ในช่วงเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา
พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ — ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส —
ตกอยู่ในภาวะความรุนแรงและความไม่สงบที่ยืดเยื้อ
ภาครัฐและเจ้าหน้าที่ความมั่นคงหลายชุด พยายามเข้ามาคลี่คลายปัญหาด้วย
"มาตรการเด็ดขาด" เช่น การปิดล้อม ตอบโต้ กดดัน
และการใช้กำลังอย่างหนักหน่วง ด้วยหวังว่าจะเร่งยุติสถานการณ์ให้รวดเร็วที่สุด
ทว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม...
การดำเนินมาตรการเหล่านี้โดยขาดความเข้าใจในมิติทางสังคม
วัฒนธรรม และจิตใจของประชาชนในพื้นที่ ได้ค่อย ๆ
บั่นทอนความเชื่อมั่นและความศรัทธาที่มวลชนมีต่อรัฐ ความหวาดระแวง ความไม่ไว้ใจ
กลายเป็นกำแพงหนาทึบที่ขวางกั้นระหว่างภาครัฐกับประชาชน ซ้ำเติมความขัดแย้งให้ลึกลงไปอีก
หากภาครัฐยังยึดติดกับการ
"ควบคุม" มากกว่าการ "เข้าถึง"
สันติสุขที่แท้จริงย่อมเป็นเพียงความฝันที่ไกลเกินเอื้อม
สันติภาพที่ยั่งยืนไม่สามารถสร้างได้จากปากกระบอกปืน
หรือมาตรการที่เน้นแต่การบังคับ มันต้องเกิดจาก "ใจ"
ของผู้คนในพื้นที่ที่รู้สึกว่าตนเองได้รับความเป็นธรรม ได้รับความเคารพ
และมีโอกาสกำหนดอนาคตของตนเอง
ย้อนกลับไปในอดีต
ชาวไทยพุทธและไทยมุสลิมเคยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
มีความเข้าใจและเกื้อกูลกันตามวิถีชุมชนท้องถิ่น
ความสัมพันธ์เหล่านั้นไม่ได้เกิดจากการสั่งการ แต่เกิดจาก "ความไว้ใจ"
และ "การยอมรับในความแตกต่าง" ที่ค่อย ๆ
งอกงามขึ้นจากการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม
ดังนั้น
เส้นทางสู่สันติสุขที่แท้จริงในพื้นที่ 3 จชต. จึงไม่ใช่การเดินหน้าด้วยกำลัง
แต่คือการ ถอยหนึ่งก้าว เพื่อก้าวเข้าไปในใจประชาชน
เจ้าหน้าที่รัฐและหน่วยงานความมั่นคง
ต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ควบคุม เป็นผู้ประสาน เป็นเพื่อนร่วมทางของประชาชน
ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยพุทธหรือไทยมุสลิม ต้อง "ฟัง" ให้มากกว่าการ
"สั่ง" ต้องสร้าง "ความสัมพันธ์" ก่อนที่จะสร้าง
"มาตรการ" ต้องเข้าใจรากเหง้าของวิถีชีวิต ศรัทธา
และความหวังของคนในพื้นที่ให้ได้อย่างแท้จริง
เมื่อความเชื่อใจถูกสานขึ้นใหม่
มวลชนจะกลับมาเป็นพลังสำคัญในการสร้างและปกป้องสันติภาพด้วยตนเอง — และเมื่อนั้น
ความสงบสุขที่ยั่งยืนจะไม่ใช่แค่แผนงานบนกระดาษอีกต่อไป
แต่มันจะกลายเป็นชีวิตจริงที่หยั่งรากลึกในหัวใจของคนทุกเชื้อชาติ ศาสนา
และวัฒนธรรมในผืนแผ่นดินเดียวกัน เพราะสันติสุข... สร้างได้
ด้วยความเข้าใจและหัวใจที่เข้าถึงกันอย่างแท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น