วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2568

เมื่อการพลีชีพของผู้ก่อการร้าย BRN กลายเป็นพลังบวกในสายตาประชาชน

ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (จชต.) ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับกลุ่มก่อการร้าย BRN (Barisan Revolusi Nasional) ดำเนินมาอย่างยาวนาน พร้อมกับการตีความสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างสองฝ่าย

เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของรัฐมีความเชื่อว่า การปราบปรามและการสูญเสียชีวิตของสมาชิกกลุ่มก่อการร้าย BRN คือการลดทอนกำลังของขบวนการ เป็นการ "ลดจำนวน" และบั่นทอน "พลังโจรใต้" ในเชิงยุทธศาสตร์ แต่ทว่าความเข้าใจนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม เมื่อกลุ่ม BRN พลิกสถานการณ์ได้อย่างแนบเนียน และแปรเปลี่ยนการตายของสมาชิกตนเองให้กลายเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมในสายตาประชาชน

ในพื้นที่ที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยรู้สึกถึงการถูกกดขี่หรือไม่เป็นธรรมจากการปฏิบัติของรัฐ ความตายของสมาชิก BRN ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นการสูญเสีย แต่กลับถูกตีความว่าเป็น "การพลีชีพ" เพื่อศาสนา เพื่อประชาชน และเพื่อการกอบกู้เอกราช พวกเขาสื่อสารกับชุมชนในท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพว่า การถูกเจ้าหน้าที่รัฐยิงตายนั้น คือ "การตายอย่างสมเกียรติ" ภายใต้หลักญีฮาด (Jihad) เป็นการตายเพื่อศาสนาอันสูงส่ง เป็นการเสียสละที่ควรยกย่อง ไม่ใช่เสียใจ

ในขณะที่รัฐเชื่อว่าศพหนึ่งศพคือการทำให้ศัตรูอ่อนแอลง แต่ในความเป็นจริงของพื้นที่ ศพหนึ่งศพกลับกลายเป็นเชื้อไฟที่จุดประกายให้เกิดนักเคลื่อนไหวหน้าใหม่อีกหลายคน เป็นการเติมเชื้อเพลิงทางอุดมการณ์ให้กับขบวนการอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่การบั่นทอน แต่คือการต่อยอด เป็นการตอกย้ำอุดมการณ์และความเชื่อในหมู่ชุมชน

ทางออกที่แท้จริงของรัฐ จึงไม่ใช่การใช้กำลังเข้าปะทะจนฝ่ายตรงข้ามตาย แต่คือการเข้าถึงจิตวิญญาณของมวลชน

ในภารกิจปิดล้อม กดดัน จับกุม หากเจ้าหน้าที่สามารถใช้ทักษะการพูดจูงใจ การล้อมอย่างนุ่มนวล การชี้ให้เห็นถึงคุณค่าของการกลับไปหาครอบครัว และการมีชีวิตเพื่อคนที่รักได้ จะทำให้กองกำลัง BRN อ่อนแรงจากภายใน เมื่อคนร้ายยอมออกมามอบตัวด้วยความสมัครใจ นั่นคือชัยชนะที่แท้จริงของเจ้าหน้าที่รัฐ เป็นการหักล้างอุดมการณ์ปลอม ๆ ที่กลุ่ม BRN พยายามปลูกฝัง ว่าการตายจากการปะทะกับรัฐคือการตายอย่างสมเกียรติ

การสร้างทางเลือกให้กับผู้ก่อความไม่สงบเห็นว่า ชีวิตที่มีค่า คือชีวิตที่ยังมีลมหายใจเพื่อคนที่เขารัก ไม่ใช่ความตายที่ถูกสร้างภาพว่าศักดิ์สิทธิ์ คือการทำลายแนวคิดสุดโต่งตั้งแต่รากฐาน และเป็นวิธีเดียวที่จะค่อย ๆ ดับไฟแห่งความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมายาวนานในพื้นที่จชต.

ซึ่งความล้มเหลวที่สำคัญ จึงไม่ใช่แค่ในเชิงการทหารหรือความมั่นคง แต่คือความล้มเหลวในการทำความเข้าใจและเข้าถึงหัวใจของประชาชนในพื้นที่ ความรุนแรงที่รัฐใช้ตอบโต้ ไม่เพียงไม่แก้ปัญหา แต่กลับยิ่งตอกย้ำวาทกรรมที่ BRN ต้องการเผยแพร่ให้ลึกซึ้งเข้าไปในจิตใจของชุมชน

หากรัฐยังคงมองสถานการณ์ด้วยมุมมองเดิม ๆ เข้าใจผิดว่าการปราบปรามด้วยกำลังเท่านั้นจะยุติขบวนการได้ โดยไม่หันมาฟังเสียงของประชาชน หรือลงลึกถึงรากเหง้าของปัญหา ความขัดแย้งในจชต. ก็จะยังคงดำเนินต่อไปไม่รู้จบ และจะยิ่งทำให้ขบวนการก่อความไม่สงบแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ บนสายธารของเลือดและความหวังของคนในพื้นที่

ญีฮาดที่แอบอ้างกับคำว่าตายชะฮีดที่หลอกลวง

อิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติภาพที่ยึดมั่นในหลักความยุติธรรม และการปกป้องเกียรติยศของศาสนาและผู้ศรัทธา การทำญีฮาด (การต่อสู้ในหนทางของพระเจ้า) ตามแนวทางที่แท้จริงนั้น มิใช่การรุกรานหรือทำร้ายผู้คนที่มีความเชื่อต่างศาสนา แต่เป็นการต่อสู้เพียงเมื่อจำเป็นเท่านั้น กล่าวคือ หลังจากที่ได้ใช้ทุกหนทางเพื่อการเจรจาสันติภาพแล้ว

และเมื่อเผชิญกับการกดขี่ การรุกรานอย่างชัดเจน การทำสงครามจึงได้รับอนุญาตเพื่อปกป้องตนเอง และเพื่อปราบปรามความอธรรม ไม่ใช่เพื่อการขยายอำนาจหรือทำลายผู้บริสุทธิ์

