การแห่ศพและการฝังโดยไม่อาบน้ำศพของผู้ก่อการร้าย BRN ฮารอมตามหลักการศาสนา
อิสลามเพราะพวกเขาไม่ใช่มูญาฮีดีนแต่เป็นผู้บ่อนทำลายทำให้อิสลามเสียหายด้วย
การเอาศพของผู้ก่อการร้าย
จะใช้ชื่อ ว่า BRN
หรือชื่ออะไรก็ตามเเต่ ที่ก่อเหตุ รุนเเรง ฆ่า ผู้บริสุทธิ์
ทั้งมุสลิมเเละไม่ใช่มุสลิม ทั้ง อุซต๊าซ ครู พระ โต๊ะอีหม่าม เด็ก สตรี ประชาชน
ข้าราชการ ที่ไม่ใช่ ทหาร
แล้วมาเที่ยว
เดินเเห่งขบวน ปลุกระดม ตักบีร เเล้ว ตามด้วย คำว่า ปาตานี เมอรเเดกอ
เเละนำไปฝัง ล่าสุด 2 คนฝั่งหลุมเดียว เเล้วอ้างว่า เป็นมูญาฮีดีน นั้น ถือเป็นการกระทำที่หลงผิด
เเอบอ้างคำสอนของอิสลามเเบบผิด เเละสุดโต่ง
เพราะผู้ที่บ่อนทำลายก่อสงคราม ถ้าชีวิตผู้บริสุทธิ์นั้น เขาไม่ใช่ มูญาฮีดีน แต่เป็นเพียงแค่ผู้บ่อนทำลายผู้ก่อการร้ายในทัศนะของอิสลามเท่านั้น
BRN ไม่ต่าง จาก I S I S สถานะคือ กลุ่มดาอิช กลุ่มคอวาริจ ที่ใช้ความสุดโต่งก่อความรุนแรงและอ้างศาสนา
ปัจจุบันไม่มี
อูลามาฮ อาวุโส แม้แต่คนเดียวในโลกอาหรับ
หรือที่เป็นอูลามาฮ ที่ถูกยอมรับจากมุสลิมทั่วโลก ว่า 3
จังหวัด สามารถญีฮาดได้ หรือแม้กระทั้งสันนิบาตมุสลิมโลก OIC ก็ยังตำหนิการก่อเหตุรุนแรง ของ BRN
ฉนั้นการแห่ศพดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่
ฮารอม ตามนัยฟัตวา ของสำนักจุฬาราชมนตรีผู้นำสูงสุดของมุสลิมไทยในด้านศาสนา
#ปัตตานี ไม่ใช่ ดินเเดนสงคราม (ดารุลฮัรบี) ใครฆ่าผู้บริสุทธิ์
ใครทำลายทรัพย์สิน ในช่วงรอมาฎอน ยิ่งตอกย้ำว่า เป็นการกระทำของ พวก ซาตาน อิบลิส
ไม่ใช่เเนวทางของผู้ศรัทธา
รอมาฎอน
เป็นเดือนเเห่งความสงบสันติ อย่ามาอ้าง ญีฮาดเเบบผิดๆ ให้มุสลิมไทยคนอื่นๆ เเละอิสลามเสียหายไปด้วย
บาบอ
หรือ จูเเว ที่โดนหลอกคนไหน ที่อ้างว่า 3 จังหวัด คือ ดารุ้ลฮัรบีนั้น จงรู้ไว้เถิดว่า พวกเขากำลังบิดเบือนคำสอนอิสลาม
เพื่อเเนวทางสุดโต่งของพวกเขา ซึ่งเบื้องหลัง คือการตอบสนองนโยบายของยาฮูด โดยมีรอฟีเฏาะ คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว
ฉนั้น
เเนวทางของ พวก BRN
หรือจูเเว กลุ่มใดก็ตามเเต่ ที่สอนให้ ฆ่าผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่เเนวทางอิสลาม
เเละพวกเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันกับอิสลาม เพราะพวกเขาต่อสู้ เพื่อชาติพันธุ์มาลายู ซึ่งเป็นแนวทางของขัยฏอน ที่เรียกร้องให้คลั้งไคล้ชาติพันธุ์
ไม่ใช่การต่อสู้เพื่ออิสลาม เพราะแนวทางของอิสลามนั้น ย่อมไม่สังหารผู้บริสุทธิ์
และอยู่ในกรอบของกติกาการทำสงคราม ที่ไม่เป็นผู้บ่อนทำลายอย่างเช่นที่ปรากฏอยู่
#ประเด็นที่พวกเขาชอบหยิบยกมาอ้างคือ
เขาหยิบยกเหตุการณ์ สถานการณ์ในยุคแรก 70 กว่าปีที่ผ่านมาขึ้นไป
ก็คือในยุคที่ประเทศไทย ยังปกครองด้วยระบอบเผด็จการอย่างยุคสมัยของจอมพล
ป.พิบูลสงคราม ที่มีการอุ้มฆ่า ฮัจยี สุหลงฯ อยู่ต่อมาในยุคของ นายควง อภัยวงศ์
หรือไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของ พลเอก สฤษดิ์ ธนะรัช
