วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2568

ทักษิณแย้มคุยแล้วกับ BRN - คุยกับใคร และใครคือบีฯ ?

ทักษิณ แย้มคุยแล้วกับ BRN - คุยกับใคร และ ใครคือบีฯ ?

เหตุระเบิดถี่ๆ ถูกมองว่าเป็นฝีมือ “บีอาร์เอ็น” โดยเฉพาะห้วงวันที่ 13 มีนาคมและใกล้เคียง ซึ่งเป็นวันคล้ายวันสถาปนาบีอาร์เอ็น ครบ 65 ปี เพราะก่อตั้งปี 2503 โดยขบวนการนี้มีชื่อเต็มๆ ว่า ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี

เมื่อวันศุกร์ที่ 14 มี.ค.68 อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ ก็อ้างว่า ตนเองได้ไปคุยกับบีอาร์เอ็นมาแล้ว ช่วงที่ได้รับอนุญาตจากศาลเดินทางไปมาเลเซีย

เรื่องนี้ขอเวลานิดหนึ่ง เนื่องจากผมเพิ่งเริ่มลงไปและได้มีการพบกับกลุ่มบีอาร์เอ็น เมื่อตอนไปมาเลเซียก็คิดว่าคงต้องพูดคุยกันต่อไม่มีอะไร ซึ่งต้องพูดคุยกันให้สะเด็ดน้ำ

ศาลอาญาอนุญาตให้อดีตนายกฯ ทักษิณ เดินทางไปมาเลเซีย เมื่อวันที่ 2-3 ก.พ.68 หากไปพบและพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็นจริงตามที่บอก ก็น่าจะเป็นช่วงเวลานั้น

เมื่อกลับมานายทักษิณก็ลงใต้ ไปเยือนทั้ง 3 จังหวัด คือ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 ก.พ.68 พร้อมเอ่ยขออภัยกับความผิดพลาดที่ผ่านๆ มา และประกาศว่าปัญหาชายแดนภาคใต้ต้องจบในปีหน้า ทำให้มีความไปตีความกันต่างๆ นานาว่าจะใช้วิธีใด จบปัญหาไฟใต้

ยิ่งมาเกิดเหตุรุนแรงขนาดใหญ่ระดับ “ปิดเมืองสุไหงโก-ลก” เมืองชายแดนสำคัญของ จ.นราธิวาส เมื่อวันเสาร์ที่ 8 มี.ค.68 ยิ่งทำให้บทบาทของอดีตนายกฯทักษิณ ถูกตั้งคำถามมากขึ้นว่าส่งผลบวกกับสถานการณ์จริงหรือไม่ แม้เจ้าตัวจะยังคงแสดงความเชื่อมั่นในกรอบเวลาดับไฟใต้ที่ประกาศไว้เองก็ตาม

โดยเฉพาะในมิติของการพูดคุยสันติสุข ซึ่งยังไม่มีการตั้งคณะพูดคุยชุดใหม่ในรัฐบาลแพทองธาร ก็ยังสัมผัสได้ถึงร่องรอยความสับสน เพราะหากฟังจาก นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่ให้สัมภาษณ์หลายครั้งหลังวันที่ 8 มี.ค. ก็จะพบว่ารัฐบาลกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความสับสน ลังเล

เพราะรองนายกฯภูมิธรรม ตั้งข้อสงสัยว่า คู่เจรจาที่ติดต่อประสานงานกันอยู่ ทั้งที่คุยในทางลับและกำลังจะตั้งคณะพูดคุยร่วมกัน เป็น “ตัวจริง” หรีอไม่ และใช่คนที่ควรจะคุยต่อหรือเปล่า

ที่สำคัญ รองนายกฯ ภูมิธรรม ออกมาสยบข่าวการตั้ง พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าคณะพูดคุยคนใหม่ของฝ่ายรัฐบาลไทยด้วย แม้จะไม่ใช่การปฏิเสธแบบสิ้นเชิง แต่ก็เหมือนชะลอเอาไว้ก่อน ซึ่งคาดว่าเป็นเพราะสถานการณ์ที่ยังไม่นิ่ง