หลักเกณฑ์ในการทำสงครามในอิสลามมีเงื่อนไขสำคัญ ได้แก่:

- สามารถทำสงครามได้เฉพาะกับ "ดารุลฮัรบี" (ดินแดนที่ประกาศสงครามกับอิสลาม และปฏิเสธการอยู่ร่วมอย่างสันติ)

- ต้องอยู่ภายใต้การประกาศอนุมัติจากผู้นำศาสนาที่มีอำนาจชี้ขาด

- ต้องไม่ทำร้ายผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสู้รบ เช่น สตรี เด็ก คนชรา พระภิกษุสงฆ์ ผู้นำศาสนาอื่น ๆ

- ต้องไม่ทำลายสถานที่สาธารณะหรือศาสนสถาน

- การทำสงครามเป็นการตอบโต้การรุกรานหรือความอธรรม ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือกลุ่ม

ประเทศไทยในบริบทของอิสลาม

ประเทศไทยเป็นดินแดนที่ปกครองด้วยระบอบที่ยึดหลักคุณธรรม มีเสรีภาพในการนับถือและปฏิบัติศาสนาอย่างกว้างขวาง ไม่มีการกดขี่ข่มเหงศาสนาอิสลามหรือผู้นับถือศาสนาใด ๆ

ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่ถือเป็น "ดารุลฮัรบี" ตามนิยามทางศาสนา และไม่เข้าเกณฑ์ที่อนุญาตให้มีการทำญีฮาดในรูปแบบสงครามได้

การบิดเบือนและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับญีฮาด

ในกรณีที่มีผู้ก่อการร้ายอ้างตนว่ากำลังทำญีฮาดในประเทศไทย นั้นคือการบิดเบือนหลักการศาสนาอย่างร้ายแรง การกระทำดังกล่าวถือเป็นการหลงผิด และเป็นการสร้างความเสียหายให้แก่ศาสนาอิสลามเอง หากบุคคลเหล่านี้เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่รักษาความสงบเรียบร้อย ก็ถือว่าพวกเขาเสียชีวิตในฐานะผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่ "ชะฮีด" (ผู้เสียชีวิตในหนทางของพระเจ้า) ตามหลักศาสนาที่แท้จริง

สรุป

การทำญีฮาดที่แท้จริง คือการยืนหยัดต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ปกป้องผู้บริสุทธิ์ รักษาความสงบเรียบร้อย และต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดตามคำสั่งของศาสนา มิใช่การใช้ศาสนาเป็นข้ออ้างเพื่อสร้างความวุ่นวายหรือการก่อการร้ายในสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข

เส้นทางสู่สันติสุขที่ยั่งยืนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้

ในช่วงเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ — ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส — ตกอยู่ในภาวะความรุนแรงและความไม่สงบที่ยืดเยื้อ ภาครัฐและเจ้าหน้าที่ความมั่นคงหลายชุด พยายามเข้ามาคลี่คลายปัญหาด้วย "มาตรการเด็ดขาด" เช่น การปิดล้อม ตอบโต้ กดดัน และการใช้กำลังอย่างหนักหน่วง ด้วยหวังว่าจะเร่งยุติสถานการณ์ให้รวดเร็วที่สุด

ทว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม...

การดำเนินมาตรการเหล่านี้โดยขาดความเข้าใจในมิติทางสังคม วัฒนธรรม และจิตใจของประชาชนในพื้นที่ ได้ค่อย ๆ บั่นทอนความเชื่อมั่นและความศรัทธาที่มวลชนมีต่อรัฐ ความหวาดระแวง ความไม่ไว้ใจ กลายเป็นกำแพงหนาทึบที่ขวางกั้นระหว่างภาครัฐกับประชาชน ซ้ำเติมความขัดแย้งให้ลึกลงไปอีก

หากภาครัฐยังยึดติดกับการ "ควบคุม" มากกว่าการ "เข้าถึง" สันติสุขที่แท้จริงย่อมเป็นเพียงความฝันที่ไกลเกินเอื้อม

สันติภาพที่ยั่งยืนไม่สามารถสร้างได้จากปากกระบอกปืน หรือมาตรการที่เน้นแต่การบังคับ มันต้องเกิดจาก "ใจ" ของผู้คนในพื้นที่ที่รู้สึกว่าตนเองได้รับความเป็นธรรม ได้รับความเคารพ และมีโอกาสกำหนดอนาคตของตนเอง

ย้อนกลับไปในอดีต ชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมเคยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีความเข้าใจและเกื้อกูลกันตามวิถีชุมชนท้องถิ่น ความสัมพันธ์เหล่านั้นไม่ได้เกิดจากการสั่งการ แต่เกิดจาก "ความไว้ใจ" และ "การยอมรับในความแตกต่าง" ที่ค่อย ๆ งอกงามขึ้นจากการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม

ดังนั้น เส้นทางสู่สันติสุขที่แท้จริงในพื้นที่ 3 จชต. จึงไม่ใช่การเดินหน้าด้วยกำลัง แต่คือการ ถอยหนึ่งก้าว เพื่อก้าวเข้าไปในใจประชาชน

เจ้าหน้าที่รัฐและหน่วยงานความมั่นคง ต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ควบคุม เป็นผู้ประสาน เป็นเพื่อนร่วมทางของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยพุทธหรือไทยมุสลิม ต้อง "ฟัง" ให้มากกว่าการ "สั่ง" ต้องสร้าง "ความสัมพันธ์" ก่อนที่จะสร้าง "มาตรการ" ต้องเข้าใจรากเหง้าของวิถีชีวิต ศรัทธา และความหวังของคนในพื้นที่ให้ได้อย่างแท้จริง

