วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ฮูกุมปากัตธรรมนูญหมู่บ้าน 9 ดี สู่การขับเคลื่อนชุมชนอย่างยั่งยืน

ฮูกุมปากัตธรรมนูญหมู่บ้าน 9 ดี สู่การขับเคลื่อนชุมชนอย่างยั่งยืน

ในยุคที่โลกเผชิญกับความขัดแย้งหลากหลายรูปแบบ ทั้งในระดับสากลและระดับชุมชนท้องถิ่น การแสวงหาหนทางแห่งความสมานฉันท์และสันติสุขจึงเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องอาศัยพลังจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนใต้ของประเทศไทย ซึ่งเต็มไปด้วยความหลากหลายทางศาสนา วัฒนธรรม และชาติพันธุ์ ความร่วมมือเพื่อสร้างความเข้าใจและความปรองดองจึงมีความหมายยิ่ง

หนึ่งในกิจกรรมต้นแบบที่เป็นรูปธรรมของการเดินหน้าสู่สันติสุขอย่างยั่งยืน คือ "ฮูกุมปากัตธรรมนูญหมู่บ้าน 9 ดี" ซึ่งถือเป็นเวทีแห่งความร่วมมือของชุมชน โดยมีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น ผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา ข้าราชการ และประชาชน มาร่วมกันวางแนวทางการขับเคลื่อนชุมชนบนหลักคิดที่ลึกซึ้งและศักดิ์สิทธิ์

หัวใจของธรรมนูญหมู่บ้าน 9 ดี คือการยึดหลักคำสอนทางศาสนาเป็นหลักชัย โดยเฉพาะหลัก "ยะกีน" (ความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้า) และ "ตักวา" (ความยำเกรงต่ออัลลอฮ์) ซึ่งเป็นพลังศรัทธาอันบริสุทธิ์ ที่จะผลักดันให้ชาวชุมชนประพฤติตนในทางที่ดี มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ มีความรับผิดชอบต่อสังคม และไม่ละเลยบทบาทในการเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ

ธรรมนูญ 9 ดี ไม่ได้เป็นเพียงแค่หลักปฏิบัติทางศาสนา แต่ยังผสานกับหลักธรรมาภิบาลและการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม โดยเน้น 9 มิติแห่งความดี เช่น

1) บ้านดี

2) วัด/มัสยิดดี

3) โรงเรียนดี

4) ผู้นำดี

5) สิ่งแวดล้อมดี

6) ครอบครัวดี

7) คนในชุมชนดี

8) สื่อดี

9) ระบบเฝ้าระวังดี

กิจกรรมฮูกุมปากัต จึงเปรียบเสมือน "สัญญาใจ" ของคนในพื้นที่ ที่ร่วมกันแสดงความตั้งใจแน่วแน่ในการสร้างชุมชนแห่งสันติสุข ไม่ใช่เพียงด้วยกฎหมายหรือคำสั่งจากเบื้องบน แต่ด้วยความศรัทธา ความเข้าใจ และความร่วมมืออย่างจริงใจจากทุกฝ่าย

💡 ความสำเร็จของแนวทางนี้อยู่ที่การผนึกพลัง — เมื่อศรัทธาทางศาสนา หลอมรวมกับจิตสำนึกรับผิดชอบต่อส่วนรวม และได้รับการสนับสนุนจากรัฐและภาคประชาสังคมอย่างแท้จริง ก็จะกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่สามารถขับเคลื่อนสังคมไปสู่เป้าหมายแห่งความสงบสุขและยั่งยืนได้อย่างแท้จริง

ธรรมนูญหมู่บ้าน 9 ดี จึงไม่ใช่เพียงนโยบาย แต่คือ แนวทางของหัวใจ ที่จะนำพาชุมชนไปสู่ความเจริญงอกงาม ทั้งทางกายภาพและจิตวิญญาณ สู่อนาคตที่สงบ ปลอดภัย และมั่นคงร่วมกันในที่สุด.

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2568

3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีเสรีภาพทุกประการไม่ใช่ดารุลฮัรบี

หยุดหลงเชื่อ กลุ่มเห็นต่างพวกแบ่งแยกดินแดน ดารุลฮัรบี “ดินแดนแห่งสงคราม” ใช้ไม่ได้กับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดารุลฮัรบี เป็นพื้นที่ๆไม่ได้ปกครองโดยคนมุสลิม (พวกนอกรีดไม่มีศาสนา) และไม่ได้ใช้ชารีอะห์เป็นกฎหมายหลักในการปกครอง แต่พวกแบ่งแยกดินแดน BRN พยายามสร้างความแปลกแยกและบิดเบือนประวัติศาสตร์ เพื่อให้พี่น้อง 3 จชต. ของเราเชื่อว่าเป็นดินแดน ดารุลฮัรบี

ทั้งที่ 3 จชต. เป็นดินแดนที่มีอารยธรรมอิสลาม มีขนบธรรมเนียมประเพณี และสังคมพหุวัฒนธรรม เชื้อชาติ ศาสนา ที่อยู่ร่วมกันมาอย่างช้านาน ผู้นับถือศาสนาอิสลามที่ศรัทธาทั้งหลายต่างมีพระเจ้าองค์เดียวกัน ซึ่งพระองค์ไม่อนุญาตให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้าง มาเข่นฆ่าทำลายชีวิตกัน เพราะฉะนั้นดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่ “ดารุลฮัรบี” อย่างที่เข้าใจกัน เหตุผลหลักคือ

1. คนมาลายูมุสลิมมีสิทธิพลเมือง ยอมรับความเป็นพลเมืองไทยไม่ใช่แค่เพียงการถือบัตรประจำตัวประชาชนคนไทยเท่านั้น

2. ไม่มีการห้ามปฏิบัติศาสนกิจ

3. ไม่มีการห้ามเผยแผ่ (ดาวะห์) ศาสนา “รากเหง้า” ของปัญหาการก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ที่ปมของเรื่องการใช้ “คำสอนทางศาสนา” ไปบิดเบือนเพื่อบ่มเพาะผู้คนให้เข้าใจผิด โดยมี “ผู้นำศาสนา” ในพื้นที่ร่วมเป็นคนในขบวนการแบ่งแยกดินแดนอยู่ด้วย พวกเขาเป็นผู้ดำเนินในการบ่มเพาะเพื่อสร้าง “นักรบ” หรือแนวร่วมผู้ลงมือปฏิบัติการก่อการ้าย ซึ่งที่ผ่านๆ มาพวกเขาทำได้สำเร็จเสมอมา โดยสามารถทำให้คนจำนวนหนึ่งลุกขึ้นมาก่อการร้ายได้ตั้งแต่เมื่อต้นปี 2547 จนมาถึงวันนี้

แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมา กับเงื่อนปมของการใช้ “ผู้นำศาสนา” ให้นำหลักการศาสนาไปบิดเบือนเพื่อบ่มเพาะให้ผู้คนในพื้นที่ โดยเฉพาะนักเรียนและนักศึกษา รวมถึงเยาวชนกลุ่มต่างๆ ให้เข้าใจหลักการศาสนาผิดๆ แล้วหันหน้าเข้าร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน ไปฝึกอาวุธและฝึกการการก่อการ้าย แล้วหวนกลับมาปฏิบัติการในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรื่องราวเหล่านี้ยังคงเดินหน้าต่อไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วเรายังจะให้เหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นในบ้านเกิดของเราอีกเหรอ

วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2568

วงจรลัทธิ BRN ปลูกฝังแนวความคิดสู่เยาวชนไม่มีหยุด

วงจรลัทธิ BRN ปลูกฝังแนวความคิดสู่เยาวชนไม่มีหยุด

แม้ว่าภาพภายนอกที่แสดงออกมาเรียกร้องการเจรจาเพื่อสันติสุข แต่เบื้องหลัง BRN ยังเดินหน้าบ่มเพาะแนวคิดสุดโต่งไม่หยุด แทรกซึมทุกองค์กร ทั้งในระดับชุมชน การศึกษา และภาคประชาสังคม

การบ่มเพาะนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการลอกแบบแนวทางการก่อการร้ายจากอินโดนีเซีย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ครูปอเนาะหลายคนหรือแกนนำในพื้นที่ เคยไปเรียนต่อที่นั่น ก่อนกลับมา "เพาะเมล็ดพันธุ์" แห่งความรุนแรง

เมื่อกลับมาไทย พวกเขาสร้างเครือข่ายแนวร่วม ชักจูงเยาวชนมุสลิมในพื้นที่ ปลูกฝังแนวคิด "รัฐป_ตานี" พิธี "ซุมเปาะ" หรือสาบานตน คือจุดเริ่ม ก่อนจะฝึกอาวุธ และหากมีแววเป็นผู้นำ ก็ถูกส่งไปฝึกหลักสูตรแบ่งแยกดินแดนที่อาเจะห์

วันนี้ BRN ไม่ได้ใช้แค่ปืนหรือระเบิด แต่เดินเกมการเมืองอย่างแยบยล แทรกซึมองค์กรนักศึกษา ภาคประชาสังคม และนักสิทธิฯ บางกลุ่ม นำความผิดพลาดของรัฐไปขยายผล กดดัน OIC และ UN เพื่อผลักดัน “รัฐใหม่” ที่อ้างความชอบธรรมจากชาตินิยม ศาสนา และเชื้อชาติ (NASOSI)

ถึงเวลาแล้วที่เราต้อง “ตัดวงจรอุบาทว์ของลัทธิ BRNก่อนที่แนวคิดนี้จะฝังรากลึกเกินแก้

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2568

5 คำถามที่พบบ่อย หลังไฟใต้ลุกโชน

ไม่ต้องพูดเกริ่นอะไรกันเยอะ ทุกท่านคงทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้นในภาคใต้ ทั้งยิงเณร ฆ่าคนแก่ สังหารเด็ก โดยอ้างว่าเป็นการแก้แค้นที่ทหารไปยิงอดีตอุสตาซ (ครูสอนศาสนา) ที่ อ.สุไหงโก-ลก นราธิวาส เมื่อ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา

หลังเกิดเหตุรุนแรงหนักๆ ทุกครั้งที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะมี “คำถามที่พบบ่อย” แต่ไม่ค่อยมีคำตอบจากผู้เกี่ยวข้อง

วันนี้ผมได้รวบรวมคำถามเหล่านั้น และนำมาตอบให้ทุกท่านได้ทราบ จากมุมมองและประสบการณ์การทำงานของผมที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนใต้มาประมาณ 20 ปี

1. ทำไมถึงต้องฆ่าชาวบ้าน โดยเฉพาะชาวไทยพุทธ แถมฆ่าไม่เลือก ไม่เว้นแม้แต่คนแก่ และเด็ก จิตใจพวกนี้ทำด้วยอะไร ทำแล้วไม่กลัวบาปหรือ?

คำตอบ คือ กลุ่มติดอาวุธของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ ได้รับการบ่มเพาะ ปลูกฝังความคิดมาว่า ดินแดนนี้ (ปัตตานี หรือ ปาตานี : ซึ่งหมายจังหวัดชายแดนภาคใต้) เป็นดินแดนสงคราม ถูกรุกรานโดนคนต่างศาสนา เรียกว่า “ดารุลฮารบี” (ดารุลฮัรบี)

เมื่อเป็นการทำสงคราม จึงได้รับอนุญาตให้สู้รบและจัดการกับ “ผู้รุกราน” ได้ แม้ศาสนาจะไม่ได้รับรองการฆ่าหรือทำลายชีวิตผู้รุกรานว่าไม่บาป แต่ลองคิดเปรียบเทียบกับการที่เราส่งทหารไปรบกับศัตรูของประเทศเรา และไปทำลายชีวิตศัตรู ทหารเหล่านั้นเป็น “คนบาป” หรือ “วีรบุรุษ” วิธีคิดจะคล้ายๆ แบบนี้

เรื่องดินแดน “ดารุลฮารบี” ยังเชื่อมโยงไปถึงการปลูกฝังความเชื่อเรื่อง “ดินแดนอาณานิคม” โดยกล่าวอ้างว่า “สยาม” หรือ “รัฐไทย” ในอดีต เข้ายึดครองดินแดนปัตตานีในฐานะ “รัฐอาณานิคม” (อ้างสนธิสัญญา แองโกล-สยาม พ.ศ.2452 ซึ่งสยามทำกับอังกฤษ แบ่งดินแดนในคาบสมุทรมลายู)

ฉะนั้นสยาม” หรือ “รัฐไทย” จึงมีสถานะเป็นทั้ง “เจ้าอาณานิคม” และ “ผู้รุกราน” พวกเขาจึงต้องต่อสู้ และนำไปเชื่อมโยงกับ มติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 1514 เรื่อง “การให้เอกราชแก่ดินแดนอาณานิคม” เปิดทางให้ทำประชามติเพื่อแยกตัวเป็น “รัฐเอกราชใหม่” ได้ (จึงมีการทำกิจกรรม “ประชามติจำลอง” กันเมื่อปีก่อน)

ด้วยเหตุนี้ นักรบหรือกลุ่มติดอาวุธในพื้นที่ชายแดนใต้ จึงถูกมองเป็น “ฮีโร่” มากกว่า “คนบาป

และรัฐไทย หรือฝ่ายความมั่นคงไทย ยังไม่เคยแก้ปัญหาการบ่มเพาะความคิดความเชื่อแบบนี้ หรือนำเสนอข้อมูลหักล้างอย่างเป็นระบบ เป็นรูปธรรม และเป็นทางการ เพื่อดึงมวลชนส่วนใหญ่กลับมาสนับสนุนฝ่ายรัฐได้เลย

2. ทำไมฆ่าแล้ว ก่อเหตุระเบิดแล้ว ถึงตามจับไม่ได้ ?