และอ้างว่าต้องรอยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ฉบับใหม่ที่สั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช.ไปทบทวน ให้สะเด็ดน้ำเสียก่อน

ส่วนตัวแทนกลุ่ม หรือแกนนำบีอาร์เอ็น ที่อดีตนายกฯทักษิณอ้างว่า ไปพบปะพูดคุยมาแล้ว คือใคร และเป็น“ตัวจริง” ในความหมายของรองนายกฯภูมิธรรมหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่น่าคิด

แต่จากการสอบถามผู้เกี่ยวข้องในงานความมั่นคง ทั้งฝ่ายข้าราชการประจำ และฝ่ายการเมือง ไม่มีใครให้คำตอบได้ว่า อดีตนายกฯไปพบแกนนำบีอาร์เอ็นคนใด

เปิดคลังความรู้ฝ่ายมั่นคงไทย - ใครคือ BRN ?

คำถามที่ต้องถามกันอย่างจริงจัง ณ เวลานี้ก็คือ แท้ที่จริงแล้วรัฐบาลไทย และฝ่ายความมั่นคงไทย “เรารู้จักบีอาร์เอ็นดีแค่ไหน” เพราะการวางสถานะของบีอาร์เอ็นในการต่อสู้กับรัฐไทย คือมาในรูปแบบของ “องค์กรลับ” ที่ปกปิดโครงสร้างและวิธีการทำงาน

ที่ผ่านมาองค์ความรู้ของฝ่ายความมั่นคงไทยก็มีอยู่ไม่น้อย มีข้อมูลทั้งในรูปแบบรายงาน และงานวิจัยหลายเล่ม

ผลงานที่รู้จักกันในหมู่ทหาร และฝ่ายความมั่นคง เป็นของ พล.อ.สำเร็จ ศรีหร่าย อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็น “กูรูบีอาร์เอ็น” คนหนึ่ง

นอกจากนั้นก็ยังมี พล.ต.บุญรอด ศรีสมบัติ อดีตผู้บัญชาการโรงเรียนเสนาธิการทหาร ที่เคยทำวิจัยเรื่องบีอาร์เอ็น และขบวนการก่อความไม่สงบชายแดนใต้ ทั้งในแง่ยุทธวิธี ยุทธการ และแนวทางการต่อสู้ เอาชนะ

โดย พล.ต.บุญรอด ยังเป็นผู้ก่อตั้งหลักสูตร การพัฒนาองค์ความรู้การก่อการร้ายและการก่อความไม่สงบสำหรับผู้บริหาร หรือ “หลักสูตร พรส.” ด้วย ซึ่งเปิดให้ทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง สื่อมวลชน และภาควิชาการที่ไม่ใช่ทหาร ได้เข้าอบรมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้วยกันเพื่อความหลากหลาย และมีการผลิตงานวิชาการออกมามากมาย

ฉะนั้นคำถามที่ต้องเร่งหาคำตอบในวันที่รอการทบทวนยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ ก็คือ องค์ความรู้ทั้งหมดนั้นถูกนำมาใช้จริงในการแก้ไขปัญหา ตั้งแต่ระดับนโยบายจนถึงระดับปฏิบัติ มากน้อยเพียงใด

นักวิชาการเยอรมันไขปริศนา BRN ทำไมไทยไม่ชนะ

วันนี้ไม่ได้มีแต่สังคมไทย และฝ่ายความมั่นคงไทยที่ให้ความสนใจองค์กรบีอาร์เอ็น

แต่นักวิชาการจากต่างประเทศ อย่างเยอรมัน ก็สนใจ ให้น้ำหนัก และศึกษาถึงขนาดผลิตงานวิจัยออกมาด้วย