เมื่อความเชื่อใจถูกสานขึ้นใหม่ มวลชนจะกลับมาเป็นพลังสำคัญในการสร้างและปกป้องสันติภาพด้วยตนเอง — และเมื่อนั้น ความสงบสุขที่ยั่งยืนจะไม่ใช่แค่แผนงานบนกระดาษอีกต่อไป แต่มันจะกลายเป็นชีวิตจริงที่หยั่งรากลึกในหัวใจของคนทุกเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมในผืนแผ่นดินเดียวกัน เพราะสันติสุข... สร้างได้ ด้วยความเข้าใจและหัวใจที่เข้าถึงกันอย่างแท้จริง

วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2568

เพราะกฎหมายอ่อนแอ กระบวนการช่วยเหลือผู้ก่อการร้ายจึงเติบโต

ชายแดนใต้ต้องการ พรบ.ก่อการร้าย จัดการฉบับถอนรากถอนโคน ผู้สนับสนุน และเงินทุน ยุติต้นตอความรุนแรง

NGO นักการเมือง และนักข่าวสายโจร ออกหน้าช่วยอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ปั่นข่าวข้อมูลเท็จ สร้างกระแสดราม่า ปกป้องกลุ่มผู้กระทำผิดกฎหมาย เหิมเกริงขึ้นทุกวันอย่างมีนัยยะ เพราะกฎหมายยังคงอ่อนแอ  กลุ่มคนเบื้องหลังกลับไร้ความผิด

แต่ชีวิตผู้บริสุทธิ์ในพื้นที่ยังคงถูกกระทำต่อเนื่อง ตีปมดราม่าแห่เดินสายเยี่ยมเยียนครอบครัวผู้ก่อการร้ายสัมภาษณ์ออกสื่อ แต่ไร้การเหลียวแลครอบครัวเหยื่อไร้การกล่าวถึง ไร้การประณาม พฤติกรรมสกปรกเกินรับได้

เปิดโปงรูปแบบ ไทม์ไลน์ ลำดับกระบวนการก่อหตุ จากช่วงที่ผ่านมามีความพยายามนำเสนอข่าว โดยการโพสต์ผ่านสื่อต่างๆของกลุ่มแนวร่วมขบวนการกลุ่มผู้ก่อการร้าย และการรับลูกจากกลุ่ม NGO นักการเมือง และนักข่าวสายโจร พยายามโหมกระแสดราม่าบิดเบือนข้อมูล อ้างถึงกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมนั้น ว่ามีหลักฐานยืนยันที่อยู่ระหว่างมีการก่อเหตุ โดยส่วนใหญ่ผู้ที่ยืนยันนั้นกลับเป็นเพียงครอบครัว พ่อแม่ หรือภรรยา ของกลุ่มผู้ก่อการร้าย แต่กลับไม่มีพยานหลักฐานยืนยัน

อีกทั้งเมื่อมีการตรวจสอบกลับเป็นการกุข่าวสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อต้องการเลี่ยงความผิด แต่กลุ่ม NGO นักการเมือง และนักข่าวสาวสายโจร กลับหลับหูหลับตาเชื่อ หรือเป็นการจงใจที่จะเชื่อ ปั่นกระแสข่าวต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือ และเมื่อมีการดำเนินคดีต่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายผู้ต้องหาคดีความมั่นคงเมื่อศาลมีคำตัดสินยกฟ้อง กลุ่มดังกล่าวข้างต้นจะออกมาโหมกระแสว่าศาลได้คืนความยุติธรรมให้แก่ผู้ต้องหา เจ้าหน้าที่จับกุมผู้บริสุทธิ์

แต่กลับกันเมื่อมีคำสั่งศาลตัดสินลงโทษ กลุ่มดังกล่าวจะออกมาประณามกระบวนการยุติธรรมของไทย ว่าไร้ความยุติธรรม ละเมิดสิทธิผู้บริสุทธิ์ พยายามปลุกระดมใช้กฎหมู่มากดดันกฎหมายอยู่ตลอดเวลา แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่ากลุ่มคนดังกล่าวจงใจช่วยเหลือปกป้องผู้กระทำผิดกฎหมาย

ซึ่งในหลายเหตุการณ์หลังมีการจับกุมผู้ร่วมก่อเหตุ จากพยานหลักฐาน กล้องภาพวงจรปิด หรือหลักฐาน DNA ในเหตุการณ์ในพื้นที่ รวมถึงคำให้การซักทอดของกลุ่มผู้ก่อการร้าย และเบาะแสจากชาวบ้านที่เอือมระอากับกลุ่มขบวนการ จนสามารถขยายผลจับกุมขบวนการได้เป็นจำนวนมาก

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2568

แห่ประณามป่วนใต้ไร้ขอบเขตทำเด็กรับเคราะห์

แห่ประณามป่วนใต้ไร้ขอบเขตทำเด็กรับเคราะห์

โชเล่ย์บอมบ์หลังแฟลตตำรวจโคกเคียน เป็นระเบิดแสวงเครื่องบรรจุในถังแก๊ส 80 กิโลกรัม จุดระเบิดตั้งเวลาด้วย “ไอ.ซี.ไทม์เมอร์” พบรถมอเตอร์ไซค์ถูกแจ้งหายจากพื้นที่ปัตตานี

ด้าน อดีต สว.- ชาวบ้าน ตั้งคำถามเหยื่อบึ้มจะเรียกร้องความเป็นธรรมจากใคร ส่วนเหตุยิงชาวบ้านแว้ง ตร.ยันฝีมือกลุ่มป่วนใต้

เมื่อวันที่ 21 เม.ย.68 พ.ต.อ.ดิเรก โฉมยงค์ รอง ผบก.ภ.จว.นราธิวาส พ.ต.อ.วีระยุทธ์ ตาสีพัน ผกก.สภ.โคกเคียน พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.กองกำกับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันเดินทางไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุลอบวางระเบิดโชเล่ย์บอมบ์ บริเวณหลังแฟลตตำรวจ สภ.โคกเคียน ซึ่งตั้งอยู่บ้านทอนฮีเล หมู่ 10 ต.โคกเคียน อ.เมืองนราธิวาส จ.นราธิวาส เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 20 เม.ย.68 ที่ผ่านมา

