คำถามแรกที่ผู้แทนฝ่ายความมั่นคงไทย
ต้องถามในวงพูดคุยสันติภาพดับไฟใต้ กับกลุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็น
ก็คือ เหตุใดความรุนแรงที่กระทำต่อเป้าหมายอ่อนแอ ยังคงเกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ทว่าตลอดห้วงเวลาเกือบ
19 ปีที่ผ่านมา กลับมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นในพื้นที่หลายเหตุการณ์
และยังมีเป้าหมายอ่อนแอได้รับผลกระทบด้วย หลายครั้ง
สิ่งเหล่านี้
เป็นสิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงไทย ต้องได้รับคำตอบที่ชัดเจนว่าสถานการณ์ความรุนแรง ยังทรงตัวอยู่เช่นนี้
เป็นเพราะอะไร? หรือยังไม่ได้สื่อสารกับระดับปฏิบัติในพื้นที่
หรือมีเหตุผลอื่น
หรือทางฝ่ายขบวนการจะสรุปว่าจำนวนเหตุร้ายขนาดนี้ถือว่าลดระดับลงแล้ว ฯลฯ
ทั้งนี้ เพื่อนำคำตอบที่ได้มาประเมินผลต่อไป
เนื่องจากหลายเสียงจากผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ติดตามสถานการณ์ภาคใต้อย่างใกล้ชิด ยังคงตั้งคำถามว่า
กลุ่มบุคคลที่ทางการไทยไปเปิดหน้าเจรจาด้วยนั้นเป็น "ตัวจริง"
หรือเปล่า
แม้ความเป็น
"ตัวจริง" ในทัศนะของผมจะไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากมาย
แต่สำหรับในกระบวนการสันติภาพ ที่ใช้การตั้งโต๊ะเจรจาเป็นเครื่องมือแล้ว ความเป็น
"ตัวจริง" มีผลต่อความเชื่อมั่นไม่น้อย
โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของสังคมที่เฝ้ามองอยู่ หากความเชื่อมั่นนี้หมดไป
ความสำเร็จย่อมหดหายตามไปด้วย
จะว่าไปแล้ว
ความเป็น "ตัวจริง" ซึ่งหมายถึง การมีศักยภาพสั่งการกองกำลังติดอาวุธในพื้นที่ได้จริงๆ
ในบางมิติอาจมีความสำคัญ เช่น
มิติที่กลุ่มต่อต้านรัฐมีเพียงกลุ่มเดียวหรือน้อยกลุ่ม และมีตัวตนชัดเจน
มีโครงสร้างการบังคับบัญชาที่รับรู้ได้ ดังเช่น ขบวนการอาเจะห์เสรี หรือ กัม (GAM) ในกรณีอาเจะห์กับอินโดนีเซีย หรือขบวนการปลดปล่อยอิสลามโมโร
(เอ็มไอแอลเอฟ) ในกรณีมินดาเนากับรัฐบาลฟิลิปปินส์
แต่หากพิจารณาในอีกบางมิติ
ความเป็น "ตัวจริง" หรือ "ตัวปลอม"
ก็อาจไม่ใช่สาระอะไรมากนัก โดยเฉพาะหากเราเชื่อในทฤษฎีที่ว่า
กลุ่มที่ใช้ความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้มีมากมายหลายกลุ่ม
ที่สำคัญ
"กลุ่มหลัก" ที่ใช้ความรุนแรงมาตลอด
(เชื่อกันว่าเป็นกลุ่มบีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนต) ยังเลือกใช้วิธีจัดโครงสร้างแบบ
"องค์กรลับ" ส่งผลให้โครงสร้างองค์กรไม่มีความชัดเจน และเมื่อการต่อสู้ มีความยืดเยื้อยาวนาน
ย่อมมีโอกาสสูง ที่กลุ่มติดอาวุธอาจขยายวงไปมาก
คือแตกกลุ่มแตกสาขากันไปตามอุดมการณ์ความเชื่อของแต่ละพวกแต่ละคน ทำให้เกิดภาวะ
"ไร้เอกภาพ" อย่างสิ้นเชิง และองค์กรนำ (เดิม)
ไม่อาจบังคับบัญชาได้ 100%
หากเราเชื่อว่า
สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
อยู่ในสภาพนั้น การเจรจากับใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ย่อมแทบจะไร้ผลในการยุติความรุนแรงในภาพรวม
ฉะนั้นการที่เราตั้งความหวังกับกระบวนการพูดคุยเจรจามากๆ สุดท้ายอาจจะผิดหวังก็ได้
ส่วนตัวผมมองว่า ทฤษฎีที่หยิบยกมา
ใกล้เคียงกับสภาพจริงในพื้นที่อย่างมาก