ก่อนเกิดเหตุปล้นปืนครั้งใหญ่เมื่อ 4 ม.ค.2547 กลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนเขาเตรียมการวางแผนกันมานานเป็นสิบๆ ปี เพื่อสร้าง “นักรบ” และวางระบบการต่อสู้กับรัฐไทยใน “สงครามอสมมาตร” (สงครามที่คู่ต่อสู้สองฝั่งมีกำลังไม่เท่ากัน เนื่องจากฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐ มีกำลังพล อาวุธพร้อม แต่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นแค่กลุ่ม หรือขบวนการปลดแอก)

พวกเขาเลือกใช้ยุทธวิธี “ก่อความไม่สงบ” หรือ insurgency ในลักษณะก่ออาชญากรรมร้ายแรงรายวัน โดยเลือกพื้นที่และเป้าหมายที่ฝ่ายตนควบคุมสถานการณ์และผลลัพธ์ได้เท่านั้น

ยกตัวอย่างข้อมูลจากงานวิจัยในหลักสูตรการพัฒนาองค์ความรู้การก่อการร้ายและการก่อความไม่สงบ สำหรับผู้บริหาร (หลักสูตร พรส.) ของโรงเรียนเสนาธิการทหารบก

หนึ่ง การก่อเหตุระเบิด หรือยิงแบบล็อกเป้า มีผู้เกี่ยวข้องในขบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ 10-20 คน ไม่ใช่แค่คนสองคนเหมือนที่เห็นผ่านกล้องวงจรปิด เช่น

- ทีมสังเกตการณ์ ตามพฤติกรรมเหยื่อ/เป้าหมาย

- ทีมส่งอาวุธ / ตามเก็บอาวุธ (ฝ่ายเมล์/โลจิสติกส์)

- ทีมสังเกตการณ์ใกล้จุดเกิดเหตุ คอยส่งสัญญาณ

- ทีมสังหาร (มือปืน / มือกดระเบิด / ขับพาหนะนำระเบิดไปวาง)

- ทีมพาหนี

สอง เมื่อก่อเหตุเสร็จแล้ว ภายใน 5 นาที ทีมก่อเหตุจะไปถึงจุดนัดพบแรก (บ้านแนวร่วม) เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนรถ ซ่อนอาวุธ จุดนี้จะอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เลือกก่อเหตุ

สาม จากจุดแรกไม่เกิน 10 นาที ไปยังจุดนัดพบที่ 2 ทีมก่อเหตุจะไปเปลี่ยนรถ และเสื้อผ้าอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่อีกด้าน ฝ่ายเมล์หรือโลจิสติกส์ จะนำอาวุธไปเก็บซ่อนยังจุดนัดพบอีกแห่งหนึ่ง มีห้องลับ มีอุปกรณ์ถ่วงน้ำ เมื่อถูกเจ้าหน้าที่บุกค้น ก็จะหาอาวุธไม่เจอ

จากจุดนัดพบที่ 2 ทีมสังหารอาจพักรอดูสถานการณ์ จากนั้นเดินทางออกจากอำเภอที่ก่อเหตุ ข้ามไปอีกอำเภอหนึ่ง ภายใน 1 ชั่วโมงถัดไป

ฉะนั้นคนที่เจ้าหน้าที่ตามจับกุมได้ ส่วนใหญ่จึงเป็นกลุ่มแนวร่วมตามจุดนัดพบ หรือฝ่ายเมล์ ฝ่ายโลจิสติกส์ ที่พาหนี หรือเคลื่อนย้ายอาวุธเท่านั้น แต่ผู้ก่อเหตุตัวจริงมักหาตัวไม่เจอ ไม่ต้องพูดถึง “ทีมคิด - ทีมวางแผน” ยิ่งไม่มีทางหาเจอ

ในพื้นที่จะมี “หมู่บ้านแนวร่วม” ที่เรียกว่า support site หมู่บ้านลักษณะนี้จะมีคนคอยช่วยดูแล “นักรบ” หลายๆ หมู่บ้านตั้งอยู่เชิงเขา เมื่อผู้ก่อเหตุปฏิบัติการเสร็จ อาจหลบหนีขึ้นเขา เป็นวิธีการที่ใช้บ่อยของกลุ่มที่เคลื่อนไหวใน จ.นราธิวาส เพราะมีภูเขาหลายลูก และสามารถเดินข้ามฝั่งไปประเทศเพื่อนบ้านได้

บนภูเขาก็ยังมี “ฐานพัก” ซ่อนอยู่ มีแนวร่วมจากพื้นราบคอยส่งกำลังบำรุง ทั้งอาหารและน้ำ

นอกจากนั้นยังมีบางส่วน “หนีลงเรือ” โดยหลังก่อเหตุ ก็นัดแนะไปลงเรือ ออกไปลอยลำกลางทะเล เมื่อเรื่องเงียบ ค่อยกลับเข้าฝั่ง

3. รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงทำอะไรอยู่?

เฉพาะกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ แม่ทัพภาคที่ 4 บอกว่า จุดเริ่มต้นมาจากเหตุยิงอดีตอุสตาซที่สุไหงโก-ลก เมื่อ 18 เม.ย. หลังจากนั้นเกิดเหตุสังหาร “เป้าหมายอ่อนแอ - กลุ่มเปราะบาง” อีก 5 เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิต 5 ราย เป็นเด็ก คนแก่ หญิงชราตาบอด ฯลฯ และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายสิบคน รวมผู้พิการทางสมอง

สิ่งที่แม่ทัพภาคที่ 4 และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ดำเนินการก็คือ ตั้งศูนย์บังคับการทางยุทธวิธี เพื่ออุดช่องโหว่การก่อเหตุ, ให้สัมภาษณ์และออกแถลงการณ์ประณาม, เรียกร้องให้หยุดใช้ความรุนแรง หันมารวมกันพัฒนา, สั่งจับกุมคนร้ายให้ได้

ส่วน บิ๊กอ้วน” รองนายกฯภูมิธรรม เวชยชัย ยังรอยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ฉบับใหม่ซึ่งสั่งให้ทบทวนมาเกือบ 5 เดือนแล้วยังไม่เสร็จ

สิ่งที่ฝ่ายรัฐได้กระทำ ฟังเสียงจากคนในพื้นที่สรุปได้แบบนี้ “รัฐมีอาวุธครบมือยังเอาตัวเองไม่รอด แล้วชาวบ้านจะเอาอะไรมารอด” จบข่าว…

4. ต้องเร่งเปิดเจรจากับบีอาร์เอ็นแล้วใช่หรือไม่?

