วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2567

ฆ่าศัตรูในเดือนรอมฎอน ได้บุญ 10 เท่า จริงหรือ

“ฆ่าศัตรู” ในเดือน “รอมฎอน” ได้บุญ 10 เท่า! กว่า 20 ปีแล้วทำไมยังหักล้างความเชื่อนี้ไม่สำเร็จ?

“รอมฎอน” หรือเดือนแห่งการถือศีลอดของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม เป็นเดือนแห่งความ “ประเสริฐ” และ “ศักดิ์สิทธิ์” เป็นห้วงเวลาที่มุสลิมต้องปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีงาม

แต่สำหรับในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในห้วงเวลา 20 ปี ที่มีเหตุแห่งความรุนแรงและความไม่สงบระลอกใหม่ โดยมีเงื่อนไขหลักเพื่อการแบ่งแยกดินแดน นำโดย “ขบวนการบีอาร์เอ็นฯ” ช่วงรอมฎอนของทุกปีได้กลายเป็นเดือนที่มีการก่อเหตุร้ายเพิ่มมากกว่าทุกๆ เดือนในรอบปี

เหตุแห่งความรุนแรงเป็นผลมาจาก “อุซตาส” หรือ “ครูสอนศาสนา” ที่เป็นคนในขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ที่ได้ “บ่มเพาะ” ให้เยาวชนและผู้ติดอาวุธในขบวนการเชื่อว่า การก่อเหตุด้วยความรุนแรง การเข่นฆ่าปรปักษ์ ไม่ว่าเป็น “พุทธ” หรือ “มุสลิม” ผู้ปฏิบัติการจะได้บุญมากกว่าเดือนปกติถึง 10 เท่า

ดังนั้น นับตั้งปี 2547 เป็นต้นมาที่ไฟใต้ระลอกใหม่เริ่มปะทุ ในทุกปีของเดือนรอมฎอนพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย ปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา จึงกลายเป็นเดือนแห่ง “แผ่นดินเดือด” เพราะต้องมีทั้งคนตายและคนเจ็บจากการก่อเหตุของ “โจรใต้” หรือ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเป็นจำนวนมาก

ปีนี้ก็หนีไม่พ้น “วงจรอุบาทว์” เดิมๆ ที่เกิดจากการบ่มเพาะของอุซตาส ให้กลุ่มติดอาวุธของบีอาร์เอ็นฯ ปฏิบัติการด้วยความรุนแรงนับตั้งแต่ก่อนเข้าสู่เดือนรอมฎอน 1 สัปดาห์ ซี่งก็มีเหตุความรุนแรงปรากฏโดยมีทั้งทหาร ตำรวจ กองกำลังท้องถิ่นและพลเรือน และทั้งพุทธและมุสลิมกลายเป็นเหยื่อสถานการณ์ไปแล้วจำนวนหนึ่ง และกว่าจะผ่านพ้นเดือนรอมฎอนก็ยังตอบไม่ได้ว่าสถานการณ์ของ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเกิดอะไรขึ้นตามมาอีก

ทั้งนี้ ในการป้องกันเหตุนั้นก็คงจะเหมือนๆ กับช่วงเดือนรอมฎอนของทุกๆ ปีที่ผ่านมาที่ “แม่ทัพภาค 4” หรือ “ผอ.กอ.รมน.ภาค 4” ทุกท่านได้ทำมาแล้ว นั่นคือ การสั่งการให้กำลังพลในพื้นที่ปฏิบัติการต่อ “เป้าหมาย” ที่เป็นโจรใต้หรือแนวร่วมขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ด้วยความเข้มข้น อีกทั้งให้การดูแลความปลอดภัยแก่ประชาชนที่เป็นเป้าหมายอ่อนแออย่างเต็มความสามารถ

ต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้ที่ต้องขอบอกตรงไปตรงมาว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คำสั่งหรือนโยบายในเรื่องนี้แค่เป็นเรื่องที่ “ดูดี” เท่านั้น แต่โดยข้อเท็จจริงยังไม่เคยมี “แม่ทัพ” หรือ “นายกอง” คนไหนที่สามารถ “หยุดความรุนแรง” ในห้วงของเดือนรอมฎอนได้อย่างสัมฤทธิผล