โดยคนร้ายนำรถจักรยานยนต์แบบพ่วงข้าง( รถโชเลย์) ที่ซุกซ่อนระเบิดแสวงเครื่องประกอบใส่ไว้ในถังแก๊สหุ้งต้ม น้ำหนัก 80 กิโลกรัม จุดชนวนด้วยการตั้งเวลาด้วยวงจร ไอ.ซี.ไทม์เมอร์ มาจอดบริเวณริมถนนหลังกำแพงแฟลตตำรวจ สภ.โคกเคียน ซึ่งแรงระเบิดทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเด็กได้รับบาดเจ็บ 10 รายนั้น

จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่พบว่า ผิวถนนลาดยางมีหลุม ลึก 40 เซนติเมตร กว้าง 2 เมตร และมีซากเศษชิ้นส่วนของระเบิดแสวงเครื่องของรถจักรยานยนต์พ่วงข้างกระจายเกลื่อนทั่วบริเวณเป็นรัศมีกว้าง 50 เมตร และอานุภาพของระเบิดส่งผลทำให้กำแพงรั้วปูนของ สภ.โคกเคียน ได้รับความเสียหายยาว 10 เมตร และยังทำให้อาคารแฟลตตำรวจ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ใต้แฟลตหลายคัน รวมถึงบ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนที่อยู่ในละแวกด้านหลังแฟลตตำรวจหลายหลังได้รับความเสียหายจากสะเก็ดระเบิดด้วย

จยย.ถูกแจ้งหายในพื้นที่ปัตตานี

ในส่วนรถจักรยานยนต์พ่วงข้างที่คนร้ายนำมาทำเป็น “โชเล่ย์บอมบ์” เจ้าหน้าที่พบว่า ไม่ได้มีการติดแผ่นป้ายทะเบียน แต่จากการทำการตรวจสอบหมายเลขจากโครงรถ ระบุว่า เป็นรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อซูซูกิ ที่ได้มีการแจ้งหายไว้ในพื้นที่ จ.ปัตตานี

เจ้าหน้าที่เชื่อว่า เป็นฝีมือการกระทำของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่งที่ผ่านมาที่ได้ก่อเหตุในลักษณะเดียวกันนี้ในพื้นที่ จ.นราธิวาส มาแล้วรวมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ได้แก่

1. ที่กำแพงรั้ว อส.อำเภอแว้ง

2. ที่กำแพงรั้วหน่วยปฏิบัติการณ์พิเศษ อ.จะแนะ

3. ที่บริเวณกำแพงรั้ววัดบ้านไทย อ.ระแงะ

4. ที่กำแพงรั้ว สภ.โคกเคียน

เหยื่อโชเล่ย์บอมบ์ เล่านาทีก่อนบึ้ม

เด็กชายรายหนึ่งที่เป็นผู้บาดเจ็บจากเหตุระเบิด ซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ เปิดเผยว่า ก่อนเกิดเหตุหมู่บ้านด้านหลังแฟลตที่พักของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มีการจัดงานบุญและมีเด็กจำนวนหนึ่งที่กำลังเดินทางไปเรียนอัลกุรอ่าน ซึ่งได้พบเห็นคนร้ายขี่รถจักรยานยนต์พ่วงข้างมาจากทางด้านหลังและได้มาจอดไว้ที่บริเวณริมกำแพงรั้วหลังแฟลตตำรวจ โดยคนร้ายได้บอกกับเด็กๆ ว่า ให้รีบเดินหนีไปอย่าเข้าใกล้รถที่นำมาจอด

จากนั้นผ่านไปไม่นาน ก็ได้เกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ผมเองที่เดินอยู่ห่างจุดเกิดเหตุ ประมาณ 50 เมตร ก็ถูกสะเก็ดระเบิดได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย และเห็นรถยนต์กระบะที่บรรทุกเด็กอีกจำนวนหนึ่งขับผ่านมาพอดี ทำให้เด็กที่นั่งกระบะหลังได้รับบาดเจ็บอีกหลายคน”

คนเจ็บ 9 ราย ยังรักษาตัวอยู่ รพ.

ด้านผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดทั้งหมด จำนวน 10 ราย นอนรักษาที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ 7 ราย และนอนรักษาที่โรงพยาบาลกัลยาณิวัฒนาการุณย์ 2 ราย และมีที่แพทย์อนุญาตให้กลับไปรักษาตัวที่บ้านพัก 1 ราย เหลือรวมผู้บาดเจ็บอีก 9 รายตามรายชื่อดังนี้

1.ด.ญ.นัชมีย์ (สงวนนามสกุล) อายุ 15 ปี

2.ด.ช.มูฮัมหมัดฮาฟิซ (สงวนนามสกุล) อายุ 11 ปี

3.ส.ต.อ.อุสมาน แมแมแล อายุ 35 ปี

4.ด.ญ.ชาลิสา (สงวนนามสกุล) อายุ 7 ปี

5.ด.ญ.ธัญญพร (สงวนนามสกุล) อายุ 9 ปี

6.ด.ญ.ฮานานี (สงวนนามสกุล) อายุ 15 ปี

7.ด.ช.อัสมีน (สงวนนามสกุล) อายุ 14 ปี

8.ด.ช.อัครวินท์ (สงวนนามสกุล) อายุ 14 ปี

9.นายรุซลี บินยา อายุ 45 ปี

อดีต สว. – ชาวบ้าน ถามจะเรียกร้องความเป็นธรรมจากใคร

เหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่ทำให้มีชาวบ้าน โดยเฉพาะเด็กได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดเสียวิพากษ์วิจารณ์ต่อการกระทำของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงจากในพื้นที่

