แมวกับวิธีคนมลายู
ความผูกพันที่มากกว่าสัตว์เลี้ยง
ในโลกของคนมลายู
โดยเฉพาะในพื้นที่ปาตานี การมี “แมว”
อยู่ในบ้านไม่ใช่แค่เรื่องของการมีสัตว์เลี้ยงไว้คลายเหงา
แต่คือความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่สะท้อนวิถีชีวิต อารมณ์ และจิตวิญญาณของผู้คน
สำหรับคนมลายู
แมวไม่ใช่สัตว์ที่ถูกเลี้ยงเพราะความน่ารักเพียงอย่างเดียว แต่เป็น “เพื่อนร่วมเรือน”
ที่มีสถานะใกล้เคียงกับสมาชิกครอบครัว เป็นสิ่งมีชีวิตที่เราต้องดูแล ต้องพูดคุย
ต้องเข้าใจ แมวบางตัวได้รับการตั้งชื่ออย่างประณีต บางตัวมีสำรับอาหารพิเศษ
บางตัวถูกจับห่มผ้าตอนกลางคืน เพราะเจ้าของกลัวมันหนาว
หากมองให้ลึกกว่านั้น
ความผูกพันระหว่างคนมลายูกับแมว ยังสะท้อนความเป็นชุมชนที่มี “ใจ”
เป็นศูนย์กลาง แมวไม่เคยถูกขังในกรงตลอดเวลา เพราะคนมลายูส่วนใหญ่ไม่ชอบบังคับ
พวกเขาให้อิสระกับสัตว์เลี้ยง เหมือนที่พวกเขาเคารพวิถีชีวิตของผู้อื่น
แมวออกไปเดินเล่นตอนเย็น วิ่งเล่นในลานมัสยิดตอนกลางวัน
และกลับบ้านตอนค่ำอย่างรู้เวลา ความสัมพันธ์นี้ไม่ต้องใช้คำสั่ง แต่ใช้ “ความเข้าใจ”
หลายครอบครัวเชื่อว่าแมวเป็นสัตว์ที่นำความบริสุทธิ์มาสู่บ้าน
เพราะเป็นสัตว์ที่สะอาด ตื่นละหมาดฟัจร 5 เวลา พร้อมเจ้าของ
และบางครั้งก็นั่งเงียบข้างๆ เวลาเจ้าของอ่านอัล-กุรอาน ความรู้สึกเหล่านี้ สะท้อนความละเอียดอ่อนของวัฒนธรรมที่ไม่แยกจิตวิญญาณออกจากสิ่งเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน
ในวัฒนธรรมคนมลายูแบบดั้งเดิม
แมวยังถูกเล่าผ่านบทกวี กลอน และนิทานพื้นบ้าน เช่น “แมวดำเข้าบ้านเช้าโชคดี
แมวขาวขึ้นหลังคาเย็นมีข่าวดี” หรือ “เจอแมวนอนกลางถนน อย่าไล่
มันกำลังบอกให้รอ” สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ไสยศาสตร์
แต่คือความเชื่อที่ย้อมด้วยความอ่อนโยน
ในบางพื้นที่ของปัตตานี
หากมีแมวมานอนหน้าบ้านในคืนที่มีฝนตกหนัก คนเฒ่าคนแก่จะบอกว่า “คืนนี้บ้านนี้มีบารอกะฮ์”
(ความเมตตาจากพระเจ้า) และจะวางผ้าห่มให้แมวหนึ่งผืน
นี่คือรายละเอียดที่บางคนอาจมองข้าม แต่สำหรับคนมลายู
นี่คือศิลปะของการอยู่ร่วมกันกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกอย่างให้เกียรติ
แมว
กับ วิธีคนมลายู จึงไม่ใช่เรื่องของสัตว์เลี้ยงกับเจ้าของ
หากแต่เป็นเรื่องของ “หัวใจ” ที่ฝึกฝนให้รู้จักความนุ่มนวล ความเอื้ออาทร
และการเคารพสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมโลกเดียวกัน แม้จะพูดต่างภาษา
แต่ก็ฟังกันด้วยความรู้สึก.
“แมวไม่เคยพูด แต่เราก็เข้าใจมัน เพราะเราไม่ใช้หู แต่ใช้ใจฟัง” นี่แหละ…วิธีของคนมลายู.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น