ไม่มีใครปฏิเสธว่า ปัญหาชายแดนภาคใต้ต้องจบด้วยการเจรจา และกระบวนการสันติภาพ แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นต่างหาก เป็นโจทย์ยากว่าเราควรทำอย่างไร

หลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้รีบตั้ง “คณะพูดคุย” โดยด่วน แต่คำถามคือ ถ้าเร่งรัดตั้งคณะพูดคุยตอนนี้ จะกลายเป็นว่า รัฐบาลไทยเสียหายซ้ำซากจากเหตุรุนแรง นอกจากคุมสถานการณ์ไม่ได้แล้ว ยังรีบขอเจรจากับฝ่ายที่กระทำผิดกฎหมายหรือไม่ นี่คือความอ่อนไหวที่ต้องคิดด้วยเหมือนกัน

อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงซึ่งเคยเป็นหัวหน้าหน่วยงานด้านความมั่นคงที่ได้รับการยอมรับอย่างมาก ให้ข้อคิดเอาไว้น่าสนใจว่า การเจรจาเพราะมีการใช้วิธีการก่อการร้ายมากดดัน ไม่มีประเทศใดยินยอม, ถ้าเจรจาแล้วอีกฝ่ายไม่ได้รับในสิ่งที่ต้องการ ก็ใช้การก่อการร้ายกดดันอีก

กลุ่มที่สนับสนุนการเจรจาอาจมองข้ามจุดนี้ หรือให้น้ำหนักเรื่องการลดดีกรีความรุนแรงลง แต่จริงๆ แล้วก็ไม่หลักประกันใดๆ

ขณะที่ อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข เพิ่งเขียนบทความไขข้อข้องใจว่า ทำไมบีอาร์เอ็นถึงเหิมเกริมหนักในภาคใต้ ปรากฏว่ามีอยู่ 4 ปัจจัยสำคัญ หนึ่งในนั้นคือปัจจัยแนวหลังสงคราม” เพราะบีอาร์เอ็นมีพื้นที่หลบภัย และฝึกแนวร่วมรุ่นใหม่ในประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้อำนาจรัฐไทยเอื้อมไม่ถึง

ฉะนั้นก่อนเปิดเจรจา หรือรีบตั้งคณะพูดคุย เราควรเตรียมความพร้อมในเรื่องเหล่านี้อย่างเร่งด่วน เพื่อให้มี commitment หรือ “ความมุ่งมั่นร่วมกัน” ของสองประเทศ คือ ไทยกับมาเลเซีย อย่างน้อยก็เพื่อกดดันกลุ่มแบ่งแยกดินแดนระดับแกนนำที่หลบหรือพำนักอยู่ในมาเลเซียเกือบทั้งหมด

ความมุ่งมั่นร่วมกันนี้ เกิดขึ้นแล้วในยุครัฐบาลปัจจุบัน ภายใต้ความสัมพันธ์ของนายกฯอันวาร์ อิบราฮิม กับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร

แต่ความมุ่งมั่นที่ผ่านมา ยังเน้นไปที่ปัญหาเมียนมา มากกว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ฉะนั้นโจทย์ใหญ่ก่อนเปิดเจรจา คือการแสวงหา commitment ที่ว่านี้ โดยเน้นที่การแก้ปัญหาไฟใต้

5. เจรจาแล้วจบหรือไม่?

ตอบตามตรงแบบไม่โลกสวยก็คือ ไม่สามารถการันตีได้เลยว่า “เจรจาแล้วจบ” เพราะปัญหาชายแดนใต้ไปไกลกว่าที่หลายฝ่ายคิดกันมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างนักรบในรูปแบบ “องค์กรลับ” โดยให้นักรบเป็น “เซลล์อิสระ” ในการเลือกก่อเหตุ และขยายฐานสมาชิกได้เอง

เมื่อสถานการณ์ไฟใต้ยืดเยื้อยาวนานกว่า 20 ปี ทำให้การเชื่อมสายบังคับบัญชา (ซึ่งหลวมมากอยู่แล้ว) ระหว่างแกนนำระดับบนซึ่งอาจจะอยู่ต่างประเทศด้วยซ้ำ กับบรรดา “เซลล์อิสระ” ในพื้นที่ ทำได้ยากมากขึ้น อาจมีนโยบายรวมๆ ที่ทำร่วมกัน แต่การตัดสินใจปฏิบัติการ น่าจะไม่มีใครควบคุมสั่งการได้ทั้งหมดอีกต่อไป

ถามว่านับรบที่ก่อเหตุอยู่ในพื้นที่ปัจจุบัน รู้หรือเปล่าว่าใครคือหัวหน้าหรือแกนนำตัวจริง พวกเขาน่าจะไม่รู้ และหากวันหนึ่ง “ตัวจริง” ที่ว่านี้มาคุยกับรัฐไทย แล้วมีข้อตกลงสันติภาพออกมา พวกเขาอาจไม่ยอมรับ และเลือกที่จะต่อสู้ต่อก็เป็นได้หรือในอีกด้าน ชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่นที่ถูกกระทำ เช่น ชาวไทยพุทธ อาจตั้งขบวนการขึ้นมาสู้กับ “กลุ่มอำนาจใหม่” ที่จะเข้ามาปกครองหลังมีข้อตกลงสันติภาพ ก็เป็นไปได้เช่นกัน

แต่แน่นอน...การเจรจาย่อมดีกว่าไม่เจรจา เพราะเท่ากับเราเปิดประตูหลายๆ บาน เพื่อเพิ่มโอกาสสู่ความสำเร็จ แต่สิ่งที่ต้องทำไปควบคู่กัน และทำโดยด่วนคือ

1. ประกาศเจตจำนงให้ชัดเจนว่า รัฐบาลไทย ในนาม “รัฐไทย” มีทิศทางนโยบายอย่างไรกับปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะความร่วมมือกับมาเลเซียในการไม่ให้ “ที่พักพิง” กับกลุ่มขบวนการ

2. เป้าหมายสุดท้ายคืออะไร ต้องวาดภาพให้ประชาชนเห็น ให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนได้เห็น เช่น เขตปกครองพิเศษทางวัฒนธรรม มีกลไกเลือกผู้นำของตนเองโดยผ่านความเห็นชอบจากรัฐบาล อะไรแนวๆ นี้ เพื่อสร้างความหวังใหม่ๆ เป้าหมายใหม่ๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้การต่อสู้ด้วยการจับปืน

3. พัฒนาการศึกษาภาษามลายูอย่างจริงจัง อาจประกาศให้ใช้เป็นภาษาทางการภาษาที่ 2 และสนับสนุนให้เยาวชนในพื้นที่ไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ โดยเฉพาะโลกอาหรับ เพื่อเชื่อมประเทศไทยผ่านชายแดนใต้สู่โลกมุสลิม คือเปลี่ยนจุดอ่อน เป็นจุดแข็งใหม่ สร้างความหวังใหม่ๆ ชีวิตใหม่ให้กับคนพื้นที่โดยไม่ต้องหมกมุ่นเรื่องแยกดินแดน (มีทางเลือกที่ดีกว่านอกจากการต่อสู้เพื่อแยกดินแดน)

4. เคารพสิทธิมนุษยชน และปราบปรามคอร์รัปชั่นทุกระดับ โดยเฉพาะในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐผู้ถืออาวุธเอง เพื่อลบข้อกล่าวหานำสิ่งไม่ดีไปแปดเปื้อนดินแดนบริสุทธิ์ โดยเฉพาะยาเสพติด ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องอยู่จริง

5. พัฒนาเศรษฐกิจในแนวทาง “ฮาลาล” และสร้างจุดขายด้านพหุวัฒนธรรม

เอกราชตามการเรียกร้องเป็นวิธีการเเก้ปัญหาความไม่สงบ 3 จชต.จริงหรือ?

