ความฝันและความหวังของเยาวชนชายแดนใต้ที่รอวันผลิบาน
นับตั้งแต่กระสุนนัดแรกลั่นออกมาในปี
2547 ณ ปลายด้ามขวานของประเทศไทยเป็นต้นมา
ดูเหมือนว่าปัญหาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ยังคงไม่มีวี่แววคลี่คลายลง
ที่ผ่านมารัฐบาลหลายชุดต่างเห็นตรงกันว่า
การแก้ปัญหาพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้เป็นวาระเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องดำเนินการ
เราจึงได้เห็นการเปิดโต๊ะเจรจาสันติภาพกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐอยู่บ่อยครั้ง
โดยหวังว่าจะนำมาสู่การแสวงหาสันติภาพในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม
จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารเมื่อปี
2557 นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้ส่งผลแค่การเมืองในภาพใหญ่ที่มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเมือง
แต่ยังส่งผลถึงการแก้ปัญหาในชายแดนใต้ที่ถูกปรับเปลี่ยนอย่างมากด้วยเช่นกัน
ทั้งเปลี่ยนคณะเจรจาจากพลเรือน มาเป็นคณะทหาร หรือเปลี่ยนการใช้คำจากการเจรจา
‘สันติภาพ’ มาเป็น ‘สันติสุข’ ซึ่งเป็นคำที่รัฐบาล คสช.นิยามขึ้น
เพื่อวางกรอบกระบวนการพูดคุยกับผู้มีความคิดเห็นต่างกับรัฐว่า
การเจรจาจะไม่พูดคุยเรื่องการเมืองการปกครอง
แต่เน้นการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกันภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญไทย
การดำเนินการลักษณะเช่นนี้ทำให้การเจรจากับกลุ่มผู้เห็นต่างดูจะไม่ราบรื่น
จนกระทั่งกลุ่ม ‘
BRN ’ ออกแถลงการณ์ขอยุติการพูดคุยชั่วคราว
เนื่องจากต้องการรอรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะจัดตั้ง
ส่งผลให้ปัญหาในพื้นที่ชายแดนใต้ยังคงเป็นเรื่องคาราคาซังจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม
ที่ผ่านมาตัวละครหลักที่สังคมสนใจในประเด็นดังกล่าวมีแต่ตัวละครในการเมืองภาพใหญ่
อย่างรัฐไทย และกลุ่มผู้เห็นต่าง แต่หลายครั้งสังคมกลับลืมตัวละครตัวเล็กตัวน้อย
อย่างผู้คนที่ต้องอยู่ในพื้นที่ว่าพวกเขาหวังและฝันถึงสันติภาพอย่างไรบ้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีความเปราะบางอย่าง
‘เยาวชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้’
ผู้ต้องเติบโตภายใต้สังคมที่มีทั้งการบังคับใช้กฎหมายพิเศษและความรุนแรงเกิดขึ้นอยู่เรื่อย
ๆ
อาสาพาไปฟังเสียงของเยาวชนชายแดนใต้ซึ่งพวกเขาเองต่างก็มีความหลากหลายทั้งความคิด
ความเชื่อ ค่านิยม เพศ หรือศาสนา ว่าพวกเขามีความคิด ความหวัง
และความฝันเกี่ยวกับพื้นที่ที่พวกเขาเรียกว่า ‘บ้าน’ อย่างไร
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อรู้ว่าเขาคิดอะไร แต่เพื่อยืนยันว่าเสียงของพวกเขามีคุณค่าที่จะรับฟังอย่างจริงใจ
ภายใต้ความหวังว่า
หลังจากนี้เสียงของเยาวชนชายแดนใต้จะไม่ถูกกลบด้วยความรุนแรง และความหวัง
ความฝันของพวกเขาจะไม่ถูกกลบด้วยกระสุนปืนและเสียงของระเบิดอย่างเช่นผ่านมา
