แนวคิดดารุลฮัรบี
3 จชต.ไม่ใช่เเค่ "การรบสุดโต่ง"
เรามักได้ยินคำกล่าวอ้างจากกลุ่มขบวนการที่พยายามก่อความไม่สงบใน
3 จังหวัดชายแดนใต้ครั้งเเล้วครั้งเล่าว่า เป็นการรบเนื่องจากเป็นพื้นที่ "ดารุลฮัรบี"
ดารุลฮัรบี
เป็นผลของมติร่วมกันจากนักปราชญ์อิสลามในภายหลัง
หลังจากที่ได้ลงความเห็นกันเเล้วว่า มีการละเมิดสิทธิและเสรีภาพความเป็นมนุษยชนต่อมุสลิม
โดยเฉพาะการกดขี่ ข่มเหงและเหยียดหยามศาสนาเกิดขึ้นในพื้นที่นั้น และอนุญาตให้ต่อสู้ได้เท่าที่ควร
ซึ่งมิใช่เป็นสิ่งที่มีมาเเต่เดิมของศาสนา
เเต่จากคำอ้าง
ผ่านการต่อสู้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ถูกใช้คำนี้อย่างเลยเถิด
ที่มิใช่เเค่การต่อสู้ และการต่อสู้เอง
ก็มักมีผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบเกือบทุกครั้ง
และคำนี้
ยังถูกนำมาใช้ในการเเบ่งกลุ่มคนออกจากกัน คือ คนที่มีแนวคิดเดียวกันเป็นมุมิน(ผู้ศรัทธา)
และกลุ่มคนเห็นต่างเป็นมุนาฟิก(หน้าไหว้หลังหลอก) หรือเป็นกาเฟร(ผู้ปฏิเสธ)
แม้เป็นมุสลิมด้วยกัน
ผ่านคำว่า นายู เเละ ซีเเย
รวมไปถึงคำนี้ยังถูกนำมาใช้หักห้ามการศึกษาและวิชาการสากล
ซึ่งการปิดประตูบานใหญ่สำหรับการเรียนรู้และเสาะหาความจริง และสิ่งสำคัญคำนี้ถูกนำมาใช้ในการสร้างอคติและความเกลียดชัง
ความแตกต่าง จนกลายเป็นบ่อเกิดความเสียหายตามมาหลายเรื่อง
ฉะนั้นเเล้ว
ปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนเเล้วเเต่มาจากการถูกปลูกฝัง ให้หักห้ามตนให้มองความแตกต่างเป็นเรื่องผิดเเปลกผ่านอคติ
ไม่ยอมรับการเปลี่ยนเเปลง ไม่ยอมรับข้อมูลที่แตกต่าง
ไม่สามารถเรียนรู้เปรียบเทียบได้ จนเกิดปัญหาหลากหลายตามมา ตั้งเเต่ครอบครัว
การศึกษา เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ที่ส่งผลล้มทับกันราวโดมิโน่
ตามหลักการของศาสนาอิสลาม
คำว่า ดารุลฮัรบี (Dar-ul-Harb) หมายถึง “ดินแดนแห่งสงคราม”
(Abode of War) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้ปกครองโดยคนมุสลิม
และไม่ได้ใช้ชารีอะห์เป็นกฎหมายหลักในการปกครอง
ที่ขบวนการได้หยิบยกมาใช้เป็นตรรกะเหตุผลในการต่อสู้
แต่ความเข้าใจว่าดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้นี้เป็น ดารุลฮัรบี หรือไม่นั้น ทางจุฬาราชมนตรีได้ยืนยันแล้วว่า
ดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่ “ดารุลฮัรบี” อย่างที่เข้าใจกัน
เพราะคนมาลายูมุสลิมมีสิทธิพลเมือง
ยอมรับความเป็นพลเมืองไทยไม่ใช่แค่เพียงการถือบัตรประจำตัวประชาชนคนไทยเท่านั้น
-
ไม่มีการห้ามปฏิบัติศาสนกิจ
-
ไม่มีการห้ามเผยแผ่ (ดาวะห์) ศาสนา
ในหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม
ยอมรับความแตกต่างและความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม
ตลอดจนความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ถ้าการกระทำหรือคำกล่าวใดๆ
ที่แสดงให้เห็นว่าศาสนาอิสลามมีความเกลียดชัง
รังเกียจศาสนิกในศาสนาและชาติพันธุ์อื่น ๆ ก็ต้องคิดแล้วว่ามันถูกต้องหรือไม่
ดังที่
3 จังหวัดภาคใต้เป็นอยู่ทุกวันนี้
ถ้าเป็นการต่อสู้เพื่อศาสนาอย่างแท้จริงก็กระทำได้ ปลดแอกได้
แต่ทั้งนี้มันไม่ใช่เรื่องของศาสนาเลย
แต่มีคนบางส่วนได้รับการปลูกฝังให้เกิดความรู้สึกและเข้าใจเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์
ประวัติศาสตร์ และเชื้อชาตินิยม เพื่อนำไปสู่การเรียกร้องและต่อสู้ให้มีการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์และดินแดน
ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักคำสอนของอิสลามอย่างแท้จริง
ท่านนบีมุฮัมมัด(ซล.)
ถูกส่งมาเพื่อเผยแผ่ความเมตตาแก่ชาวโลก
และเชิญชวนมนุษย์สู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ แต่เพียงผู้เดียว
เพราะการบังเกิดมนุษย์ขึ้นมาบนโลกนี้ คือการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์
ดั่งที่พระองค์ตรัสไว้ความว่า
“และฉันไม่ได้สร้างญินและมนุษย์มาเพื่ออื่นใดนอกจาการเคารพภักดีต่อฉัน” (51 :
56) ไม่ใช่เกิดเพื่อมาต่อสู้ แย่งชิงอำนาจ ตามที่กลุ่มขบวนการฯ
แอบอ้าง….เพราะประเทศไทยให้สิทธิทุกอย่างแล้ว
ขอให้พวกเราชาวมลายูมุสลิมทุกคนจงเข้าใจกับการกระทำของขบวนการในขณะนี้
ไม่ใช่การต่อสู้ที่แท้จริง
แต่เป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มแต่อ้างเป็นนักรบต่อสู้เพื่อศาสนา
การเสียชีวิตของผู้ก่อเหตุรุนแรงจึงไม่ใช่การเสียชีวิตเพื่อศาสนา
เป็นเพียงผู้กระทำผิดที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย
ขอให้พี่น้องมลายูทุกคนร่วมกันละหมาดฮายัตดุอาร์ให้กลุ่มคนไม่หวังดีหยุดฆ่าและทำลายประชาชนผู้บริสุทธิ์
และขอร้อง…ขอผู้ไม่หวังดีหยุดก่อเหตุและวางอาวุธด้วยเถิด
เพราะความรุนแรงมันไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหา.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น