เอกราชตามการเรียกร้องเป็นวิธีการเเก้ปัญหาความไม่สงบ 3 จชต.จริงหรือ?

กระเเสการเคลื่อนไหวของกลุ่มขบวนการใน 3 จชต. ที่กลับมารุนเเรง ตั้งเเต่ปี 47 เป็นต้นมานั้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาเเห่งการจุดประกายระเบิดเผยความคิดดั้งเดิม ที่จริงๆ เเล้วเเนวคิดการต่อสู้เเละต่อต้าน พร้อมทั้งยังไม่เคยยอมรับ มันมีมาอย่างยาวนานเเล้ว ซึ่งเริ่มจากช่วงเวลาเเห่งความระส่ำระสายจนต้องสูญเสียรัฐให้เเก่สยาม

โดยถ้าหากมอง มันเป็นเรื่องปกติของรัฐหนึ่งที่ต้องการเเผ่ขยาย อาณาเขตเพื่อสร้างอิทธิพลเเละอำนาจในการเสริมสร้างความเข้มเเข็งให้เเก่รัฐ โดยการพิชิตหรือล่าอณานิคมต่อรัฐที่อ่อนเเอกว่า มาผนวกของเดิมให้เพิ่มขึ้นเเละรัฐสยามก็เช่นกัน

เเต่กระนั้นเเม้นสถานภาพของผู้คนในพื้นที่เปลี่ยนไป เเต่สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยน คือ อุดมการณ์เเละรากเหง้าความคิดยังคงเหมือนเดิมเสมอมา เเละถึงเเม้ว่า มลายูปัตตานีถูกผนวกรวมกับสยามเเละกลายมาเป็นรัฐไทยอย่างเป็นทางการเเล้ว

เเต่ความเป็นมลายูที่เคยมี ไม่เคยเปลี่ยน เเละนี่คือปัญหาที่ยังคงเเก้กันไม่ตก ที่พยายามเเก้มาตั้งเเต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

เเต่ก็มีคนมลายูจำนวนไม่น้อยที่เลือกที่เข้าใจถึงการกำหนดของอัลเลาะห์ ที่มองว่าเป็นบททดสอบ เเละมิได้เป็นปัญหาต่อการดำรงเเละเชิดชูไว้ซึ่งความเป็นมุสลิม

เมื่อพื้นที่ส่วนที่เคยเป็นของมลายูครั้นอดีต กลายมาเป็นรัฐไทยในปัจจุบันอย่างทางการเเล้ว ในระหว่างนั้นก็เกิดการโยกย้ายสำมโนครัวของคนต่างศาสนิกเข้ามาอาศัยในพื้นที่มากมาย เเละตั้งหลักปักฐานถูกต้องตามกฎหมายในพื้นที่ดังกล่าว ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน

คำถาม คือ หากรัฐปล่อยให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นเมิรเดะกอหรือเอกราช ใช่วิธีการเเก้ปัญหาความไม่สงบหรือ? เเล้วจะเกิดสิ่งใดกับคนต่างศาสนิกที่อยู่ในพื้นที่มาอย่างยาวนานถูกต้องตามกฎหมาย ?

ปัจจุบันคนกลุ่มนี้ก็ยังคงได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เเละสูญเสียครั้งเเล้ว ครั้งเล่า คนเเล้ว คนเล่า ยิ่งเหตุการณ์โศกนาฏกรรม สะเทือนใจในพื้นที่ อ.ตากใบ ฯ คนร้ายกราดยิงด้วยอาวุธปืนใส่ชาวบ้านกำลังนั่งดูโทรทัศน์ มีผู้เสียชีวิต 3 คน และมีผู้บาดเจ็บสาหัส 2 ราย หนึ่งในนั้นมีเด็กหญิงวัย 9 ขวบ เสียชีวิตด้วย  และในพื้นที่ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส เกิดเหตุลอบยิงผู้หญิงชรา วัย 76 ปี เป็นผู้พิการตาบอดทั้ง 2 ข้าง ขณะเดินทางกลับจากโรงพยาบาลพร้อมลูกชายวัย 50 ปี ทำให้หญิงชราเสียชีวิตคาที่ ส่วนลูกชายได้รับบาดเจ็บสาหัส เป็นสิ่งหดหู่ต่อการกระทำของผู้ก่อการร้ายยิ่งนัก ซึ่งสามารถสะท้อนสิ่งนี้ได้ดี หรือจะปล่อยให้เรื่องราวเหล่านี้เป็นเหตุการณ์ความสูญเสียที่ผ่านมาเเละผ่านไป เเบบที่รัฐไม่ต้องใยดี

หากพวกเขาต้องการเเค่เชิดชูวัฒนธรรม ศาสนา เเละเสรีภาพ มันจะเป็นด้วยหรือ ที่ต้องได้ยินการสูญเสียผู้บริสุทธิ์เเบบวันต่อวัน #สันติภาพจอมปลอม

เมื่อเสียงปืน เสียงระเบิดลั่น เสียงสันติภาพแผ่วลงหรือไม่?

 

เมื่อเสียงปืน เสียงระเบิดลั่น เสียงสันติภาพแผ่วลงหรือไม่?

นับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายน 2568 เหตุความสงบและคลื่นความรุนแรงถาโถมเข้าสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อีกครั้ง ความขัดแย้งที่ไม่เคยจางหายกลับถูกตอกย้ำด้วยสถานการณ์น่าสะเทือนใจ ‘เหตุไม่สงบ’ เริ่มรุนแรงขึ้นจนเข้าขั้น ‘การก่อการร้าย’ โดยไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงเท่านั้น แต่เสมือนว่าพุ่งเป้าไปที่พลเรือนและกลุ่มเปราะบาง ที่ตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งที่ฝังลึก

🔴 เสียงปืนปะทุ คร่าผู้บริสุทธิ์

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ขณะที่รถกระบะของตำรวจอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา นำพระภิกษุและสามเณรออกบิณฑบาต คนร้ายสองคนขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบ ก่อนกราดยิงเข้ากระจกฝั่งซ้าย ทำให้สามเณรรูปหนึ่ง อายุ 16 ปี มรณภาพขณะนำตัวส่งโรงพยาบาล และสามเณรรายอื่นได้รับบาดเจ็บอีก 5 รูป