นายซากีย์ พิทักษ์คุมพล อดีตสมาชิกวุฒิสภา บุตรชายของอดีตจุฬาราชมนตรี ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัวตั้งคำถามถึง กรณีเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นว่า คำถามตัวโตๆ สำหรับขบวนการต่อสู้เพื่อปตานีที่ใช้ความรุนแรง ความรุนแรงเกิดกับพลเรือน คือ สิ่งที่บั่นทอนความชอบธรรมในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ในแง่นี้ เหยื่อความรุนแรงเรียกร้องความเป็นธรรมจากพวกท่านได้อย่างไรบ้าง

เช่นเดียวกัน นายอาซีส ยีปาโล๊ะ ชาวจังหวัดยะลา กล่าวว่า เด็กนักเรียนฮาฟิซ โดนระเบิดมีใครรู้สึกอะไรไหม เวลาบางคนกระทำขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานรัฐได้ แล้วเด็กฮาฟิซจะขอจากใคร นอกจากได้เงินเยียวยาหมื่นกว่าบาท น้องเขาและครอบครัวจะหาความรับผิดชอบจากใคร

นางสมพร จิขจร ชาวจังหวัดปัตตานี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า น้องยังเด็กไม่ควรที่เจอกับความรุนแรง ครอบครัวพี่ถูกกระทำมาหลายคนแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังไม่หลุดพ้นจากความรุนแรงแต่เราก็ยังรักที่นี้ ขอให้คนที่ใช้ความรุนแรงได้กลับเนื้อกลับใจเป็นคนดีของอัลเลาะห์ของเขาด้วย ทำให้เด็กเจ็บไม่รู้สึกอะไรก็ใจหินมาก ขอให้เขากลับใจนะ

คำอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า “เด็กฮาฟิซ” คือคนที่สามารถจำคัมภีร์อัลกรุอานได้ทั้งเล่ม และคำว่า “ฮาฟิซ” หมายถึงผู้ดูแลรักษา กล่าวคือ สามารถดูแลรักษาคำวจนะของพระเจ้าได้ตลอดไป โดยมีความยาว 114 บท 6,236 ประโยค แบ่งออกเป็น 30 ภาค ถือว่า คนที่สามารถจำได้นั้นมีความมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก และเป็นคนที่มีเกียรติในทัศนะของอิสลามและการเรียนลักษณะดังกล่าวจะต้องอยู่โรงเรียนประจำ ไม่สามารถไปเช้าเย็นกลับเหมือนหลักสูตรอื่นๆ ทำให้ผู้ปกครองจำนวนมากในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะส่งลูกเรียนโรงเรียนฮาฟิซ ที่มีการเปิดการเรียนการสอนในลักษณะดังกล่าว

รัวเอ็ม 16 ยิงชาวบ้านเจ็บ 7 รายที่แว้ง ฝีมือกลุ่มป่วนใต้

วันเดียวกัน ( 21 เม.ย.68 ) พ.ต.อ.ดิเรก โฉมยงค์ รอง ผบก.ภ.จว.นราธิวาส นำกำลังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งชุดเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด นปพ.กองกำกับการตำรวจภูธร จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารและฝ่ายปกครองจำนวนหนึ่ง ได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 229/11 หมู่ 7 ต.แว้ง อ.แว้ง จ.นราธิวาส เป็นบ้านของนายกำธร พลเยี่ยม ซึ่งเปิดเป็นร้านเชื่อมเหล็ก ที่เมื่อคืนของวันที่ 20 เม.ย.68 ได้ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิงใส่บริเวณข้างบ้านพัก จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย

จาการตรวจสอบที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่พบปลอกกระสุนปืน เอ็ม 16 ตกอยู่ จำนวน 3 ปลอก และมีร่องรอยกระสุนปืนหลายจุดเจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบสวนทราบว่า ในระหว่างที่นายกำธร เจ้าของบ้านและเพื่อนบ้านรวม 10 คน กำลังนั่งรับประทานอาหารที่โต๊ะข้างบ้านพัก มีคนร้าย 2 คน ใช้รถมอเตอร์ไซค์เป็นยานพาหนะ ขับผ่านหน้าบ้านแล้วชะลอความเร็ว จากนั้นคนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายได้ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงใส่เข้ามาจำนวน 5-6 นัด กระสุนปืนถูกเพื่อนของนายกำธรที่มาร่วมรับประทานอาหาร ได้รับบาดเจ็บ 7 คน ส่วนอีก 3 คนปลอดภัย หลังก่อเหตุคนร้ายได้ขี่รถหลบหนีมุ่งหน้าไปทางถนนแยกบายพาส

ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บทั้ง 7 คน แพทย์ได้อนุญาตให้กลับไปรักษาตัวที่บ้านพัก 2 ราย เหลืออีก 5 ราย ซึ่งยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสุไหงโก-ลก 3 ราย และโรงพยาบาลแว้ง 2 ราย คือ

1.ด.ต.อนุชา ศรีสุวรรณ อายุ 45 ปี ตำรวจ สภ.บูเก๊ะตา มีบาดแผลถูกกระสุนปืนเฉี่ยวที่บริเวณแขนข้างซ้ายและบ่าข้างซ้าย

2.นายประกิต คงประเสริฐ์ อายุ 39 ปี มีบาดแผลถูกกระสุนปืนที่บริเวณสะโพกข้างซ้าย

3.นายประดิษฐ์ โพธิ์สุทธิ์ อายุ 56 ปี มีบาดแผลถูกกระสุนปืนที่บริเวณเข่าข้างซ้าย

4.นายวินัย โฉมอำไพ อายุ 44 ปี มีบาดแผลฉีกขาดบริเวณแขนข้างขวา

5.นายธวัชชัย ทิพรัตน์ อายุ 43 ปี มีแผลเป็นรูบริเวณกลางศรีษะ

ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่า เป็นการกระทำของสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่เคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่

วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2568

วาทกรรม สร้างความแตกแยก

วาทกรรม สร้างความแตกแยก

หลายคนอาจไม่รู้ พื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ของประเทศไทย ได้รับสิทธิต่างๆไม่ได้น้อยไปกว่าจังหวัดอื่นๆในประเทศ หรือหากพูดกันอย่างตรงไปตรงมานั้น พื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ได้รับสิทธิพิเศษต่างๆมากกว่าพื้นที่อื่นๆ ด้วยซ้ำไป