โดยเฉพาะในยุคของจอมพล
ป .พิบูลสงครามนั้น
อันนี้ก็ต้องยอมรับว่ายุคนั้นรัฐบาล ภายใต้การนำของเผด็จการอย่างจอมพล ป.พิบูล สงคราม ซึ่ง จอมพล
ป.พิบูล ฯ อยู่ฝ่ายมหาอำนาจญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ด้วยแล้ว โดยถือได้ว่า เป็นยุคที่ประชาชนในประเทศไทยถูกกดขี่อย่างรุนแรง
คือรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นรัฐบาลเผด็จการแบบเดียวกับ ฮิตเลอร์
ชาตินิยมสุดโต่ง ที่ไม่ยอมรับอัตลักษณ์และวัฒนธรรมความเชื่อของศาสนาอื่น วัฒนธรรมอื่นที่อยู่ในผืนแผ่นดินไทย
แม้กระทั้งคนจีนเอง
ก็ถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรงในยุคนั้น
และแน่นอนมุสลิมเอง ก็ถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรงเช่นกัน และเป็นช่วงที่
บังเกิดผู้รู้ที่ทรงคุณค่าท่านหนึ่งของดินแดนปัตตานีในยุคนั้น ก็คือ ฮัจยีสุหลงฯ (เรื่องราวของฮีจยี
สุหลง วันหลังผมจะมาลงรายละเอียดอีกทีนึง)
เดิมที่ฮัจยีสุหลง คืออูลามาฮคนหนึ่ง ที่ต้องการกลับมาฟื้นฟูอิสลามในดินแดน 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ในยุคนั้น เพราะในยุคนั้นคนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่าง
อยู่กับเรื่องงมงาย เรื่องชีริกอยู่กับพิธีกรรมเรื่องพวกภูตผี เจ้าที่เจ้าทางเยอะ
จึงต้องการกลับมาปฏิรูปสังคมมุสลิมให้กลับไปหาอิสลามที่บริสุทธิ์ให้มากขึ้น
จึงเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณทางด้านศาสนาของพี่น้องใน
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ท่านก็ดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานีด้วย
ฮัจยีสุหลงฯ
เห็นว่าประชาชนในพื้นที่ โดนกดขี่ข่มเหงทางด้านศาสนา จากภาครัฐอย่างไม่เป็นธรรม จึงได้มีการยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา
ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่า ตอนนั้นฮัจญีสุหลง
ไม่ได้มีกองกำลังและไม่ได้มีกระบวนการเหมือน BRN ในปัจจุบัน
ท่านใช้วิธีการเยี่ยงอารยชนที่เจริญแล้ว เขาทำก็คือใช้สันติวิธีในการยื่นข้อเสนออย่างตรงไปตรงมากับภาครัฐ เพื่อเรียกร้องสิทธิให้กับพี่น้องมุสลิมมลายูในพื้นที่ แต่ด้วยกับรัฐบาลนายกนั้นเป็นรัฐบาลเผด็จการ จึงมีการอุ้มฆ่าท่านในที่สุด
ซึ่งถามว่า
แม้กระทั่งใครก็ตาม ถ้าอยู่ในยุคนั้นก็คงทนไม่ไหวกับการกดขี่ข่มเหงของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม
ก็ต้องจับอาวุธลุกขึ้นต่อสู้อย่างแน่นอน
เฉกเช่นเดียวกับขบวนการเสรีไทย
ที่มีการตั้งกองกำลังและตั้งเป็นขบวนการในการต่อต้านอำนาจรัฐ ซึ่งก็มีการใช้ความรุนแรงเช่นเดียวกัน
เพราะรัฐบาลเผด็จการ ไม่สามารถที่จะพูดคุยเรียกร้องสิทธิใดๆได้
อันนี้ไม่ใช่เฉพาะมุสลิมมลายู คนที่ไม่ใช่มุสลิม ถ้าพูดถึงยุคนั้น เขาก็จะเข้าใจเหตุผลในการต่อสู้ทันทีว่า
มันชอบธรรมอยู่ ว่าด้วยฮุกมศาสนา หรือสิทธิตามมาตรฐานสากลทั่วไป