นักวิชาการท่านนี้ชื่อว่า ดอกเตอร์ ซัสชา เฮลบาร์ดท์ (Dr. Sascha Hekbardt) ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง โดย ดอกเตอร์ท่านนี้ได้สรุปข้อมูลออกมาเป็นอินโฟกราฟฟิก จำนวน 4 ประเด็นหลักคือ

1.เครือข่ายผู้มีอำนาจฝ่ายความมั่นคงได้ประโยชน์จากปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้

- งบประมาณมหาศาลที่จัดสรรให้ฝ่ายความมั่นคง เพื่อแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ กลายเป็นฐานอำนาจให้กับผู้นำระดับสูง จึงไม่ต้องการให้ความขัดแย้งยุติ

2. BRN เชื่อมั่นแรงกล้าว่า จะได้รับชัยชนะ

- รัฐบาลไทยขาดองค์ความรู้เกี่ยวกับ BRN และไม่มีความตั้งใจที่จะยุติปัญหาจริง โดยอ้างว่า เพื่อไม่ให้เป็นการยกระดับให้ต่างชาติเข้ามาแทรกแซง แต่เมื่อความขัดแย้งยิ่งยืดเยื้อ BRN ยิ่งได้เปรียบ และยิ่งได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ

3. BRN มีเครือข่ายและโครงสร้างที่เข้มแข็ง

- BRN มีโครงสร้างรัฐแอบแฝง มีสมาชิกแทรกตัวในทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะเยาวชน ทั้งโรงเรียน สหกรณ์ ร้านอาหาร และแม้กระทั่งหน่วยงานรัฐ มีการระดมเงินสนับสนุนผ่านกิจกรรมและค่าสมาชิก

4. การขาดยุทธศาสตร์ยุติไฟใต้ที่มีประสิทธิภาพ แบ่งเป็น

- การเจรจาสันติภาพไม่มีความคืบหน้าและไร้ทิศทาง ขณะที่ผู้นำ BRN ตัวจริงไม่ยอมเข้าร่วมเจรจา

- BRN สามารถเคลื่อนไหวได้อิสระ มาเลเซียไม่ให้ความร่วมมือในการกดดันผู้นำ จึงไม่มีเหตุผลที่ BRN จะต้องมอบตัวและยุติความรุนแรง

- พรรคฝ่ายค้าน คือ พรรค PAS และสันติบาลมาเลเซีย ยังใช้ BRN เป็นเครื่องมือบั่นทอนอำนาจนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเอง

ดอกเตอร์ซัสชา ยังเสนอ “5 หัวใจสำคัญ” เพื่อยุติความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ บั่นทอนความเข้มแข็งของ BRN ไม่ให้มีทางออกอื่น นอกจากเจรจากับรัฐบาลไทยอย่างจริงจัง คือ

1. การดำเนินการเชิงรุกเพื่อสกัดกั้นปฏิบัติการใต้ดินของ BRN โดยมุ่งที่โครงสร้างรัฐแอบแฝง หรือ Counter Shadow State /และเปิดช่องทางลงให้ผู้นำ BRN

2.ต่อต้านการเผยแพร่แนวคิดสุดโต่งในกลุ่มเยาวชนอย่างเป็นระบบ (CVE Strategy)

3.การกีดขวางเส้นทางการสนับสนุนการเงินแก่ BRN หรือ มาตรการ Counter Financing

4.การปฏิบัติการพื้นฐานของการเคารพสิทธิมนุษยชน เช่น ไม่มีการทรมาน วิสามัญฆาตกรรม การคุกคามโดยภาครัฐ

5.นโยบายต่างประเทศต้องชัดเจน คู่ขนานกับการเจรจาทางลับ ดึงมาเลเซียให้ร่วมมือและไม่ให้ที่พักพิงแก่แกนนำ BRN

