วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ความรุนแรงปะทุรอบใหม่ สะท้อนทางตันของกระบวนการสันติภาพ

ความรุนแรงปะทุรอบใหม่ สะท้อนทางตันของกระบวนการสันติภาพ

ตลอดเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่านมา พื้นที่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้/ปาตานี และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา กลับเข้าสู่วงจร ความรุนแรง ที่ปะทุอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง — จากเหตุการณ์ ลอบยิงอุสตาซในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส, การวางระเบิดในเขตชุมชน รวมไปถึง เหตุการณ์สะเทือนใจยิงสามเณรขณะออกบิณฑบาต ในอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา

จนนำไปสู่เสียงประณามกว้างขวางจากสังคมไทยทั้งพุทธและมุสลิม

กระแสสังคมในห้วงนี้ ไม่เพียงแต่เรียกร้องให้หยุดยั้งการใช้ความรุนแรงต่อพลเรือนและกลุ่มเปราะบางเท่านั้น แต่ยังได้เห็น ชาวพุทธในพื้นที่ รวมถึงเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ (B4P) ออกมาแสดงจุดยืน เรียกร้องให้รัฐไทยตั้งโต๊ะเจรจาสันติสุขโดยเร็ว สะท้อนความอึดอัดใจของชุมชนที่ต้องตกอยู่ในความหวาดกลัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่เห็นหนทางคลี่คลายจากภาครัฐ

ความเงียบของโต๊ะเจรจา และสัญญาณจากสนามปฏิบัติการ

นับตั้งแต่การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลสู่ยุคของ นายเศรษฐา ทวีสิน และต่อเนื่องมายัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร การจัดตั้งคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขยังคงไม่มีความชัดเจน แม้มีเสียงย้ำจากรองนายกฯ และ รมว.กลาโหมอย่าง นายภูมิธรรม เวชยชัย ว่ามีความตั้งใจจะเดินหน้ากระบวนการพูดคุย

แต่ในขณะที่ฝั่งรัฐบาลยังไม่เร่งรัดฟื้นการเจรจาให้เห็นเป็นรูปธรรม กลับมี สัญญาณตอบโต้ด้วยอาวุธ จากกลุ่มฝ่ายตรงข้ามในพื้นที่ ที่พยายาม “ส่งเสียง” ว่าการไม่มีโต๊ะเจรจานั้นเป็นเงื่อนไขที่นำไปสู่ความรุนแรงซ้ำซ้อน — ข้อมูลจากหลายเหตุการณ์ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มเป้าหมายของการก่อเหตุรุนแรงครั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ หากแต่เล็งไปยัง กลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้นำศาสนา พระ และสามเณร ซึ่งเป็นภาพที่บีบหัวใจสังคมยิ่งนัก

สันติภาพจะไปทางไหน หากการเมืองยังนิ่งเฉย?

สถานการณ์ในปาตานีเวลานี้สะท้อนให้เห็นปัญหาใหญ่ 3 ประการ:

 1. โต๊ะเจรจาที่ว่างเปล่า: แม้จะมีฝ่ายอำนวยความสะดวกอย่างมาเลเซีย แต่หากรัฐบาลไทยไม่มีตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจอย่างเป็นทางการ กระบวนการพูดคุยก็ไม่อาจเดินหน้าได้จริง

 2. ความไม่ไว้วางใจที่ลึกซึ้ง: ความไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมของรัฐและการใช้กฎหมายพิเศษ ทำให้ประชาชนจำนวนมากในพื้นที่ยังรู้สึกว่า “เสียงของพวกเขาไม่ถูกได้ยิน” และ “ชีวิตของพวกเขาไม่มีความหมายในสายตารัฐ

 3. ความรุนแรงตอบโต้ที่สุ่มเสี่ยงบานปลาย: เหตุยิงสามเณร ไม่เพียงทำลายชีวิตและจิตใจ แต่ยังปลุกปั่นอารมณ์ความโกรธเกลียดระหว่างชุมชนพุทธ-มุสลิม หากไม่มีการฟื้นเจรจา และปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ต่อไป โอกาสปะทุของความขัดแย้งระหว่างประชาชนเองมีความเป็นไปได้สูงขึ้น

เสียงของชาวพุทธในปัตตานี: จุดเปลี่ยนที่รัฐต้องรับฟัง

สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งในสถานการณ์รอบนี้ คือ การที่ชาวพุทธในพื้นที่ลุกขึ้นออกมาเรียกร้องให้รัฐเร่งตั้งโต๊ะเจรจา แทนที่จะสนับสนุนการปราบปรามด้วยกำลังเพียงอย่างเดียว นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่าความรุนแรงไม่ใช่คำตอบ และแม้แต่ประชาชนที่อยู่ในสถานะ “ชนกลุ่มน้อย” อย่างชาวพุทธในปัตตานีเอง ก็ยังเลือกที่จะ หนุนกระบวนการสันติภาพมากกว่าทางทหาร

บทสรุป: สันติสุขต้องเริ่มที่ความกล้าคุยกันจริง

คำถามใหญ่ในเวลานี้คือรัฐบาลชุดนี้กล้าพอหรือไม่ ที่จะเดินหน้าฟื้นการพูดคุยอย่างจริงใจ?ไม่ใช่เพียงการตั้งคณะกรรมการเพื่อแก้หน้า หากแต่ต้องพร้อมที่จะฟังเสียงประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เพราะหากไม่มีโต๊ะเจรจา และหากการเมืองยังคงเลือก “นิ่งเฉย” ในขณะที่ปืนยังลั่นอย่างต่อเนื่อง — ก็ยากจะคาดหวังได้ว่า “สันติภาพ” จะเดินทางไปถึงที่หมายในเร็ววัน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น