แต่เดือนรอมฎอนปีนี้ อาจจะมีปรากฏการณ์ใหม่เกิดขึ้นก็ได้ เนื่องจาก “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ได้จัดตั้ง “ชป.จรยุทธ์” ซึ่งเปรียบเหมือนชุดปฏิบัติการพิเศษที่มีภารกิจในการ “หาข่าว” ที่ตั้งของฝ่ายตรงข้าม และเข้าปิดล้อม ตรวจค้น จับกุม รวมถึง “วิสามัญ” โจรใต้หรือแนวร่วมที่ซ่องสุมกำลังพล เพื่อปฏิบัติการต่อเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนในพื้นที่

ที่ผ่านมา ชป.จรยุทธ์ในพื้นที่ จ.ปัตตานี ก็ได้แสดงความสามารถในการปิดล้อม ตรวจค้น จับเป็นและจับตายแนวร่วมหรือกำลังพลของบีอาร์เอ็นฯ ไปได้หลายราย รวมทั้งสามารถทำลายแหล่งหลบซ่อนของแนวร่วมในพื้นที่เชิงเขาอย่างได้ผล

แต่อย่างไรก็ดี ทุกครั้งที่โจรใต้สูญเสีย สิ่งที่จะติดตามมาคือการ “เอาคืน” ต่อเจ้าหน้าที่รัฐ และหากทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐไม่สำเร็จก็อาจจะเบนเป้าไปเป็น “ไทยพุทธ” ที่เป็นเป้าหมายอ่อนแอ ซึ่งถ้าติดตามความเคลื่อนไหว จะพบว่า นี่เป็นวิธีการของแนวร่วมที่ใช้ในการ “ตอบโต้” เจ้าหน้าที่รัฐมาโดยตลอดแบบไม่เคยเปลี่ยนแปลง

นั่นแสดงให้เห็นว่า วิธีการของโจรใต้หรือแนวร่วมตลอด 20 ปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรเปลี่ยน เช่นเดียวกับการบ่มเพาะสมาชิกในขบวนการด้วยการบิดเบือนหลักศาสนาให้เชื่อว่า การฆ่าฝ่ายตรงข้ามในเดือนรอมฎอนจะได้บุญ 10 เท่า

ที่สำคัญคือ “คำสั่งบิดเบือนหลักการศาสนา” ยังใช้ได้ผลมาอย่างต่อเนื่อง เพราะยังมีคนรุ่นต่อรุ่นที่ถูกนำเข้าขบวนการ แล้วถูกปลูกฝังความเชื่อและปฏิบัติตามคำสอนบิดเบือนนั้น โดยฝีมือของครูสอนศาสนาทั้งที่เรียกกันว่า “บาบอ” หรือ “โต๊ะครู” รวมทั้ง “อุซตาส” ที่อยู่ในขบวนการบีอาร์เอ็นฯ

เมื่อยุทธวิธีที่ใช้อยู่ยังได้ผลดี บีอาร์เอ็นฯ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแผน เพราะวิธีการสร้าง “เซลล์ใหม่” ยังมีประสิทธิภาพ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการหลอกลวงหรือโฆษณาชวนเชื่อ เมื่อทำแล้วยังได้ผล นั่นย่อมไม่จำเป็นที่จะต้อง เปลี่ยนแปลงมิใช่หรือ

“เรา” อันหมายถึงหน่วยงานความมั่นคง โดยเฉพาะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต่างหากที่ต้องหันมาทบทวนวิธีการในการต่อสู้กับขบวนการบีอาร์เอ็นฯ ว่าทำไม 20 ปีแล้ว เรายังไม่สามารถที่จะ “ทำลายคำสอนบิดเบือนหลักศาสนา” นี้ได้ผล ทำไมการบ่มเพาะให้แนวร่วมเชื่อมั่นและเข้าใจผิดว่า “การฆ่าคน” ในเดือนรอมฎอนยังเป็นสิ่ง “ดีงาม” ทำแล้วได้บุญถึง 10 เท่า

“เรา” อันหมายถึงหน่วยงานความมั่นคง โดยเฉพาะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ที่ผ่านมาได้ทุ่มเท “งบประมาณ” มาแล้วจำนวนมหาศาลให้แก่ผู้นำศาสนาในพื้นที่ ทั้งในรูปแบบการให้ตรงแก่ตัวบุคคล และให้แก่หมู่คณะ เพื่อให้ช่วยเหลือหน่วยงานความมั่นคงในการสร้างความเข้าใจในเรื่อง “การฆ่าคนในเดือนรอมฎอน” แล้วได้บุญ 10 เท่าว่าเป็นเรื่องไม่จริง เป็นการหลอกลวง เป็นการที่ผู้นำศาสนาของบีอาร์เอ็นฯ บิดเบือนหลักศาสนา เพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้แก่แนวร่วมหรือสมาชิกของขบวนการ

ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่คนร้ายที่ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญเพราะต่อสู้ ไม่ยอมให้จับกุมและไม่ยอมมอบตัว ทำไมเราปล่อยให้คนในครอบครัวคนร้ายได้ปฏิบัติต่อศพเยี่ยง “นักรบผู้พลีชีพ” เหมือนกับผ่านสนามรบอันเป็น “สงครามศาสนา” อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งนี่เป็นการปลูกฝังทัศนคติที่เป็นภัยต่อประเทศชาติและประชาชน ที่สำคัญไม่เป็นผลดีต่อการดับไฟใต้ด้วย

แค่ 2 ประเด็นที่ยกตัวอย่างให้เห็นนี้ เพื่อที่จะถามว่าระยะเวลา 20 ปียังไม่ถือว่ามากพอหรือไร แล้วประเด็นอื่นๆ ที่เป็นเรื่องใหญ่กว่านี้อีกพะเรอเกวียน ซึ่งวนเวียนเกิดขึ้นบนแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ นั่นไม่ต้องใช้เวลานานถึง “ชาติหน้า” หรือชาติไหนๆ จึงจะทำได้แล้วเสร็จเล่า

ยังมีประเด็นที่ตั้งเป็นข้อสังเกตกับสถานการณ์ความรุนแรงในเดือนรอมฎอนอีกคือ การที่แนวร่วมใช้แผนก่อกวนด้วยการ “ยิงถล่มบ้านเรือนไทยพุทธ” ในหลายพื้นที่แบบไม่หวังผล หรือเพียงแค่เจ็บก็ได้ ตายก็ดี หรือนี่อาจจะต้องการให้เจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะชุด ชป.จรยุทธ์เข้าไปปิดล้อม ตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องสงสัยในห้วงของเดือนรอมฎอนแบบชนิดที่ยิ่งมากเท่าไหร่ ยิ่งดี เพื่อที่บีอาร์เอ็นฯ จะได้นำไป “ขยายผล” ในช่องทางไอโอและการโฆษณาชวนเชื่อใส่ร้ายเจ้าหน้าที่รัฐว่า เป็นการทำลายความสงบสุขพี่น้องมุสลิมในเดือนรอมฎอน

อย่างไรก็ตาม เห็นด้วยว่าในยามที่ไม่มีความหวังอะไรจากการ “พูดคุยสันติสุข” กับบีอาร์เอ็นฯ ที่ประเทศมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก การแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยให้มีชุด “ปช.จรยุทธ์” เป็นหัวหอกในการลิดรอนเสี้ยนหนามของแผ่นดิน เรื่องนี้ยังจำเป็นที่จะต้องทำ

เพียงแต่ต้องปฏิบัติการด้วยความระมัดระวัง ที่สำคัญต้องไม่กลายเป็นการเดินไปสู่ “กับดัก” ของบีอาร์เอ็นฯ ที่นำไปขยายผลขยายมวลชนให้เป็นปรปักษ์ต่อรัฐไทยมากขึ้น และต้องไม่ลืมที่จะต้องรักษาชีวิตและทรัพย์สินของคนไทยพุทธในพื้นที่ อะไรก็ตามถ้าทำแล้ว “ได้ไม่คุ้มเสีย” นั่นก็ไม่สมควรที่จะทำ

มาตรการ IO ของฝ่ายความมั่นคง หรือการประชาสัมพันธ์ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ถูกจัดว่าทำได้ “เจ๋งมาก” โดยเฉพาะในการแถลงข่าวที่ผ่านมา แต่นั่นก็ยังเข้าไม่ถึงมวลชนเป้าหมาย

ขณะที่มาตรการ IO ของบีอาร์เอ็นฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “เท็จ” หรือ “หลอกลวง” เช่นไร พี่น้องมุสลิมทั้งในและนอกพื้นที่กลับยังให้การเชื่อถือมาตลอด

ตรงนี้ต่างหากที่ต้องนำไป “ขบคิด” เพื่อหาทางแก้ไขปัญหากัน เพราะนี่คือ “เรื่องจริง” ที่เกิดขึ้นมานานนม ซึ่งไม่ได้ต้องการเขียนขึ้นเพื่อให้เครดิตโจรแต่อย่างใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น