เนื่องจากได้ลองให้คนในพื้นที่ช่วยสอบถามกลุ่มติดอาวุธที่ถูกเรียกว่า "อาร์เคเค"
หลายครั้ง หลายคน ได้คำตอบใกล้เคียงกันว่าไม่รู้จักเลยว่ารัฐไทยไปเจรจากับใคร
และไม่ได้รับสัญญาณไม่ว่าจากทางใดให้ลดระดับการก่อเหตุรุนแรงลง
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงคิดว่าทางที่ดีและรอบคอบที่สุด
คือเราควรใช้กระบวนการพูดคุยเจรจาเป็นเพียง "กลไก"
หรือเครื่องมือหนึ่งในหลายๆ เครื่องมือในการแก้ไขปัญหา
ไม่ใช่ทุ่มเทความหวังไปที่การพูดคุยเจรจาเสมือนหนึ่งว่า เป็นคำตอบเดียวของปัญหาชายแดนใต้
แล้วลืมการแก้ไขปัญหาพื้นฐานต่างๆ ที่เป็น "เงื่อนไข"
ของความขัดแย้งและยังปรากฏอยู่อย่างดาษดื่น
เพราะท่ามกลางปัญหาที่มีมิติซับซ้อนสูง
และมีกลุ่มที่เห็นต่างกับรัฐค่อนข้างหลากหลายเช่นนี้
หัวใจของการแก้ปัญหาย่อมหนีไม่พ้น การลดทอน "เงื่อนไข"
ที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากเลือกใช้ความรุนแรงให้ลดลงเรื่อยๆ
นั่นก็คือการมียุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติที่หลากหลาย แล้วขับเคลื่อนงานไปพร้อมๆ กัน
หลายเรื่องผมไม่เห็นความจำเป็นว่า ต้องรอการพูดคุยสันติภาพ
แต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องที่คนทำงานภาคใต้ก็ทราบๆ กันดีอยู่แล้วว่าควรทำอะไร
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นธรรมทางคดี การลดการใช้กฎหมายพิเศษ
การบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค ไม่เลือกพุทธ-มุสลิม
ไม่เลือกว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือประชาชน การคลี่คลายคดีคาใจต่างๆ
รวมไปถึงการเคารพสิทธิมนุษยชน หรือแม้แต่การปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ (ที่เป็นการปกครองท้องถิ่นจริงๆ)
ก็สามารถเดินหน้าไปได้เลย หากเป็นความต้องการของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง
เท่าที่ผมเคยร่วมเวทีพูดคุยวงปิดกับประชาชนสาขาอาชีพต่างๆ
ในพื้นที่ชายแดนใต้ พบว่าสิ่งที่ประชาชนอยากได้มากๆ ไม่ใช่ "เขตปกครองพิเศษ"
ในความหมายของการปกครองตนเอง หรือในรูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่
แต่เป็นการเพิ่มช่องทางให้ "คนดีๆ" ได้เข้าสู่ระบบตัวแทน เพื่อเข้าไปเป็นผู้บริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอยู่
เช่น เพิ่มคุณสมบัติให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งระดับต่างๆ โดยเฉพาะกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
หรือนายก อบต.ต้องจบปริญญาตรี เพื่อแก้ปัญหาการใช้ระบบเครือญาติผูกขาดเก้าอี้
และมีกลไกลดความขัดแย้งในการเลือกตั้ง อาทิ
ใช้ระบบประชาคมที่อิงกับหลักการทางศาสนา หรือการมี "สภาซูรอ"
คอยคัดกรองผู้สมัคร เป็นต้น
เรื่องเหล่านี้ผมว่าไม่เห็นต้องรอ
นายอานัส อับดุลเราะห์มาน หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายบีอาร์เอ็น
หรือแกนนำบีอาร์เอ็นคนไหน ออกมาเรียกร้อง เพราะสามารถทำได้ทันที
และยังเป็นการแสดงความจริงใจด้วยว่ารัฐต้องการให้เกิดสันติสุขอย่างแท้จริงโดยมี
"ประชาชน" เป็นตัวตั้ง ไม่ใช่ถูกครหาว่ามี "ผลประโยชน์ทางการเมือง"
เป็นตัวตั้งดังที่เป็นอยู่!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น