ต่อมาเมื่อ 2 พฤษภาคม 2568 เกิดเหตุคนร้ายยิงประชาชนชาวไทยพุทธในพื้นที่อำเภอจะแนะ และอำเภอตากใบ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวม 4 ราย และบาดเจ็บ 3 ราย โดยในจำนวนผู้เสียชีวิตของเหตุการณ์ดังกล่าว มีหญิงชราอายุ 76 ปี ซึ่งพิการทางสายตา และเด็กหญิงอายุเพียง 9 ขวบ รวมอยู่ด้วย

สถานการณ์ยิ่งทวีความรุนแรง เมื่อมีรายงานการลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุดสืบสวนคดีความมั่นคง กองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส เหตุเกิดบริเวณบ้านไอร์ซือเระ ตำบลช้างเผือก อำเภอจะแนะ จังหวัดนราธิวาส เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บาดเจ็บ จำนวน 3 ราย และต่อมาเจ้าหน้าที่ 1 รายได้เสียชีวิตลง

🔴 BRN ย้ำไม่มีนโยบาย ‘พุ่งเป้าพลเรือน’

ในวันที่ 3 พฤษภาคม สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ พร้อมทั้งยืนยันเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการที่จะดำเนินมาตรการทุกวิถีทางเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

“สมช. ตระหนักดีว่า เพียงคำพูดไม่อาจทำให้บาดแผลที่เกิดขึ้นหายไป แต่ขอให้คำมั่นว่าภาครัฐจะทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างถึงที่สุด และจะมุ่งผลักดันมาตรการคุ้มครองและปกป้องประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างเต็มกำลังความสามารถ” ส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ระบุ

ในอีกด้านหนึ่ง ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN) ซึ่งถูกเพ่งเล็งอย่างกว้างขวางว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อการสูญเสียชีวิตของพลเรือนผู้บริสุทธิ์ พร้อมทั้งยืนยันว่าเป้าหมายของการต่อสู้ของพวกเขา ไม่ใช่ การทำร้ายพลเรือน

BRN ขอเน้นย้ำว่า เราไม่มีนโยบายโจมตีเป้าหมายพลเรือน และยังคงยึดมั่นในหลักการของการต่อสู้ที่ให้เกียรติต่อชีวิต ศักดิ์ศรี และสิทธิมนุษยชนของทุกฝ่าย เป็นนโยบายการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและศักดิ์ศรีของประชาชนมลายูปาตานี”

แถลงการณ์ของ BRN ยังระบุว่า จะยึดมั่นในสิทธิแห่งการกำหนดอนาคตตนเองของประชาชนมลายูปาตานี และจะเดินหน้าต่อสู้ต่อไปโดยเคารพหลักสิทธิมนุษยชนสากล และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ มุ่งเน้นการสร้างพื้นที่ทางการเมืองที่ยุติธรรมและครอบคลุม เพื่อให้ประชาชนสามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้โดยปราศจากการกดขี่จากรัฐไทย

🔴 พร้อมเจรจาใต้เงื่อนไข รัฐไทยไม่แบ่งแยก

จากห่วงโซ่ของสถานการณ์ภาคใต้อันร้อนระอุ รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ แพทองธาร ชินวัตร กำลังเผชิญแรงกดดันอย่างหนักจากสังคมทุกภาคส่วน โดยเฉพาะความคืบหน้าและประสิทธิภาพของกระบวนการเจรจาพูดคุยเพื่อสันติภาพ

ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุถึงเงื่อนไขในการพูดคุยไว้ว่า “ต้องหยุดความรุนแรงจริงๆ ไม่ใช่เกมการเมือง

รองนายกฯ ย้ำว่าไทยยินดีที่จะเจรจาพูดคุยภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญไทย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐเป็นรัฐเดียวแบ่งแยกไม่ได้ ดังนั้น “การจะเจรจาเพื่อเป็นรัฐปาตานี หรือรัฐอะไรก็ตาม เราไม่พร้อมเจรจาด้วย

ขณะที่ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มองกรณีที่ผู้สูญเสียเป็นชาวไทยพุทธจำนวนมาก ว่าขอให้มีการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของศาสนา แต่การกระทำกับกลุ่มเปราะบางเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง พร้อมย้ำว่า หลักการสูงสุดในการแก้ปัญหาคือ “ต้องเอาความปลอดภัยและอยู่ดีกินดีของประชาชนเป็นหลัก

นอกจากนี้ภูมิธรรมฯ ยังมอบหมาย พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเคยเป็นรองผู้บัญชาการทหารบก และอดีตเลขา สมช. ให้ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อพูดคุยกับแม่ทัพภาคที่ 4 และหน่วยงานในพื้นที่ในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดการดำเนินการ ซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เป็นผู้รับผิดชอบ

สำหรับ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลไม่สนับสนุนความรุนแรงทุกรูป พร้อมมอบหมายรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้กำกับดูแลประเด็นนี้อย่างเข้มข้นแล้ว ทั้งนี้ ยังขอสื่อมวลชนช่วยในเรื่องแบ่งคำพูด เชื้อชาติ ศาสนา เพราะทุกคนก็คือคนที่มีครอบครัว ไม่ควรมาแบ่งแยก และความรุนแรงก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น ทุกชีวิตที่เสียไป มีคุณค่าและมีความหมายต้องช่วยกัน ทำความเข้าใจในเรื่องนี้

อย่างไรก็ตาม บิดาของนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน ได้แสดงออกถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีกับ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน และความพร้อมที่จะร่วมมือกันขับเคลื่อนกระบวนการพูดคุยสันติสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งดูมีแนวโน้มดีขึ้น ก่อนเหตุรุนแรงจะหวนมาปะทุหนักข้ออีกครั้งหลังเดือนรอมฎอนผ่านพ้นไป

🔴 ฝ่ายค้านชี้ ความรุนแรงจะตอกย้ำอคติ

ด้านพรรคประชาชน แกนนำหลักของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ออกจดหมายเปิดผนึกในนามพรรค ซึ่งแสดงออกถึงการสนับสนุนให้เปิดพื้นที่เพื่อเจรจา โดยในช่วงหนึ่งใช้คำว่า “ขบวนการที่คิดว่ากำลังต่อสู้เพื่อพี่น้องมลายูมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร องค์กรไหน

พรรคประชาชนชี้ว่า การสังหารพลเรือนผู้บริสุทธิ์เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักศาสนา กฎหมาย และมนุษยธรรมระหว่างประเทศ อีกทั้งยังส่งผลร้ายแรงต่อการสร้างสันติภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ความรุนแรงต่อพลเรือนจะสร้างความเกลียดชังและอคติต่อชาวมลายูมุสลิม บดบังความเข้าใจในความอยุติธรรมที่พวกเขาเคยได้รับ ผลักสังคมไปสู่การตอบโต้ที่ไม่สิ้นสุด และบ่อนทำลายความชอบธรรมทางการเมืองของการต่อสู้

“พรรคประชาชน จึงเรียกร้องให้หยุดการสังหารพลเรือนโดยทันที ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการพูดคุยสันติภาพ และขบวนการต่อสู้ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองและแสดงความพร้อมที่จะใช้กระบวนการทางการเมืองในการแก้ไขปัญหา”