เมื่อความรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดนั้นเกิดอย่างไม่เลือกศาสนา
หากลองตั้งคำถามว่า
‘สาเหตุของปัญหาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้คืออะไร’
เชื่อว่าหนึ่งในคำตอบของใครหลายคนคงหลีกหนีไม่พ้นประเด็นความขัดแย้งทางด้านศาสนา
ระหว่างศาสนาพุทธกับศาสนาอิสลาม ‘ความขัดแย้งทางด้านศาสนา’
เป็นเหมือนคำอธิบายของรัฐส่วนกลางที่ใช้อธิบายสถานการณ์ชายแดนใต้
และใช้มาอย่างยาวนานกว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา
จนหลายครั้งรัฐส่วนกลางมองเลยเถิดไปถึงความต้องการ ‘การแบ่งแยกดินแดน’
ฟรอยด์
(นามสมมติ) เด็กหนุ่มวัย 19 ปี นับถือศาสนาพุทธตั้งแต่กำเนิด
หากมองจากจำนวนประชากรแล้วเขาคงถูกนับว่าเป็นคนส่วนน้อยในพื้นที่ของจังหวัดปัตตานี
ประโยคดังกล่าวถูกยืนยันผ่านจำนวนนักเรียนในโรงเรียนที่ฟรอยด์กำลังศึกษาอยู่
ซึ่งฟรอยด์เป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ‘คนเดียว’ ในโรงเรียน
“หลายคนมองว่าการเป็นผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ
ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้นั้น เหมือนกำลังตกอยู่ในความอันตราย
แต่ในความจริงนั้นทุกคนต่างหากต่างต้องพบเจอสถานการณ์เดียวกัน
เพราะเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมา พวกเราต่างไม่รู้ว่า ใครเป็นผู้สร้างสถานการณ์ความรุนแรงดังกล่าว
อย่าบอกว่าผู้ก่อการร้ายมีแต่ผู้นับถือศาสนาอิสลาม
ทุกศาสนาก็ต่างมีคนดีและไม่ดีทั้งนั้น”
ด้วยฟรอยด์
ฯ เป็นนักเรียนที่นับถือศาสนาพุทธคนเดียวในโรงเรียน
ทำให้มีทหารเข้ามาพูดคุยอยู่บ่อยครั้ง บ้างก็เข้ามาถามว่ารถที่ฟรอยด์ ฯ ขับสีอะไร
ป้ายทะเบียนอะไร โดยอ้างเหตุผลเรื่องความปลอดภัย
แต่เหตุการณ์ดังกล่าวกลับทำให้ฟรอยด์ ฯ รู้สึกไม่ปลอดภัยยิ่งขึ้น
“ช่วงสองปีที่ผ่านมา
ทหารจะมาเป็นประธานพิธีในงานกิจกรรมกีฬาสีของโรงเรียน
มีครั้งหนึ่งเหมือนพวกเขาคุยกันและรู้ว่าผมเป็นชาวพุทธคนเดียวในโรงเรียน
หลังจากนั้นก็ยกทหารเกือบ 20 คนมาเยี่ยมถึงบ้านของผม ผมก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น”
ฟรอยด์
ฯ ยังเล่าต่อว่า หลายโรงเรียนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มักติดกับค่ายทหาร
จึงต้องเสียสละพื้นที่ใช้สอยของโรงเรียนให้กองทัพใช้ร่วมกัน
แต่หลายครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง หนึ่งในเป้าหมายคือพื้นที่ของทหาร
ทำให้โรงเรียนกลายเป็นพื้นที่อันตรายด้วย แต่ไม่มีใครสามารถออกมาเรียกร้องได้เพราะพื้นที่ของโรงเรียนหลายแห่งก็เป็นพื้นที่ของรัฐบาล
เมื่อถามถึงความฝันในชีวิตของฟรอยด์
ฯ เขาเล่าว่าความฝันของเขาคือการเป็นทหาร
เพราะเขาหวังจะเข้าไปเปลี่ยนระบบการทำงานของกองทัพภายในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้
“หากถามถึงความฝันของผมวันนี้เหมือนผมอยากเป็นอาชีพที่ผมไม่ชอบ
พูดให้เข้าใจคือผมไม่ชอบการทำงานของทหาร
ทุกวันนี้เขาอ้างว่าต้องตั้งด่านเพื่อความปลอดภัย
แต่ที่ผ่านมาด่านตรวจมักเลือกปฏิบัติหรือกระทำที่ไม่เหมาะสม ขนาดผมยังเคยโดนคุกคามตอนเข้าไปในด่าน