ซึ่งโควตาพิเศษ พื้นที่ชายแดนใต้ กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง หลังนักการเมือง และกลุ่ม NGO ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงขบวนการผู้ก่อการร้าย พยายามปลุกระดมสร้างความแตกแยก โดยหยิบยกวาทกรรมต่างๆนานาขึ้นมา เช่น สามจังหวัดชายแดนใต้เป็นกลุ่มคนชนชั้นสอง ซึ่งวาทกรรมดังกล่าวมันค้านความรู้สึกคนจำนวนมาก

โดยความจริงแล้วนั้นเชื่อหรือไหม ชายแดนใต้ มีสิทธิ อภิสิทธิ์ หลายๆอย่าง เหนือทุกจังหวัดในประเทศไทยด้วยซ้ำไม่ว่าจะเป็นโควต้าข้าราชการ ครู พยาบาล ท้องถิ่น ทหาร ตำรวจ โควต้าการเข้าศึกษา เงินช่วยเหลือจำนวนมาก และหากพูดกันอย่างตรงไปตรงมาโควตาที่ได้รับบางส่วนกลับกลายเป็นการ เอาเปรียบคนในจังหวัดอื่นๆด้วยซ้ำไป บางครั้งกลายเป็นการตัดโอกาสในการสอบเข้าของเด็กๆนักเรียนพื้นที่อื่น แทนที่จะผ่านการคัดเลือกกลับถูกโควตามาเบียดตก จึงทำให้โควตาพิเศษต่างๆของจังหวัดชายแดนใต้ถูกมองเป็น 2 มุม มุมแรกอาจมองว่าเป็นการช่วยพัฒนาพื้นที่แก้ไขความรุนแรง แต่อีกมุมกลับถูกมองว่าเป็นการเอาเปรียบ คนไทยทุกคนสมควรได้รับสิทธิเท่าเทียมกัน

แต่ที่ยืนยันได้ชัดเจน คือ พื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ไม่ใช่ชนชั้นสอง ตามที่กลุ่มขบวนการพยายามปลุกระดมสร้างวาทกรรม สร้างความเกลียดชังประเทศอย่างแน่นอน อีกทั้งสิ่งเดียวที่กดทับสามจังหวัดชายแดนใต้อยู่ในขณะนี้ก็ คือ กลุ่มผู้ก่อการร้าย  หากวันใดกลุ่มเหล่านี้หมดไปเชื่อได้เลยว่าสามจังหวัดชายแดนใต้ของประเทศไทยจะน่าอยู่ และพัฒนาอย่างก้าวกระโดดอย่างแน่นอน

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2568

ทักษิณแย้มคุยแล้วกับ BRN - คุยกับใคร และใครคือบีฯ ?

ทักษิณ แย้มคุยแล้วกับ BRN - คุยกับใคร และ ใครคือบีฯ ?

เหตุระเบิดถี่ๆ ถูกมองว่าเป็นฝีมือ “บีอาร์เอ็น” โดยเฉพาะห้วงวันที่ 13 มีนาคมและใกล้เคียง ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสถาปนาบีอาร์เอ็น ครบ 65 ปี เพราะก่อตั้งปี 2503 โดยขบวนการนี้มีชื่อเต็มๆ ว่า ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี

เมื่อวันศุกร์ที่ 14 มี.ค.68 อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ ก็อ้างว่า ตนเองได้ไปคุยกับบีอาร์เอ็นมาแล้ว ช่วงที่ได้รับอนุญาตจากศาลเดินทางไปมาเลเซีย

เรื่องนี้ขอเวลานิดหนึ่ง เนื่องจากผมเพิ่งเริ่มลงไปและได้มีการพบกับกลุ่มบีอาร์เอ็น เมื่อตอนไปมาเลเซียก็คิดว่าคงต้องพูดคุยกันต่อไม่มีอะไร ซึ่งต้องพูดคุยกันให้สะเด็ดน้ำ

ศาลอาญาอนุญาตให้อดีตนายกฯ ทักษิณ เดินทางไปมาเลเซีย เมื่อวันที่ 2-3 ก.พ.68 หากไปพบและพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็นจริงตามที่บอก ก็น่าจะเป็นช่วงเวลานั้น

เมื่อกลับมานายทักษิณก็ลงใต้ ไปเยือนทั้ง 3 จังหวัด คือ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ก.พ.68 พร้อมเอ่ยขออภัยกับความผิดพลาดที่ผ่านๆ มา และประกาศว่าปัญหาชายแดนภาคใต้ต้องจบในปีหน้า ทำให้มีความไปตีความกันต่างๆ นานาว่าจะใช้วิธีใด จบปัญหาไฟใต้

ยิ่งมาเกิดเหตุรุนแรงขนาดใหญ่ระดับ “ปิดเมืองสุไหงโก-ลก” เมืองชายแดนสำคัญของ จ.นราธิวาส เมื่อวันเสาร์ที่ 8 มี.ค.68 ยิ่งทำให้บทบาทของอดีตนายกฯทักษิณ ถูกตั้งคำถามมากขึ้นว่าส่งผลบวกกับสถานการณ์จริงหรือไม่ แม้เจ้าตัวจะยังคงแสดงความเชื่อมั่นในกรอบเวลาดับไฟใต้ที่ประกาศไว้เองก็ตาม

โดยเฉพาะในมิติของการพูดคุยสันติสุข ซึ่งยังไม่มีการตั้งคณะพูดคุยชุดใหม่ในรัฐบาลแพทองธาร ก็ยังสัมผัสได้ถึงร่องรอยความสับสน เพราะหากฟังจาก นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่ให้สัมภาษณ์หลายครั้งหลังวันที่ 8 มี.ค. ก็จะพบว่ารัฐบาลกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความสับสน ลังเล