พรรคประชาชน ยังมีความเห็นต่อรัฐบาลว่า การที่ความรุนแรงปะทุขึ้นอีกครั้งอาจมีสาเหตุจากความไม่ชัดเจนในยุทธศาสตร์ของรัฐบาลเกี่ยวกับการสร้างความยุติธรรม นิติรัฐ และสันติภาพ โดยเฉพาะการปล่อยให้กระบวนการพูดคุยหยุดชะงักไปเกือบ 1 ปี พรรคประชาชนจึงเรียกร้องให้รัฐบาลกลับมาสานต่อกระบวนการพูดคุยโดยเร็ว โดยต้องรับฟังเสียงประชาชนทุกฝ่ายที่ได้รับผลกระทบ และจัดเวทีคู่ขนานเพื่อให้ทั้งชาวพุทธและมุสลิมมีส่วนร่วมและเป็นเจ้าของกระบวนการสันติภาพร่วมกัน

ขณะเดียวกัน กัณวีร์ สืบแสง สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ได้วิจารณ์ทั้งการดำเนินการที่เพิกเฉยของรัฐบาลไทย พร้อมประณามการกระทำของผู้ก่อเหตุร้าย ซึ่งหากเป็น BRN จริง กัณวีร์ชี้ว่า การสังหารผู้บริสุทธิ์คือการทำลายกระบวนการสันติภาพของกลุ่มที่อ้างว่าตนเองเป็นนักรบ จะยิ่งทำให้คนในพื้นที่ระแวง หวาดกลัว และจะไม่มีใครยอมรับ

“รัฐไทยก็ทำให้มืด คู่เจรจาอย่าง BRN ก็ทำให้มืด แล้วประชาชนเจ้าของพื้นที่ที่ต้องอยู่กับปัญหาทุกวัน จะหาแสงสว่างของสันติภาพได้จากไหน สถานการณ์มันกลายเป็นอาชญากรรมสงครามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” กัณวีร์ระบุในช่วงหนึ่ง

🔴 คนพื้นที่ประสานเสียง ต้องการเจรจา

ดร.ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้มุมมองว่า การหยุดชะงักของกระบวนการเจรจาสันติภาพที่ยาวนานเกือบ 1 ปี เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจนำไปสู่การปะทุของความรุนแรงระลอกใหม่ ข้อมูลจาก Deep South Watch ที่แสดงให้เห็นถึงสถิติเหตุการณ์ความไม่สงบที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่มีการเริ่มต้นกระบวนการเจรจาในปี 2556 เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า การพูดคุยเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการลดความรุนแรง

ดร.ชญานิษฐ์ ยังวิพากษ์วิจารณ์เงื่อนไขของรัฐบาลในการพูดคุยกับ ‘ตัวจริง’ ว่าเป็นอุปสรรคต่อการเริ่มต้นกระบวนการ และตั้งคำถามถึงความพยายามของรัฐบาลในการทำความเข้าใจโครงสร้างและความซับซ้อนของกลุ่มต่างๆ ในพื้นที่ นอกจากนี้เธอยังเตือนถึงอันตรายของกระแสการสร้างความเกลียดชังแบบเหมารวมต่อชาวมุสลิม ซึ่งจะยิ่งทำให้สันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม

“ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น หากยังไม่เกิดกระบวนการพูดคุยกันอีก อาจแปลความได้ว่าทั้งรัฐบาลไทยและขบวนการติดอาวุธไม่ได้มีเจตจำนงที่จะสร้างสันติภาพอย่างแท้จริง ผลคือความชอบธรรมของทั้งรัฐบาลและขบวนการจะลดลงเรื่อยๆ และทั้งสองฝ่ายก็จะไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างที่พยายามกล่าวอ้างมาโดยตลอด เพราะขณะนี้ประชาชนประสานเสียงต้องการให้เกิดการพูดคุย ฉะนั้นการพูดคุยเร็วเท่าไหร่ยิ่งเป็นผลดีกับทุกฝ่ายมากขึ้นเท่านั้น” นักวิชาการธรรมศาสตร์กล่าว

ดร.ชญานิษฐ์ ฯ กล่าวอีกว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งเหตุการณ์ความรุนแรงต่อพลเรือนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ภาคประชาสังคมและประชาชนกลุ่มต่างๆ ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งที่เป็นชาวมลายูและไทยพุทธ ต่างก็แสดงความต้องการไปในทิศทางเดียวกัน คือเรียกร้องให้รัฐบาลและขบวนการกลับสู่กระบวนการเจรจาสันติภาพโดยเร็ว ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเครือข่ายวิชาการ PEACE SURVEY นับตั้งแต่ปี 2559-2566 รวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นทั้งชาวมลายูและคนไทยพุทธ อายุ 18-70 ปี จำนวนรวมกว่า 10,581 คน ทั่วจังหวัดชายแดนภาคใต้ พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ในการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั้ง 7 ครั้ง สนับสนุนให้ใช้การพูดคุยสันติภาพเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาความรุนแรง และไม่เคยมีผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนครั้งใดเลยที่ได้รับคำตอบว่าสนับสนุนการพูดคุยสันติภาพน้อยกว่าร้อยละ 55

“ความไม่สงบจนเป็นผลให้มีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจำนวนไม่น้อยนั้นถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่ง แม้ว่าหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าอาจจะเป็นการกระทำจากขบวนการ BRN แต่ล่าสุดขบวนการ BRN ก็ได้ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อเหตุรุนแรงและยืนยันไม่มุ่งโจมตีพลเรือน แม้ว่าการปะทุขึ้นของความรุนแรงในปี 2547 จะสามารถทำความเข้าใจได้ว่าเป็นผลมาจากประวัติศาสตร์และความรู้สึกที่ได้รับการกดขี่หรือถูกกระทำ แต่ก็คงไม่มีเป้าหมายไหนจะสูงส่งพอที่จะอนุญาตให้คุณทำร้ายคนชรา เด็ก และผู้พิการได้ มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถยอมรับได้” ดร.ชญานิษฐ์ กล่าว

ทั้งนี้ แม้ความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ในทางหนึ่งจะเป็นการต่อสู้กันทางอาวุธ แต่ในอีกมุมก็ยังเป็นพื้นที่ของการต่อสู้ทางการเมืองด้วย เพราะทั้งรัฐไทยและขบวนการติดอาวุธ ต่างฝ่ายต่างก็ต้องพยายามช่วงชิงความชอบธรรมระหว่างกันด้วย ส่วนตัวมองว่า “การที่ขบวนการติดอาวุธทำเช่นนี้ ย่อมส่งผลให้ตัวขบวนการฯ ต้องสูญเสียความชอบธรรมทางการเมืองไป ถือเป็นความพ่ายแพ้ทางการเมืองอย่างสำคัญ”