เขาถามผมว่า ‘น้องมีไลน์ไหม ขอเบอร์ได้ไหม’
ผมเลยไม่ชอบการทำงานของทหารและอยากเข้าไปเปลี่ยนระบบดังกล่าว”
สำหรับประเด็นปัญหาความรุนแรงในพื้นที่
ฟรอยด์ ฯ มองว่าแม้สาเหตุส่วนหนึ่งของปัญหาชายแดนภาคใต้จะมาจากประเด็นเรื่องศาสนา
แต่ยังมีสาเหตจากปัญหาอื่น เช่น ความต้องการแบ่งแยกดินแดน เป็นต้น
“เรื่องแบ่งแยกดินแดน
ผมไม่เห็นด้วยเพราะผู้คนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ทุกคนล้วนเป็นคนไทยเหมือนกัน
การแบ่งแยกออกเป็นรัฐใหม่อาจจะยุ่งยาก และผมเชื่อว่า
ไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธหรืออิสลามต่างต้องการอยู่ในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส
ที่อยู่ภายใต้คำว่าประเทศไทย”
ด่านตรวจ
– ทหารลาดตระเวน – ความรุนแรง ภาพแห่งความปกติที่ไม่ปกติ
“เด็กในพื้นที่สามจังหวัดส่วนใหญ่
เกือบจะร้อยละ 90 มีฐานะจนมาก ไม่ได้มีพื้นฐานครอบครัวที่ดีเท่าไหร่” –
นี่คือสิ่งแรกที่พลอย (นามสมมติ) เล่าให้ฟัง
พลอย
ฯ นักศึกษาวัย 25 ปี ตัดสินใจเก็บกระเป๋าจากบ้านเข้ามาในกรุงเทพมหานคร
เพื่อเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ณ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
เมื่อถามถึงเหตุผลในการตัดสินใจของเธอ เธอตอบทันทีเลยว่า
“ครอบครัวของเราไม่ได้มีฐานะที่ดีเช่นกัน”
คำตอบดังกล่าวชวนให้คนฟังรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก เพราะโดยปกติ
การมาเรียนในพื้นที่อื่นหรือจังหวัดอื่น ย่อมมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการเรียนในพื้นที่
เธอจึงอธิบายต่อว่า การเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงนั้น
ทำให้เธอสามารถหางานทำระหว่างเรียนได้
“แม้ว่าเราอยากเรียนมหาวิทยาลัยใกล้บ้านจริง
แต่ต้องอย่าลืมว่าเราต้องจ่ายค่าเทอม และเรารู้สึกว่าพ่อแม่เราที่เป็นเกษตรกร
เขาไม่ได้มีรายได้มากพอจะส่งเสียเราได้ แต่ถ้าเราเข้ากรุงเทพฯ
มาเรียนที่มหาวิทยาลัยเปิด มันไม่มีค่าเทอม เราจึงตัดสินใจเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ”
ความแตกต่างหนึ่งที่พลอย
ฯ รู้สึกหลังออกจากพื้นที่ชายแดนใต้สู่เมืองหลวง
คือเธอได้เปิดกว้างทางความคิดมากขึ้น ได้พบผู้คนที่มีความหลากหลายมากขึ้น
แต่ช่วงเริ่มแรกนั้นก็ได้ยินคำถามที่บั่นทอนจิตใจ อย่างเช่น “เธอมาจากสามจังหวัด
แล้วพกระเบิดมาไหม” หรือแม้กระทั่งเมื่อเธอสมัครงาน
บางที่ก็ไม่อนุญาตให้สวมฮิญาบ
“คนอื่นๆ
มักมองว่าคนมุสลิมที่มาจากสามจังหวัดชายแดนใต้ไม่ใช่คนทั่วไป”
คือความรู้สึกของพลอย ฯ หลังจากเข้ามาในพื้นที่อื่น ที่ไม่ใช่ ‘บ้าน’
เมื่อชวนเธอ
มองย้อนไปยังอดีตที่ผ่านมาก่อนเข้ามาเรียนกรุงเทพฯ
ถึงสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้
ว่าเธอมีความทรงจำร่วมกับเหตุการณ์ความรุนแรงอย่างไร – “รู้สึกปกติมากเลย”
นี่คือคำตอบของเธอต่อคำถาม
“เรารู้แค่ว่ามีด่านเยอะ
มีทหารเดินตระเวนตั้งแต่เช้าเป็นภาพแห่งความปกติ
หรือบางวันตื่นมาแล้วรู้ว่าเกิดเหตุการณ์การระเบิดที่ตำบล
มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตแค่นั้น แล้วเราก็ไปโรงเรียนตามปกติ