BRN มั่นใจได้ “รัฐเอกราช” - แฉปั้นหลักสูตร มินิ RKK

งานวิจัยของ ดอกเตอร์จากเยอรมัน ที่ระบุว่า สาเหตุหนึ่งที่รัฐบาลไทยยุติปัญหาไฟใต้ไม่ได้ เพราะ BRN มั่นใจว่าจะประสบชัยชนะ

ประเด็นนี้สอดคล้องกับความเห็นของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง ที่บอกว่า ความเข้าใจของทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า การเจรจาเป็นจุดสิ้นสุดสงครามได้ แต่ลืมไปว่า ต้องอยู่บนเงื่อนไขที่คู่สงครามฝ่ายหนึ่งสิ้นศักยภาพในการรบ หรือไม่มีขีดความสามารถที่จะทำการรบต่อไปด้วย

ฉะนั้นเมื่อเทียบกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนของไทย ถ้าฝ่ายต่อต้านรัฐยอมรับความเป็นจริงของเงื่อนไขทางการเมืองและการทหารว่า โอกาสที่จะเดินไปถึงวัตถุประสงค์สุดท้ายของการตั้ง “รัฐเอกราชใหม่” เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เช่น การยุติสงครามเอกราชของกลุ่ม IRA ที่ต่อสู้กับอังกฤษมาอย่างยาวนาน ก็จะทำให้โต๊ะเจรจาเปิดขึ้นอย่างมีความหวังที่จะยุติสงคราม

แต่ BRN ยังไม่ถึงจุดดังกล่าว และยังสามารถใช้กระบวนการบ่มเพาะความรุนแรงในการสร้างสมาชิกใหม่ พร้อมทั้งจัดทำ “หลักสูตรใหม่” หรืออาจจะเรียกว่า “มินิ RKK” ซึ่งเป็นหลักสูตรฝึกการก่อการร้ายแบบเร่งรัดด้วย

มีข่าวว่า กองกำลังติดอาวุธที่ใช้ในเหตุการณ์ “ปิดเมืองสุไหงโก-ลก” เป็นการเตรียมกำลังชุดใหม่ โดยมีหลักสูตรเร่งรัด ในลักษณะ “มินิคอมมานโด” โดยนำเอานักรบ RKK มีมีอยู่ในพื้นที่ มาฝึกแบบเร่งด่วน เมื่อฝึกจบก็เข้ามาร่วมปฏิบัติงานในพื้นที่ทันที

ดังนั้นในพื้นที่ขณะนี้ จึงมีเหตุรุนแรงที่เกิดจากการโจมตีของกองกำลังที่ผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดี เน้นประสิทธิภาพ แม้จะเป็นหลักสูตรเร่งรัด ไม่ได้ฝึกเต็มระบบ แต่ก็มีคุณภาพมากพอที่จะก่อเหตุรุนแรงขนาดใหญ่

มีการตั้งข้อสังเกตเล่นๆ ว่า ชื่อหลักสูตร มินิคอมมานโด หรือ มินิ RKK เป็นการตั้งชื่อล้อเลียน หลักสูตรมินิ วปอ. ที่นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร และคนการเมืองรุ่นใหม่นิยมไปเรียนกันหรือไม่ ซึ่งขณะนี้เปิดรุ่น 2 แล้ว 

ส่วนข้อสังเกตที่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ก็คือ ภาพสะท้อนเจตจำนงของบีอาร์เอ็นในการต่อสู้ทุกเครื่องมือเพื่อตั้งรัฐเอกราชใหม่ ยังคงแจ่มชัด และฝ่ายไทยยังทำให้พวกเขาเชื่อไม่ได้ว่า เป้าหมายนั้นไม่มีทางเป็นจริง

ฉะนั้นสิ่งที่ต้องทบทวนไม่ใช่แค่ยุทธศาสตร์ แต่ยังรวมถึง “โต๊ะพูดคุย” ด้วยว่าควรออกแบบอย่างไรภายใต้เจตจำนงที่แรงกล้าเช่นนี้?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น