วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

แนวคิดดารุลฮัรบี 3 จชต.ไม่ใช่เเค่ การรบสุดโต่ง

แนวคิดดารุลฮัรบี 3 จชต.ไม่ใช่เเค่ "การรบสุดโต่ง"

เรามักได้ยินคำกล่าวอ้างจากกลุ่มขบวนการที่พยายามก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ครั้งเเล้วครั้งเล่าว่า เป็นการรบเนื่องจากเป็นพื้นที่ "ดารุลฮัรบี"

ดารุลฮัรบี เป็นผลของมติร่วมกันจากนักปราชญ์อิสลามในภายหลัง หลังจากที่ได้ลงความเห็นกันเเล้วว่า มีการละเมิดสิทธิและเสรีภาพความเป็นมนุษยชนต่อมุสลิม โดยเฉพาะการกดขี่ ข่มเหงและเหยียดหยามศาสนาเกิดขึ้นในพื้นที่นั้น และอนุญาตให้ต่อสู้ได้เท่าที่ควร ซึ่งมิใช่เป็นสิ่งที่มีมาเเต่เดิมของศาสนา

เเต่จากคำอ้าง ผ่านการต่อสู้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ถูกใช้คำนี้อย่างเลยเถิด ที่มิใช่เเค่การต่อสู้ และการต่อสู้เอง ก็มักมีผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบเกือบทุกครั้ง

และคำนี้ ยังถูกนำมาใช้ในการเเบ่งกลุ่มคนออกจากกัน คือ คนที่มีแนวคิดเดียวกันเป็นมุมิน(ผู้ศรัทธา) และกลุ่มคนเห็นต่างเป็นมุนาฟิก(หน้าไหว้หลังหลอก) หรือเป็นกาเฟร(ผู้ปฏิเสธ)

แม้เป็นมุสลิมด้วยกัน ผ่านคำว่า นายู เเละ ซีเเย รวมไปถึงคำนี้ยังถูกนำมาใช้หักห้ามการศึกษาและวิชาการสากล ซึ่งการปิดประตูบานใหญ่สำหรับการเรียนรู้และเสาะหาความจริง และสิ่งสำคัญคำนี้ถูกนำมาใช้ในการสร้างอคติและความเกลียดชัง ความแตกต่าง จนกลายเป็นบ่อเกิดความเสียหายตามมาหลายเรื่อง

ฉะนั้นเเล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนเเล้วเเต่มาจากการถูกปลูกฝัง ให้หักห้ามตนให้มองความแตกต่างเป็นเรื่องผิดเเปลกผ่านอคติ ไม่ยอมรับการเปลี่ยนเเปลง ไม่ยอมรับข้อมูลที่แตกต่าง ไม่สามารถเรียนรู้เปรียบเทียบได้ จนเกิดปัญหาหลากหลายตามมา ตั้งเเต่ครอบครัว การศึกษา เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ที่ส่งผลล้มทับกันราวโดมิโน่

ตามหลักการของศาสนาอิสลาม คำว่า ดารุลฮัรบี (Dar-ul-Harb) หมายถึง “ดินแดนแห่งสงคราม” (Abode of War) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้ปกครองโดยคนมุสลิม และไม่ได้ใช้ชารีอะห์เป็นกฎหมายหลักในการปกครอง ที่ขบวนการได้หยิบยกมาใช้เป็นตรรกะเหตุผลในการต่อสู้ แต่ความเข้าใจว่าดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้นี้เป็น ดารุลฮัรบี หรือไม่นั้น ทางจุฬาราชมนตรีได้ยืนยันแล้วว่า ดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่ “ดารุลฮัรบี” อย่างที่เข้าใจกัน

เพราะคนมาลายูมุสลิมมีสิทธิพลเมือง ยอมรับความเป็นพลเมืองไทยไม่ใช่แค่เพียงการถือบัตรประจำตัวประชาชนคนไทยเท่านั้น

- ไม่มีการห้ามปฏิบัติศาสนกิจ

- ไม่มีการห้ามเผยแผ่ (ดาวะห์) ศาสนา

ในหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ยอมรับความแตกต่างและความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม ตลอดจนความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ถ้าการกระทำหรือคำกล่าวใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าศาสนาอิสลามมีความเกลียดชัง รังเกียจศาสนิกในศาสนาและชาติพันธุ์อื่น ๆ ก็ต้องคิดแล้วว่ามันถูกต้องหรือไม่

ดังที่ 3 จังหวัดภาคใต้เป็นอยู่ทุกวันนี้ ถ้าเป็นการต่อสู้เพื่อศาสนาอย่างแท้จริงก็กระทำได้ ปลดแอกได้ แต่ทั้งนี้มันไม่ใช่เรื่องของศาสนาเลย แต่มีคนบางส่วนได้รับการปลูกฝังให้เกิดความรู้สึกและเข้าใจเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และเชื้อชาตินิยม เพื่อนำไปสู่การเรียกร้องและต่อสู้ให้มีการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์และดินแดน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักคำสอนของอิสลามอย่างแท้จริง

ท่านนบีมุฮัมมัด(ซล.) ถูกส่งมาเพื่อเผยแผ่ความเมตตาแก่ชาวโลก และเชิญชวนมนุษย์สู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ แต่เพียงผู้เดียว เพราะการบังเกิดมนุษย์ขึ้นมาบนโลกนี้ คือการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ ดั่งที่พระองค์ตรัสไว้ความว่า “และฉันไม่ได้สร้างญินและมนุษย์มาเพื่ออื่นใดนอกจาการเคารพภักดีต่อฉัน” (51 : 56) ไม่ใช่เกิดเพื่อมาต่อสู้ แย่งชิงอำนาจ ตามที่กลุ่มขบวนการฯ แอบอ้าง….เพราะประเทศไทยให้สิทธิทุกอย่างแล้ว

ขอให้พวกเราชาวมลายูมุสลิมทุกคนจงเข้าใจกับการกระทำของขบวนการในขณะนี้ ไม่ใช่การต่อสู้ที่แท้จริง แต่เป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มแต่อ้างเป็นนักรบต่อสู้เพื่อศาสนา การเสียชีวิตของผู้ก่อเหตุรุนแรงจึงไม่ใช่การเสียชีวิตเพื่อศาสนา เป็นเพียงผู้กระทำผิดที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ขอให้พี่น้องมลายูทุกคนร่วมกันละหมาดฮายัตดุอาร์ให้กลุ่มคนไม่หวังดีหยุดฆ่าและทำลายประชาชนผู้บริสุทธิ์ และขอร้อง…ขอผู้ไม่หวังดีหยุดก่อเหตุและวางอาวุธด้วยเถิด เพราะความรุนแรงมันไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหา.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น