค์กรอิสระด้านอื่น โดยเฉพาะ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) หรือกลไกตรวจสอบทางด้านการเมืองอื่นๆ
เพราะยาเสพติดในปัจจุบันสั่นคลอนสังคมไทยในทุกรูปแบบ
การเป็นเจ้าภาพร่วมในนโยบายความมั่นคงแห่งชาติจากทุกกองค์กรจึงเป็นกุศโลบายที่มีนัยสำคัญ
ระดับที่สอง
การให้ความสนใจการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการก่อเหตุอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติด
อาจจะกลายเป็นอีกนโยบายหนึ่งที่ความมั่นคงไทยจะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจากการกราดยิง
หรือแม้แต่กระทั่งการสร้างความไม่มั่นคงและปลอดภัยในชีวิตประจำวันให้กับผู้คน
การเผยแพร่องค์ความรู้หรือการทำให้ผู้คนตระหนักถึงการเอาตัวรอดจากเหตุของการกราดยิง
แม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยปฏิบัติที่ต่อเนื่องนับตั้งแต่การเกิดเหตุกราดยิงที่โคราช
แต่ในอีกระยะ 5
ปี ต่อไป การป้องกันเหตุจากการกราดยิงที่เกี่ยวเนื่องกับยาเสพติด
หรือแม้แต่กระทั่งแรงจูงใจที่อาจจะเกิดมาจากการก่อการร้าย
อาจจะกลายเป็นอีกมิติหนึ่งของนโยบายความมั่นคงไทย
ที่จะต้องสร้างมาตรการรองรับรูปแบบอื่นๆ
หรือแม้แต่กระทั่งการสร้างหรือออกแบบมาตรการให้กระทรวงหรือหน่วยงานราชการสร้างมาตรการรองรับต่อการก่อเหตุอาชญากรรมที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ต่อไปในอนาคต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น