วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

จชต.คือพื้นที่การต่อสู้เพื่อ...ศาสนาจริงหรือ?

จชต.คือพื้นที่การต่อสู้เพื่อ...ศาสนาจริงหรือ?

ชาวมลายูปาตานี เป็นกลุ่มชนขนาดใหญ่ ซึ่งอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ตั้งรกรากทำมาหากินตั้งแต่จังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดยะลา รวมไปถึงพื้นที่บางส่วนของจังหวัดสงขลา มีประชากรราว 3,359,000 คน หรือร้อยละ 3 ของประชากรทั้งประเทศ ชาวมลายูปาตานีส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เช่นเดียวกับประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมาเลเซีย ชาวมลายูปัตตานีเรียกตนเองว่า “ออแรนายู” (Orang Melayu; اورڠ ملايو) ซึ่งมีความหมายว่า “คนมลายู

ในปัจจุบันชาวไทยเชื้อสายมลายู ยังคงแต่งกายแบบมลายูให้เห็นอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ผู้ชายยังคงแต่งกายด้วยการนุ่งโสร่ง ผู้หญิงนุ่งผ้าปาเต๊ะ มีผ้าคลุมศีรษะ เหมือนชาวมุสลิมในประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันวัฒนธรรมการแต่งกายของมุสลิมในประเทศมาเลเซีย ได้มีการเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ชาวมลายูในพื้นที่มีความทันสมัยมากขึ้น ด้วยการนำแบบอย่างการแต่งตัวของมาเลเซีย แต่ยังคงอัตลักษณ์ความเป็นมลายู และอิสลามอยู่อย่างมั่นคง

ชาวมลายูเป็นมุสลิมที่เคร่งในศาสนา มีการทำนมาซ (ละหมาด ๕ เวลา) โดยกระทำกันในมัสยิดหรือสุเหร่า อีกทั้งมีการเดินทางไปแสวงบุญยังนครมักกะห์ การถือศีลอด และหลังจากการถือศีลอดก็จะเป็นเทศกาลฮารีรายอ มีพิธีการแต่งงาน (มาแกปูโล๊ะ) การเข้าสุหนัต (มะโซ๊ะยาวี) เพื่อแสดงตนว่าเป็นชาวมุสลิม ชาวมุสลิมทุกคนจะให้ความศรัทธาแก่องค์อัลเลาะห์ พระเจ้าองค์เดียวแห่งศาสนาอิสลามเท่านั้น

ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมเทคโนโลยี การหลั่งไหลของวัฒนธรรมตะวันตกได้เข้ามา และสร้างผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน เช่นเดียวกับวิถีชีวิตชาวมลายู แต่ยังมิวายที่จะมีการกล่าวหาจากบุคคลบางกลุ่มว่าเป็นเพราะรัฐบาลไทย ได้พยายามกลืนกินและยัดเยียดซึมซับความเป็นไทย

การโฆษณาชวนเชื่อจากผู้ที่ไม่หวังดีว่าอัตลักษณ์ วิถีชีวิตของชาวมลายูถูกกลืนกิน และถูกแทรกซึมจากรัฐบาลไทยไม่ได้เป็นความจริงแต่ประการใด ความเป็นมลายูไม่ได้ถูกกลืนหายไปจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นี้เลย ยังคงอยู่และรัฐบาลไทยได้ส่งเสริมอนุรักษ์ความเป็นมลายู ในพื้นที่สามจังหวัดไม่ให้สูญสลาย รวมทั้งทุกภาคส่วนได้ให้ความสำคัญต่ออัตลักษณ์ ภาษา ประเพณีวัฒนธรรมมลายูสืบทอดไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน

ในสื่อสังคมออนไลน์ ได้มีความพยายามของกลุ่มแนวร่วมในการสร้างมวลชนให้ทำการต่อสู้กับรัฐบาลไทย ซึ่งได้มีการโพสต์ข้อความ “ต้องต่อสู้เพื่อปลดแอก และเพื่อกอบกู้เอกราช” เป็นการปลุกกระแสโดยการบิดเบือนประวัติศาสตร์ สร้างแนวคิดให้เกิดการต่อสู้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