เพราะรองนายกฯภูมิธรรม ตั้งข้อสงสัยว่า คู่เจรจาที่ติดต่อประสานงานกันอยู่ ทั้งที่คุยในทางลับและกำลังจะตั้งคณะพูดคุยร่วมกัน เป็น “ตัวจริง” หรีอไม่ และใช่คนที่ควรจะคุยต่อหรือเปล่า

ที่สำคัญ รองนายกฯ ภูมิธรรม ออกมาสยบข่าวการตั้ง พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยคนใหม่ของฝ่ายรัฐบาลไทยด้วย แม้จะไม่ใช่การปฏิเสธแบบสิ้นเชิง แต่ก็เหมือนชะลอเอาไว้ก่อน ซึ่งคาดว่าเป็นเพราะสถานการณ์ที่ยังไม่นิ่ง

และอ้างว่าต้องรอยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ฉบับใหม่ที่สั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.ไปทบทวน ให้สะเด็ดน้ำเสียก่อน

ส่วนตัวแทนกลุ่ม หรือแกนนำบีอาร์เอ็น ที่อดีตนายกฯทักษิณอ้างว่า ไปพบปะพูดคุยมาแล้ว คือใคร และเป็น“ตัวจริง” ในความหมายของรองนายกฯภูมิธรรมหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่น่าคิด

แต่จากการสอบถามผู้เกี่ยวข้องในงานความมั่นคง ทั้งฝ่ายข้าราชการประจำ และฝ่ายการเมือง ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า อดีตนายกฯไปพบแกนนำบีอาร์เอ็นคนใด

เปิดคลังความรู้ฝ่ายมั่นคงไทย - ใครคือ BRN ?

คำถามที่ต้องถามกันอย่างจริงจัง ณ เวลานี้ก็คือ แท้ที่จริงแล้วรัฐบาลไทย และฝ่ายความมั่นคงไทย “เรารู้จักบีอาร์เอ็นดีแค่ไหน” เพราะการวางสถานะของบีอาร์เอ็นในการต่อสู้กับรัฐไทย คือมาในรูปแบบของ “องค์กรลับ” ที่ปกปิดโครงสร้างและวิธีการทำงาน

ที่ผ่านมาองค์ความรู้ของฝ่ายความมั่นคงไทยก็มีอยู่ไม่น้อย มีข้อมูลทั้งในรูปแบบรายงาน และงานวิจัยหลายเล่ม

ผลงานที่รู้จักกันในหมู่ทหาร และฝ่ายความมั่นคง เป็นของ พล.อ.สำเร็จ ศรีหร่าย อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็น “กูรูบีอาร์เอ็น” คนหนึ่ง

นอกจากนั้นก็ยังมี พล.ต.บุญรอด ศรีสมบัติ อดีตผู้บัญชาการโรงเรียนเสนาธิการทหาร ที่เคยทำวิจัยเรื่องบีอาร์เอ็น และขบวนการก่อความไม่สงบชายแดนใต้ ทั้งในแง่ยุทธวิธี ยุทธการ และแนวทางการต่อสู้ เอาชนะ

โดย พล.ต.บุญรอด ยังเป็นผู้ก่อตั้งหลักสูตร การพัฒนาองค์ความรู้การก่อการร้ายและการก่อความไม่สงบสำหรับผู้บริหาร หรือ “หลักสูตร พรส.” ด้วย ซึ่งเปิดให้ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง สื่อมวลชน และภาควิชาการที่ไม่ใช่ทหาร ได้เข้าอบรมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้วยกันเพื่อความหลากหลาย และมีการผลิตงานวิชาการออกมามากมาย

ฉะนั้นคำถามที่ต้องเร่งหาคำตอบในวันที่รอการทบทวนยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ ก็คือ องค์ความรู้ทั้งหมดนั้นถูกนำมาใช้จริงในการแก้ไขปัญหา ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติ มากน้อยเพียงใด

นักวิชาการเยอรมันไขปริศนา BRN ทำไมไทยไม่ชนะ

วันนี้ไม่ได้มีแต่สังคมไทย และฝ่ายความมั่นคงไทยที่ให้ความสนใจองค์กรบีอาร์เอ็น

แต่นักวิชาการจากต่างประเทศ อย่างเยอรมัน ก็สนใจ ให้น้ำหนัก และศึกษาถึงขนาดผลิตงานวิจัยออกมาด้วย

นักวิชาการท่านนี้ชื่อว่า ดอกเตอร์ ซัสชา เฮลบาร์ดท์ (Dr. Sascha Hekbardt) ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง โดย ดอกเตอร์ท่านนี้ได้สรุปข้อมูลออกมาเป็นอินโฟกราฟฟิก จำนวน 4 ประเด็นหลักคือ

1.เครือข่ายผู้มีอำนาจฝ่ายความมั่นคงได้ประโยชน์จากปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้

- งบประมาณมหาศาลที่จัดสรรให้ฝ่ายความมั่นคง เพื่อแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กลายเป็นฐานอำนาจให้กับผู้นำระดับสูง จึงไม่ต้องการให้ความขัดแย้งยุติ

2. BRN เชื่อมั่นแรงกล้าว่า จะได้รับชัยชนะ

- รัฐบาลไทยขาดองค์ความรู้เกี่ยวกับ BRN และไม่มีความตั้งใจที่จะยุติปัญหาจริง โดยอ้างว่า เพื่อไม่ให้เป็นการยกระดับให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง แต่เมื่อความขัดแย้งยิ่งยืดเยื้อ BRN ยิ่งได้เปรียบ และยิ่งได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ

3. BRN มีเครือข่ายและโครงสร้างที่เข้มแข็ง

- BRN มีโครงสร้างรัฐแอบแฝง มีสมาชิกแทรกตัวในทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะเยาวชน ทั้งโรงเรียน สหกรณ์ ร้านอาหาร และแม้กระทั่งหน่วยงานรัฐ มีการระดมเงินสนับสนุนผ่านกิจกรรมและค่าสมาชิก