#แต่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในบริบทปัจจุบันนั้น
มันเปลี่ยนแปลงไปเยอะ ไม่เหลือเค้าลางเดิมในเรื่องการกีดกันทางศาสนาในเชิงนโยบายหลงเหลืออยู่อีก
กล่าวคือตั้งแต่กฎหมายสูงสุดของประเทศ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ในมาตรา 31
บัญญัติไว้ชัดเจนในการให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาและปฏิบัติตามศาสนบัญญัติของตนได้อย่างเสมอภาคเสรีภาพ
และมีมาตราที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของชุมชนพลเมือง
ที่ให้สิทธิแก่ประชาชนไว้อย่างเสมอภาค ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติศาสนาอีกต่อไป
อีกทั้งในรัฐบาล
ก็ยังมีโครงสร้างการปกครองที่เอื้ออำนวยให้สิทธิแก่มุสลิมและทุกศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน
การเข้าไปเป็นตัวแทนในสภาก็อยากลองสิทธิให้กับประชาชนในจังหวัดของตัวเอง แถมในโครงสร้างของรัฐบาลตลอดเรื่อยมานั้น
มักจะมีมุสลิมมลายูเอง เข้าไปมีบทบาทที่สำคัญหลายต่อหลายครั้งด้วยกัน เช่นในยุคอดีต
กลุ่มวาดะฮไม่ว่าจะเป็น ท่านเด่น โต๊ะมีนา ก็เคยดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล
และต่อมาในยุครัฐบาลทักษิณ ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา กลุ่มวาดะฮ
ก็ได้รับตำแหน่งที่สำคัญในรัฐบาลเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นประธานรัฐสภา
คือ วันมูฮัมหมัด นอร์มะทา รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ อารีเพ็ญ อุตรดิตถ์
และยังมีมุสลิมคนอื่นๆที่มีความสำคัญในโครงสร้างของรัฐบาลหลายต่อหลายครั้ง
และปัจจุบันเองผู้ที่นั่งเป็นประมุขสูงสุดของฝ่ายสภา
ก็เป็นมุสลิมมลายูอีกเช่นกัน แถมยังมีการตั้งพรรคการเมือง ที่ออกตัวว่าเป็นพรรคการเมืองของพี่น้องมุสลิมมลายูด้วยซ้ำไป
ที่สำคัญพระมหากษัตริย์ของไทย
ยังได้ให้ความสำคัญแก่มุสลิมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นพระราชกรณียกิจ
ที่ได้เข้ามาดูแลทุกข์สุขของพี่น้องมุสลิมเป็นอย่างดี ถึงขนาดมีการให้มีการแปลอัลกุรอานฉบับภาษาไทยแจกจ่ายให้กับพี่น้องมุสลิม เพื่อได้เรียนรู้เข้าใจศาสนาของตนเองมากขึ้น
ยังมีการสร้างมัสยิด ด้วยเงินของส่วนพระองค์จำนวนหลายหลังด้วยกัน และในช่วงการจัดงานกิจกรรมของพี่น้องมุสลิม พระองค์ก็ทรงให้เกียรติมาร่วมงานทุกปี ทั้งที่ปัตตานี 3 จังหวัดชายแดนใต้และที่กรุงเทพฯ
ฉะนั้นด้วยบริบทและสภาพการณ์ปัจจุบัน
จึงไม่มีเหตุผลไม่ว่าจะเป็นทางด้านหลักการศาสนา หรือมาตรฐานทางสากลทั่วไป ที่จะเรียกร้องให้ต่อสู้ด้วยการใช้กำลังหรือความรุนแรงอีกต่อไป
#ซึ่งเรื่องนี้
อิหม่ามอิบนุก๊อยยิมเคย ฟัตวาว่า “การฟัตวา
จะเปลี่ยนไปตามบริบท,สถานการณ์,เวลา”
เพราะฉะนั้นการอ้างว่า
รัฐไทยเป็นดารุ้ลฮัรบีย์ จึงอ้างไม่ขึ้นครับ
เพราะบริบทปัจจุบันเปลี่ยนแล้วไม่เหมือนยุคชัยคดาวูด ฟาฏอนี
และเรื่องฟัตวาเปลี่ยนตามบริบทเป็นที่เห็นตรงกันในอุลามาอในทุกมัสฮับครับ
ชาฟิอีย์ด้วย.