แท้จริงแล้ว ประเทศไทย ไม่ใช่ดารุลฮัรบีย์ (ไม่ใช่ประเทศที่ต้องทำสงครามเพื่อปกป้องศาสนาอิสลาม หรือเพื่อปลดแอกดินแดนอิสลาม) เพราะการที่จะญิฮาด (การต่อสู้ในหนทางศาสนา) นั้น จะต้องพิจารณาเรื่องหลักๆ ดังนี้ คือ ศาสนาอิสลามได้รับการคุ้มครองหรือไม่, มุสลิมมีสิทธิพลเมืองและมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศหรือไม่, ดินแดนอันเป็นที่อยู่อาศัยและทำมาหากินของมุสลิมยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของมุสลิมโดยสมบูรณ์หรือไม่, การเผยแผ่ศาสนาอิสลาม และเสรีภาพในการนับถือศาสนาถูกลิดรอนหรือถูกคุกคามกดขี่หรือไม่ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยนั้น ทรงมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภกทรงมีทศพิธราชธรรมในการปกครอง ประชาชนชาวไทยทุกเชื้อชาติ ศาสนา โชคดีมากที่ได้อยู่ในผืนแผ่นดินไทย มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงเปี่ยมล้นด้วยทศพิธราชธรรม และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้ให้ความเท่าเทียมกันในการบริหารปกครองทุกเชื้อชาติ ศาสนา โดยไม่แบ่งแยก และว่าด้วยสิทธิมนุษยชนกำหนดให้ความเท่าเทียมกันในการเป็นพลเมืองของประเทศ มุสลิมในประเทศไทยได้รับสิทธิดังกล่าว จึงไม่มีการญิฮาด (การต่อสู้ในหนทางศาสนา) เพราะการที่มุสลิมอยู่ภายใต้ปกครองของรัฐบาลที่ไม่ใช่มุสลิมนั้น มิได้เป็นข้อต้องห้ามตามบทบัญญัติของศาสนาอิสลามแต่ประการใด

เพราะหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ยอมรับความแตกต่างและความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม ตลอดจนความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ถ้าการกระทำหรือคำกล่าวใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าศาสนาอิสลามมีความเกลียดชัง รังเกียจศาสนิกในศาสนาและชาติพันธุ์อื่นๆ ก็ต้องคิดแล้วว่า มันถูกต้องหรือไม่ ดังที่สามจังหวัดภาคใต้เป็นอยู่ทุกวันนี้

ถ้าเป็นการต่อสู้เพื่อศาสนาอย่างแท้จริง ก็กระทำได้ ปลดแอกได้ แต่ทั้งนี้มันไม่ใช่เรื่องของศาสนาเลย แต่มีคนบางส่วนได้รับการปลูกฝัง ให้เกิดความรู้สึกและเข้าใจเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และเชื้อชาตินิยมเพื่อนำไปสู่การเรียกร้องและต่อสู้ให้มีการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์และดินแดน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักคำสอนของอิสลามอย่างแท้จริง

นบีมุฮัมมัด(ซล.) ถูกส่งมาเพื่อเผยแผ่ความเมตตาแก่ชาวโลก และเชิญชวนมนุษย์สู่การเคารพภักดีต่ออัลเลาะห์ แต่เพียงผู้เดียว เพราะการบังเกิดมนุษย์ขึ้นมาบนโลกนี้ คือการเคารพภักดีต่ออัลเลาะห์ ดั่งที่พระองค์ตรัสไว้ ความว่า “และฉันไม่ได้สร้างญินและมนุษย์มา เพื่ออื่นใดนอกจาการเคารพภักดีต่อฉัน” (51 : 56) ไม่ใช่เกิดมาเพื่อมาต่อสู้ แย่งชิงอำนาจ ตามที่กลุ่มขบวนการฯ แอบอ้าง....เพราะประเทศไทยให้สิทธิทุกอย่างแล้ว

เหตุการณ์ในขณะนี้ การกระทำของโจรใต้ฟาตอนียิ่งนานวันยิ่งโหดเหี้ยม สรุปได้ว่า การญิฮาดของพวกเขาในขณะนี้ ไร้หลักการ ไร้ขอบเขตไปแล้ว เพราะมีประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากที่ต้องบาดเจ็บล้มตายจากน้ำมือโจรใต้ฟาตอนี ทำให้ประชาชนมลายูเดือดร้อน เบื่อหน่ายความรุนแรงเต็มที