4. การขาดยุทธศาสตร์ยุติไฟใต้ที่มีประสิทธิภาพ แบ่งเป็น

- การเจรจาสันติภาพไม่มีความคืบหน้าและไร้ทิศทาง ขณะที่ผู้นำ BRN ตัวจริงไม่ยอมเข้าร่วมเจรจา

- BRN สามารถเคลื่อนไหวได้อิสระ มาเลเซียไม่ให้ความร่วมมือในการกดดันผู้นำ จึงไม่มีเหตุผลที่ BRN จะต้องมอบตัวและยุติความรุนแรง

- พรรคฝ่ายค้าน คือ พรรค PAS และสันติบาลมาเลเซีย ยังใช้ BRN เป็นเครื่องมือบั่นทอนอำนาจนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเอง

ดอกเตอร์ซัสชา ยังเสนอ “5 หัวใจสำคัญ” เพื่อยุติความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ บั่นทอนความเข้มแข็งของ BRN ไม่ให้มีทางออกอื่น นอกจากเจรจากับรัฐบาลไทยอย่างจริงจัง คือ

1. การดำเนินการเชิงรุกเพื่อสกัดกั้นปฏิบัติการใต้ดินของ BRN โดยมุ่งที่โครงสร้างรัฐแอบแฝง หรือ Counter Shadow State /และเปิดช่องทางลงให้ผู้นำ BRN

2.ต่อต้านการเผยแพร่แนวคิดสุดโต่งในกลุ่มเยาวชนอย่างเป็นระบบ (CVE Strategy)

3.การกีดขวางเส้นทางการสนับสนุนการเงินแก่ BRN หรือ มาตรการ Counter Financing

4.การปฏิบัติการพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชน เช่น ไม่มีการทรมาน วิสามัญฆาตกรรม การคุกคามโดยภาครัฐ

5.นโยบายต่างประเทศต้องชัดเจน คู่ขนานกับการเจรจาทางลับ ดึงมาเลเซียให้ร่วมมือและไม่ให้ที่พักพิงแก่แกนนำ BRN

BRN มั่นใจได้ “รัฐเอกราช” - แฉปั้นหลักสูตร มินิ RKK

งานวิจัยของ ดอกเตอร์จากเยอรมัน ที่ระบุว่า สาเหตุหนึ่งที่รัฐบาลไทยยุติปัญหาไฟใต้ไม่ได้ เพราะ BRN มั่นใจว่าจะประสบชัยชนะ

ประเด็นนี้สอดคล้องกับความเห็นของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง ที่บอกว่า ความเข้าใจของทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า การเจรจาเป็นจุดสิ้นสุดสงครามได้ แต่ลืมไปว่า ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่คู่สงครามฝ่ายหนึ่งสิ้นศักยภาพในการรบ หรือไม่มีขีดความสามารถที่จะทำการรบต่อไปด้วย

ฉะนั้นเมื่อเทียบกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนของไทย ถ้าฝ่ายต่อต้านรัฐยอมรับความเป็นจริงของเงื่อนไขทางการเมืองและการทหารว่า โอกาสที่จะเดินไปถึงวัตถุประสงค์สุดท้ายของการตั้ง “รัฐเอกราชใหม่” เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่น การยุติสงครามเอกราชของกลุ่ม IRA ที่ต่อสู้กับอังกฤษมาอย่างยาวนาน ก็จะทำให้โต๊ะเจรจาเปิดขึ้นอย่างมีความหวังที่จะยุติสงคราม

แต่ BRN ยังไม่ถึงจุดดังกล่าว และยังสามารถใช้กระบวนการบ่มเพาะความรุนแรงในการสร้างสมาชิกใหม่ พร้อมทั้งจัดทำ “หลักสูตรใหม่” หรืออาจจะเรียกว่า “มินิ RKK” ซึ่งเป็นหลักสูตรฝึกการก่อการร้ายแบบเร่งรัดด้วย

มีข่าวว่า กองกำลังติดอาวุธที่ใช้ในเหตุการณ์ “ปิดเมืองสุไหงโก-ลก” เป็นการเตรียมกำลังชุดใหม่ โดยมีหลักสูตรเร่งรัด ในลักษณะ “มินิคอมมานโด” โดยนำเอานักรบ RKK มีมีอยู่ในพื้นที่ มาฝึกแบบเร่งด่วน เมื่อฝึกจบก็เข้ามาร่วมปฏิบัติงานในพื้นที่ทันที

ดังนั้นในพื้นที่ขณะนี้ จึงมีเหตุรุนแรงที่เกิดจากการโจมตีของกองกำลังที่ผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดี เน้นประสิทธิภาพ แม้จะเป็นหลักสูตรเร่งรัด ไม่ได้ฝึกเต็มระบบ แต่ก็มีคุณภาพมากพอที่จะก่อเหตุรุนแรงขนาดใหญ่

มีการตั้งข้อสังเกตเล่นๆ ว่า ชื่อหลักสูตร มินิคอมมานโด หรือ มินิ RKK เป็นการตั้งชื่อล้อเลียน หลักสูตรมินิ วปอ. ที่นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร และคนการเมืองรุ่นใหม่นิยมไปเรียนกันหรือไม่ ซึ่งขณะนี้เปิดรุ่น 2 แล้ว 

ส่วนข้อสังเกตที่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ก็คือ ภาพสะท้อนเจตจำนงของบีอาร์เอ็นในการต่อสู้ทุกเครื่องมือเพื่อตั้งรัฐเอกราชใหม่ ยังคงแจ่มชัด และฝ่ายไทยยังทำให้พวกเขาเชื่อไม่ได้ว่า เป้าหมายนั้นไม่มีทางเป็นจริง

ฉะนั้นสิ่งที่ต้องทบทวนไม่ใช่แค่ยุทธศาสตร์ แต่ยังรวมถึง “โต๊ะพูดคุย” ด้วยว่าควรออกแบบอย่างไรภายใต้เจตจำนงที่แรงกล้าเช่นนี้?