#สรุปคือ บริบทในอดีตไม่ว่าในยุคเชคดาวุดฟาฏอนี,
ยุคฮัจญีสุหลงฯ นั้น มันเป็นอีกบริบทของสถานการณ์ ที่จะต้องว่ากันไปตามบริบทและสถาการณ์ในตรงนั้นในยุคนั้น
แต่ที่เรากำลังเรียกร้องให้กลับสู่หาความถูกต้องในรูปแบบอิสลาม
ว่าการใช้ความรุนแรงการสอนให้หลังเลือดผู้บริสุทธิ์ในยุคปัจจุบันนั้น มันขัดต่อหลักการศาสนาอย่างร้ายแรง
เพราะปัจจุบันเป็นสังคมมุสลิมที่อยู่ภายใต้การปกครองในรูปแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งราชอาณาจักรไทย
ที่ไม่ได้มีการกดขี่ข่มเหงหรือริดรอนสิทธิเสรีภาพทางด้านศาสนาอีกต่อไป
ส่วนการปฏิบัติหน้าที่
โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐบางหน่วย บางคน ที่ยังมีพฤติกรรมรังแกมุสลิมอยู่นั้น
ก็ว่ากันไปตามกระบวนการกฎหมายบ้านเมือง ซึ่งยังมีช่องทางในเครื่องมือให้มุสลิมสามารถต่อสู้ตามกติกาบ้านเมืองได้อยู่
จึงไม่อนุญาตให้ใช้กำลังและความรุนแรงอีกต่อไป
ถ้าเราเอาประวัติศาสตร์มารื้อฟื้น เพื่อที่จะอ้างความชอบธรรมในการต่อสู้กันแล้วก็แน่นอนทั้งโลกใบนี้ย่อมมีความสุขแล้ว
เพราะแต่ละดินแดนย่อมมีการผัดเปลี่ยนในการปกครอง ที่สนับหมุนเวียนกันไปตามยุค ตามสมัย
ลองใช้เหตุผลและกลับไปหาแนวทางอิสลามที่เที่ยงตรง
ดูครับแล้วท่านจะไม่หลงทางกับการอ้างเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาหลอกให้มาตายแทนใคร
อัลเลาะห์ทรงห้าม ในการหลังเลือดผู้ศรัทธาด้วยกันเอง
แต่พวกเขากลับสอนว่ามุสลิมที่มาเห็นด้วยกับพวกเขานั้นสามารถฆ่าได้
อัลกรุอานกล่าวไว้ ความว่า “และผู้ใดฆ่าผู้ศรัทธาโดยจงใจ การตอบแทนแก่เขาก็คือ
นรกญะฮันนัม โดยที่เขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล และอัลลอฮฺก็ทรงกริ้วโกรธเขา
และทรงละอฺนัตเขา และได้ทรงเตรียมไว้สำหรับเขาซึ่งการลงโทษอันใหญ่หลวง.” (ซูเราะห์
อันนิสา ฮายัตที่ 93 )
อัลเลาะห์ทรงห้าม
มิให้ก่อความเสียหายห้ามทำร้ายผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องห้ามทำร้ายบ้านเรือนส่งปลูกสร้างแต่พวกเขาก็ทำลายมัน
อัลกรุอานกล่าวไว้ ความว่า “และพวกเจ้าอย่าก่อความเสียหายไว้ในแผ่นดิน
หลังจากได้มีการปรับปรุงแก้ไขมันแล้ว” (อัลอะรอฟ : 56)