เรารู้สึกว่าความรุนแรงในพื้นที่ไม่ได้ส่งผลต่อความเป็นอยู่ในช่วงวัยเด็ก
“คงเป็นเพราะวัยมั้งคะ
ตอนเราเรียนมัธยมศึกษา เราก็ไม่ได้สนใจอะไรเลยนอกจากเรื่อง เรียน เรียน และเรียน
จนกระทั่งมาเรียนมหาวิทยาลัยเนี่ยแหละ เราได้เข้าร่วมฟังการเสวนา ได้พบเจอผู้คน
ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์เพิ่มเติมเกี่ยวกับพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ทำให้รู้ว่าในความจริงแล้ว
พื้นที่ที่เราอาศัยอยู่นั้นมีปัญหาเยอะมาก โดยที่เราไม่เคยมองเห็นมันเลย
“หากมองง่ายๆ
เรามาอยู่ที่นี่ (กรุงเทพฯ) เราแทบจะไม่เห็นเจ้าหน้าที่ลาดตระเวน
หรือการตั้งด่านของทหารเลย แต่พอกลับไปที่บ้าน
ทุกอย่างในพื้นที่ชายแดนใต้ก็เป็นภาพเดียวกันกับภาพที่เราเห็นตอนเด็กๆ
ไม่เปลี่ยนแปลงเลย มิหนำซ้ำด่านทหารอาจจะมากขึ้นด้วยซ้ำ”
สำหรับพลอย
ฯ ปัญหาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ไม่ใช่เพียงปัญหามิติความมั่นคงอย่างเดียว
ปัจจุบันเธอยังมองเห็นว่าทรัพยากรในพื้นที่บ้านเกิดของเธอ
จากที่อุดมสมบูรณ์กำลังถูกทำให้สูญหายและกลายเป็นนิคมอุตสาหกรรมมากขึ้น
กล่าวคือเริ่มมีนายทุนที่ใช้ความไม่ปกติภายในพื้นที่เข้ามาหากินและขูดรีดทรัพยากรภายในพื้นที่ออกไปเรื่อยๆ
จนทำให้พื้นที่สามจังหวัดเหมือนถูกครอบโดยอำนาจที่มองไม่เห็นภายใต้ข้ออ้างเพื่อ
‘ความมั่นคงของรัฐ’
เมื่อถามถึงความฝันของพลอย
ฯ เธอเล่าว่า ‘นักวิจัยทางการเกษตร’ คือความฝันทางอาชีพการงานของเธอ
เพราะครอบครัวทำอาชีพเป็นเกษตรกร
เธอไม่คาดหวังอะไรนอกจากได้ทำงานในพื้นที่และมีรายได้มั่นคงเท่านั้น
แต่เมื่อเธอเติบโตขึ้น ก็รู้ว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นไปไม่ได้
เนื่องจากภายในพื้นที่สามจังหวัดไม่ได้มีองค์กรหรือบริษัทรองรับให้คนในพื้นที่ทำงานอย่างเพียงพอ
“เราอยากกลับไปทำอะไรก็ได้เพื่อให้พ่อและแม่ไม่เหนื่อย
ทุกวันนี้เริ่มกลับมาทบทวนแล้วว่า หรือต้องหางานทำที่กรุงเทพฯ
เก็บเงินให้ได้ก้อนหนึ่งแล้วจึงกลับไปอยู่บ้าน เหมือนกับหลายๆ
คนที่ทยอยขึ้นมาทำงานในกรุงเทพมหานครมากขึ้น
เยาวชนสามจังหวัดต้องดิ้นรนตัวเองเพื่อให้ตนเองมีเงินเก็บ”
อย่างไรก็ตาม พลอย ฯ
ยังมีความหวังในการเห็นความเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ผ่าน‘พลังของเยาวชน’
เธอมองว่าปัจจุบันเยาวชนคนรุ่นใหม่ในพื้นที่ต่างเจ็บปวดจากที่ผ่านมา
ส่งผลให้พวกเขาเริ่มตื่นตัวทางการเมืองและออกมาเรียกร้องสิ่งที่ควรจะเป็นมากขึ้น
“เด็กที่เติบโตมากับความเจ็บปวด
ไม่ว่าจะโดยตรงหรือไม่
ต่างก็มีความรู้สึกร่วมกันว่าเราถูกผลกระทบจากปัญหาสามจังหวัด
ภาพของความรุนแรงทำให้พวกเขาฮึดสู้ ไม่นิ่งนอนใจ
และไม่ยอมถูกกดขี่จากความไม่ปกติเช่นนี้
“หากวันนี้รัฐไทยยังสร้างบาดแผลภายในพื้นที่
หรือสร้างความเจ็บปวดให้แก่เยาวชนหรือใครก็ตาม เรารู้สึกว่าผู้คนจะฮึดสู้มากขึ้น
ต่อให้คุณจะออกแบบกฎหมายอะไรลงมาบังคับใช้ในพื้นที่
พวกเขาก็จะลุกขึ้นสู้พวกคุณอยู่ดี” พลอย ฯ กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น