ความรุนแรงปะทุรอบใหม่
สะท้อนทางตันของกระบวนการสันติภาพ
ตลอดเดือนเมษายน
2568 ที่ผ่านมา พื้นที่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้/ปาตานี และ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา กลับเข้าสู่วงจร ความรุนแรง
ที่ปะทุอย่างต่อเนื่องอีกครั้ง — จากเหตุการณ์ ลอบยิงอุสตาซในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส,
การวางระเบิดในเขตชุมชน รวมไปถึง
เหตุการณ์สะเทือนใจยิงสามเณรขณะออกบิณฑบาต ในอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา
จนนำไปสู่เสียงประณามกว้างขวางจากสังคมไทยทั้งพุทธและมุสลิม
กระแสสังคมในห้วงนี้
ไม่เพียงแต่เรียกร้องให้หยุดยั้งการใช้ความรุนแรงต่อพลเรือนและกลุ่มเปราะบางเท่านั้น
แต่ยังได้เห็น ชาวพุทธในพื้นที่ รวมถึงเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ (B4P) ออกมาแสดงจุดยืน เรียกร้องให้รัฐไทยตั้งโต๊ะเจรจาสันติสุขโดยเร็ว
สะท้อนความอึดอัดใจของชุมชนที่ต้องตกอยู่ในความหวาดกลัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
โดยไม่เห็นหนทางคลี่คลายจากภาครัฐ
ความเงียบของโต๊ะเจรจา
และสัญญาณจากสนามปฏิบัติการ
นับตั้งแต่การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลสู่ยุคของ
นายเศรษฐา ทวีสิน และต่อเนื่องมายัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
การจัดตั้งคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขยังคงไม่มีความชัดเจน
แม้มีเสียงย้ำจากรองนายกฯ และ รมว.กลาโหมอย่าง นายภูมิธรรม เวชยชัย
ว่ามีความตั้งใจจะเดินหน้ากระบวนการพูดคุย
แต่ในขณะที่ฝั่งรัฐบาลยังไม่เร่งรัดฟื้นการเจรจาให้เห็นเป็นรูปธรรม
กลับมี สัญญาณตอบโต้ด้วยอาวุธ จากกลุ่มฝ่ายตรงข้ามในพื้นที่ ที่พยายาม “ส่งเสียง”
ว่าการไม่มีโต๊ะเจรจานั้นเป็นเงื่อนไขที่นำไปสู่ความรุนแรงซ้ำซ้อน —
ข้อมูลจากหลายเหตุการณ์ชี้ให้เห็นว่า
กลุ่มเป้าหมายของการก่อเหตุรุนแรงครั้งนี้ไม่ใช่เฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐ
หากแต่เล็งไปยัง กลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้นำศาสนา พระ และสามเณร
ซึ่งเป็นภาพที่บีบหัวใจสังคมยิ่งนัก
สันติภาพจะไปทางไหน
หากการเมืองยังนิ่งเฉย?
สถานการณ์ในปาตานีเวลานี้สะท้อนให้เห็นปัญหาใหญ่
3 ประการ:
1. โต๊ะเจรจาที่ว่างเปล่า: แม้จะมีฝ่ายอำนวยความสะดวกอย่างมาเลเซีย
แต่หากรัฐบาลไทยไม่มีตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจอย่างเป็นทางการ
กระบวนการพูดคุยก็ไม่อาจเดินหน้าได้จริง
2. ความไม่ไว้วางใจที่ลึกซึ้ง: ความไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมของรัฐและการใช้กฎหมายพิเศษ
ทำให้ประชาชนจำนวนมากในพื้นที่ยังรู้สึกว่า “เสียงของพวกเขาไม่ถูกได้ยิน”
และ “ชีวิตของพวกเขาไม่มีความหมายในสายตารัฐ”
3. ความรุนแรงตอบโต้ที่สุ่มเสี่ยงบานปลาย: เหตุยิงสามเณร ไม่เพียงทำลายชีวิตและจิตใจ
แต่ยังปลุกปั่นอารมณ์ความโกรธเกลียดระหว่างชุมชนพุทธ-มุสลิม หากไม่มีการฟื้นเจรจา
และปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปเช่นนี้ต่อไป
โอกาสปะทุของความขัดแย้งระหว่างประชาชนเองมีความเป็นไปได้สูงขึ้น
เสียงของชาวพุทธในปัตตานี:
จุดเปลี่ยนที่รัฐต้องรับฟัง
สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งในสถานการณ์รอบนี้
คือ การที่ชาวพุทธในพื้นที่ลุกขึ้นออกมาเรียกร้องให้รัฐเร่งตั้งโต๊ะเจรจา
แทนที่จะสนับสนุนการปราบปรามด้วยกำลังเพียงอย่างเดียว
นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่าความรุนแรงไม่ใช่คำตอบ และแม้แต่ประชาชนที่อยู่ในสถานะ “ชนกลุ่มน้อย”
อย่างชาวพุทธในปัตตานีเอง ก็ยังเลือกที่จะ หนุนกระบวนการสันติภาพมากกว่าทางทหาร
บทสรุป: สันติสุขต้องเริ่มที่ความกล้า
“คุยกันจริง”
คำถามใหญ่ในเวลานี้คือ “รัฐบาลชุดนี้กล้าพอหรือไม่
ที่จะเดินหน้าฟื้นการพูดคุยอย่างจริงใจ?” ไม่ใช่เพียงการตั้งคณะกรรมการเพื่อแก้หน้า
หากแต่ต้องพร้อมที่จะฟังเสียงประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง
เพราะหากไม่มีโต๊ะเจรจา
และหากการเมืองยังคงเลือก “นิ่งเฉย” ในขณะที่ปืนยังลั่นอย่างต่อเนื่อง —
ก็ยากจะคาดหวังได้ว่า “สันติภาพ” จะเดินทางไปถึงที่หมายในเร็ววัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น