ความจริงแล้ว...การญิฮาดไม่ใช่เครื่องมือในการทำสงครามต่อผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้ หมายถึง การทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่เป็นเครื่องมือที่จะนำไปรังแกคนอ่อนแอและผู้ถูกกดขี่ ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะนับถือศาสนาใดก็ตาม แต่การอ้างคำสอนเรื่องญิฮาด เพื่อนำมาทำลายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และผู้บริสุทธิ์ของโจรใต้ฟาตอนีนั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม เพราะเป็นการกระทำ“ฟะสาด”(การก่อความเสียหายบนผืนแผ่นดิน)

ฉะนั้น ขอให้พวกเราชาวมลายูมุสลิมทุกคนจงเข้าใจกับการกระทำของขบวนการโจรใต้ฟาตอนีในขณะนี้ ไม่ใช่การต่อสู้ที่แท้จริง แต่เป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่ม แต่อ้างเป็นนักรบฟาตอนีต่อสู้เพื่อศาสนา ขอให้พี่น้องมลายูทุกคนร่วมกันละหมาดฮายัต สวดดุอาร์ให้โจรใต้ฟาตอนี หยุดฆ่าและทำลายประชาชนผู้บริสุทธิ์ และขอร้อง...ขอให้โจรใต้ฟาตอนีหยุดก่อเหตุและวางอาวุธด้วยเถิด เพราะความรุนแรงมันไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหา และคงไม่มีทางได้รับเอกราชหรอก เพราะยึดเยื้อมาถึง 20 ปี มีแต่ความสูญเสีย ซึ่งยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลย

กลุ่มขบวนการ มีการปลุกระดมบ่มเพาะ และบิดเบือนประวัติศาสตร์แก่มวลสมาชิกแนวร่วม ให้ดำเนินการต่อสู้เพื่อทำการญิฮาด (การต่อสู้ในหนทางศาสนา) นั้น นำไปสู่ความสูญเสียต่อชีวิต และทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นจำนวนมาก และมีสมาชิกแนวร่วมบางส่วน เมื่อรู้ความจริงว่าถูกหลอกใช้ได้กลับตัวกลับใจหันหลังให้กับขบวนการ ด้วยการรายงานตัวแสดงตนแจ้งความจำนงต่อเจ้าหน้าที่เข้าสู่โครงการพาคนกลับบ้าน เพื่อกลับมาใช้ชีวิตตามปกติอยู่กับครอบครัว…

ศาสนาเป็นเรื่องของความเชื่อ เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนต่อความรู้สึก ศาสนิกชนทุกคนจะต้องปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสดา ขบวนการโจรใต้ฟาตอนีจึงได้บิดเบือนหลักคำสอนของศาสนาบางส่วนเสียใหม่ แล้วใช้โต๊ะอิหม่ามที่มีความน่าเชื่อถือทำการบรรยายไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อทำการโน้มน้าวให้ผู้ที่เข้ารับฟังเห็นด้วยคล้อยตาม ยอมสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิก ผกร. เป็นวิธีการของโจรใต้ฟาตอนี ที่ได้ชักนำเยาวชนเข้าร่วมขบวนการมานานนับหลายสิบปี มีผู้หลงผิดจำนวนไม่น้อยได้เดินเข้าสู่วังวนของความชั่วร้าย มีขั้นตอนของการซุมเปาะ ออกปฏิบัติการทำการก่อเหตุสร้างสถานการณ์โดยหลงผิดคิดว่าเป็นการต่อสู้เพื่อทำการญิฮาด พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องรู้เท่าทันขบวนการโจรใต้ จะต้องทำความเข้าใจกับบุตรหลานของท่านให้รู้ความจริง และไม่ตกเป็นเครื่องมือให้ขบวนการหลอกใช้อีกต่อไป เพราะประเทศไทย..ไม่ใช่ดินแดนดารุลฮัรบีย์ อย่างที่ขบวนการ
แอบอ้างแต่ประการใด...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น