ทำอย่างไร ให้โรงเรียนเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรม

⭐️ ทำอย่างไร ให้โรงเรียนเป็นพื้นที่พหุวัฒนธรรม

โรงเรียนไม่ใช่เพียงสถานที่ของการเรียนรู้เท่านั้น แต่เป็นยังพื้นที่ทางสังคมแบบหนึ่ง เมื่อเรามองผ่านมุมมอง “พหุวัฒนธรรมศึกษา (Multicultural education)จะเห็นว่านักเรียนแต่ละคน ไม่ได้มีความเหมือนกัน พวกเขามีความแตกต่างกันทั้งเรื่องชนชั้นทางสังคม เพศสภาพ สีผิว เชื้อชาติ ภาษา ชาติพันธุ์ ความพิการ ตัวตนของนักเรียนที่แตกต่างเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับครูจำเป็นต้องเข้าใจและตั้งคำถาม “นักเรียนคนใดเข้า(ไม่)ถึงทรัพยากรบนความแตกต่างบ้าง

เมื่อครูทำงานอยู่ในห้องเรียน เป็นสิ่งจำเป็นที่ครูต้องมองให้เห็นว่าภายใต้ความแตกต่างของนักเรียน ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจ ชาติพันธุ์ สีผิว เพศ นั้นเกี่ยวข้องกับความไม่ยุติธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรการเรียนรู้อย่างไร ไม่ใช่แค่การจัดสรรในทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ครูจำเป็นต้องตั้งคำถามว่านักเรียนคนใดได้รับการจัดสรรหรือเลือกปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมปรากฏอยู่ในพื้นที่โรงเรียนและสังคมหรือไม่

การที่ครูมองโรงเรียนด้วยคำถามเช่นนี้ จะช่วยเผยให้เห็นว่า ความไม่เป็นธรรมที่ส่งผลตัวนักเรียนมากกว่าแค่ความเหลื่อมล้ำทางฐานเศรษฐกิจ ชนชั้นและเพศสภาพ แต่ยังรวมถึงความเหลื่อมล้ำในเชิงวัฒนธรรม เช่น เชื้อชาติ สีผิว ชาติพันธุ์ เช่น โรงเรียนมีพื้นที่สนามเด็กเล่นให้สำหรับเด็กพิการหรือไม่ สนามเด็กเล่นเพศสภาพใดเข้าถึงเป็นหลัก หรือสถานศึกษาจัดสรรทรัพยากรที่เคารพความเป็นมนุษย์หรือไม่ นักเรียนกำลังถูกบูลลี่จากความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติอย่างไร ความรู้ของใครกำลังถูกสอนอยู่ในโรงเรียน

มุมมองเช่นนี้ จึงต้องอาศัยบทบาทครูในการทำความเข้าใจว่าใครกำลังถูกกดทับในระบบการศึกษาและสังคม พร้อบกับมาทบทวนว่าตัวเองกำลังถูกและกำลังกดทับคนอื่นอยู่หรือไม่ไปพร้อม ๆ กัน

ครูจะสอนบนแนวคิดพหุวัฒนธรรมศึกษาอย่างไร...

บทบาทของครูจึงต้องมองพหุวัฒนธรรมบนฐานสิทธิ ความเป็นธรรม และความเป็นมนุษย์ หลายครั้งมีความเข้าใจผิดว่า พหุวัฒนธรรมเป็นเพียงการสอนในห้องเรียนที่มีนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มวัฒนธรรมหลักอยู่ในห้อง เช่น เด็กข้ามชาติ เด็กชาติพันธุ์ แต่ในความเป็นจริงแทบทุก ๆ ชั้นเรียนยังมีความแตกต่างในเรื่องชนชั้น เพศสภาพ ความพิการ ถ้าเช่นนั้นแล้วในฐานะครูจะสอนเรื่องพหุวัฒนธรรมอย่างไร

แนวทางที่ 1 การสอนแบบเสรีนิยม

แนวทางนี้มองว่าหากต้องการสร้างเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ระบบการศึกษาเป็นตัวหล่อหลอมคนในสังคมให้มีสำนึกในพหุวัฒนธรรม ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำหรับพหุวัฒนธรรมเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ การสอนในแนวนี้เชื่อว่าวัฒนธรรมหลากหลายนั้นดำรงอยู่ได้ เช่น ในประเทศเกาหลีใต้ที่ให้นักเรียนเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของกลุ่มคนและความคิดพหุวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง ทบทวนรากความเป็นมาของตัวเอง มากกว่าการหยิบจับฉาบฉวยทางวัฒนธรรมที่เห็นได้ง่าย ๆ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ในเกาหลีจึงมีมูลค่าสูงพร้อม ๆ กับการสร้างจิตสำนึกร่วมกันของคนในสังคม

แนวทางที่ 2 การสอนแบบเชิงวิพากษ์

เป็นการมองผ่านกรอบอำนาจและความไม่ยุติธรรมเป็นสำคัญ โดยมองว่าบทบาทครูต้องสร้างบทสนทนาให้เห็นว่า ใครบ้างที่เข้าถึงหรือเข้าไม่ถึงทรัพยากรและอำนาจ หรือใครกำลังถูกกดทับบ้างในสังคม โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้เห็นว่า “คนทุกคนเป็นคนเท่ากัน” เช่น ประเทศญี่ปุ่น มีเด็กเกาหลีอยู่เนื่องจากครอบครัวถูกวาดต้อนมาจากช่วงสงครามโลก ครูจะอธิบายความแตกต่างนี้อย่างไร ซึ่งครูอาจสร้างบทเรียนเพื่อให้นักเรียนเห็นว่า ทำไมเด็กเกาหลีถึงไปอยู่ญี่ปุ่น เกิดอะไรขึ้นในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ชุดความรู้ต้องเป็นชุดความรู้ที่มองเห็นตัวตนในเชิงความเข้าใจ มีบทเรียน มีตัวอย่าง มีปฏิบัติการที่ต้องไปกระแทกความรู้สึก

รวมถึงตั้งคำถามไปมากกว่าในชั้นเรียน เช่น จะออกแบบพื้นที่ในโรงเรียนในเชิงพหุวัฒนธรรมที่มองคนเท่ากันอย่างไร หรือจะสอนให้เห็นอำนาจผ่านเสียงของแต่ละคนอย่างไร เช่น สภานักเรียนควรมีโควตาให้สำหรับเด็กพิการ LGBTQ หรือไม่

ชวนคุณครูลองมองย้อนกลับที่ห้องเรียนของตนเอง และลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ห้องเรียนของฉันมีความเป็นพหุวัฒนธรรมอย่างไร” และ “ความเป็นพหุวัฒนธรรมกำลังสร้างความไม่ยุติธรรมกับนักเรียนคนใดอยู่หรือไม่” เมื่อได้พบคำตอบของคำถามแล้ว อาจจะทำให้คุณครูได้ประเด็นต่าง ๆ ในการทำงานต่ออีกมากมายเลยล่ะ