อัลกรุอานกล่าวไว้
ความว่า “การบ่อนทำลาย ได้เกิดขึ้นทั้งทางบกและทางน้ำ
เนื่องจากสิ่งที่มือของมนุษย์ได้ขวนขวายไว้
เพื่อที่พระองค์จะให้พวกเขาลิ้มรสบางส่วนที่พวกเขาประกอบไว้
โดยที่หวังจะให้พวกเขากลับเนื้อกลับตัว” (อัรรูม/41)
ท่านนบีได้กำชับ
ห้ามทำลายชีวิตผู้อื่นและห้ามใจร้ายยัดข้อหาให้ผู้อื่นชั่วคราวกับธรรมตรงกันข้าม
อัล-ฮาดิษ ท่านนบี-ศ็อลลัลลอฮุ รายงานว่า
فقال -صلى الله عليه وسلم-: «اجْتَنِبُوا السَّبْعَ المُوبِقَاتِ» ، قَالُوا: يَا رَسُولَ اللَّهِ وَمَا هُنَّ؟ قَالَ: «الشِّرْكُ بِاللَّهِ، وَالسِّحْرُ، وَقَتْلُ النَّفْسِ الَّتِي حَرَّمَ اللَّهُ إِلَّا بِالحَقِّ، وَأَكْلُ الرِّبَا، وَأَكْلُ مَالِ اليَتِيمِ، وَالتَّوَلِّي يَوْمَ الزَّحْفِ، وَقَذْفُ المُحْصَنَاتِ المُؤْمِنَاتِ الغَافِلاَتِ»
ท่านนบี-ศ็อลลัลลอฮุ
อลัยฮิวะซัลลัม-กล่าวว่า พวกท่านจงหลีกห่างจากความชั่วร้ายทั้งเจ็ด
(บรรดาศอฮาบะฮฺ) กล่าวว่า
โอ้ท่านรอซูลุลลอฺ มันคืออะไร ?
ท่าน-ศ็อลลัลลอฮุ อลัยฮิวะซัลลัม-กล่าวว่า
การตั้งภาคีต่ออัลเลาะห์, การงมงายเรื่องไสยศาสตร์, การสังหารชีวิตที่อัลเลาะห์ทรงห้ามนอกจากด้วยสิทธิ,
การกินดอกเบี้ย, การกินทรัพย์เด็กกำพร้า, การหนีทัพในวันประจัญบาล และการใส่ร้ายหญิงบริสุทธิ์
หญิงศรัทธา หญิงไม่รู้เรื่อง(ดังกล่าว) ว่าทำซินา
ผู้นำมุสลิมของประเทศไทย
ซึ่งมีผู้รู้อูลามาฮ ที่นั่งอยู่ในสำนักจุฬาราชมนตรีจำนวนมาก
ช่วยกันกลั่นกรองและฟัตตวา ออกมาชัดเจนว่าดินแดน 3
จังหวัดไม่ใช่ดินแดนดารุ้ลฮัรบี
แต่พวกเขาก็ไม่ฟังผู้นำ
ยังจะหลั่งเลือดผู้บริสุทธิ์และทำลายทรัพย์สินส่วนสูงแผ่นดินที่มีพี่น้องเมื่อคืนจำนวนมากอาศัยอยู่อีก
ฉะนั้นแนวทางของ
BRN
หรือจูเเว ผู้ใดที่สนับสนุนแนวคิดนี้ แน่นอนพวกเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด
ๆ กับอิสลาม การเรียกร้องไปสู่แนวทางคลั่งชาติพันธุ์นั้นเป็นแนวทางของอิบลิสชัยฏอน
ขอให้เยาวชนมุสลิมมลายูและพี่น้องมุสลิมมลายูทุกท่าน
จงออกห่าง และต่อต้านแนวคิดที่บ่อนทำลายอิสลามเหล่านี้ เพื่อปกป้องอัล-อิสลาม ที่บริสุทธิ์และมาตุภูมิของพวกเราที่อยู่อย่างสงบสุข
บทความโดย : สายัณห์ สุขจันทร์