ประเทศไทย
เป็นประเทศหนึ่งที่ประชาชนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนามากที่สุด
ความหลากหลายทางศาสนาทำให้สังคมไทยมีลักษณะ “พหุนิยมทางศาสนา” กล่าวคือ เป็นสังคมที่ความศรัทธาในเรื่องศาสนาที่หลากหลายดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
บ้างก็ผสานกลมกลืนกันไป แยกออกได้ง่ายบ้าง ยากบ้าง โดยศาสนาหลักๆ
ที่ทางราชการไทยรับรอง ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาคริสต์
ศาสนาอิสลาม และศาสนาซิกข์ นอกจากนี้ ยังสามารถพบศาสนาอื่นๆ อีก เช่น ศาสนายิว
ศาสนาเต๋า และศาสนาขงจื๊อ
แม้ศาสนาต่างๆ
จะมีรูปแบบ มีลักษณะความเชื่อที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เช่น
- ยิว คริสต์
อิสลาม และซิกข์ เชื่อในหลัก “เอกเทวนิยม” คือ
เชื่อว่าพระเป็นเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียว
- พราหมณ์ เชื่อในหลัก “สรรพเทวนิยม” คือ
เชื่อว่ามีพระเป็นเจ้าหลายพระองค์
- พุทธ และเต๋า
เป็นพวก “อเทวนิยม” คือ ไม่เชื่อหรือไม่สนใจในพระผู้เป็นเจ้า
หรือเชื่อว่าถ้าจะมีสิ่งสูงสุดบางอย่าง
สิ่งนั้นก็ไม่ได้มีลักษณะของบุคคลแบบพระผู้เป็นเจ้า
แต่ความเชื่อในสิ่งสูงสุดของแต่ละศาสนาที่แตกต่างกันนี้
ก็ไม่ได้ทำให้แต่ละศาสนาสอนให้คนประพฤติแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อย่างที่ทุกคนรู้กัน ศาสนาทั้งหลายล้วนสอนให้มนุษย์กระทำแต่ความดี
แนวคิดพหุนิยมทางศาสนา
เกิดจากความใจกว้างของศาสนิกชนที่ใฝ่ศึกษาหาความรู้ หากได้ศึกษาศาสนาต่างๆ
จนถึงแก่นแท้ ก็จะทำให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกันของเป้าหมายสูงสุดของแต่ละศาสนา
ทำให้เกิดแนวคิดที่ว่า
ศาสดาแต่ละพระองค์อาจจะได้รับประสบการณ์สูงสุดทางจิตวิญญาณคล้ายกัน หรือเหมือนกัน
แต่การนำประสบการณ์ทางจิตวิญญาณนั้นมาบอกเล่าสั่งสอนต่อ
ต้องอาศัยภาษาที่คนในสังคมหนึ่งๆ จะสามารถเข้าใจตามได้
ต้องอาศัยวัฒนธรรมที่คนในสังคมนั้นๆ ยึดถือ เกิดเป็นพิธีกรรม หรือจารีตเฉพาะตัว
ที่เป็นเปลือกหุ้มห่อแก่นแกนที่เหมือนกันนั้นไว้ ผ่านกาลเวลาเนิ่นนาน
จนแต่ละศาสนามีความเป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไปอย่างที่เป็นในปัจจุบัน
จุดมุ่งหมายสูงสุดของแต่ละศาสนาเป็นเหมือนห้องห้องหนึ่ง
รูปแบบการปฏิบัติที่แตกต่างกันเป็นเหมือนทางเข้า และประตูแต่ละบาน
ไม่ว่าเราจะเลือกเข้าจากทางประตูใด สุดท้ายแล้ว เราจะเข้าไปถึงในห้องห้องเดียวกัน
ห้องที่อาจเรียกว่า “นิพพาน” หรือ “พรหมัน” หรือ “พระอาณาจักรของพระเจ้า (สวรรค์)”
หรือ “ธรรมชาติดั้งเดิมอันลี้ลับ” ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม
ลักษณะการกีดกันศาสนาอื่นออกจากหนทางปฏิบัติอันเที่ยงแท้
ก็ปรากฏอยู่ในเกือบทุกศาสนา ซึ่งจะปรากฏอยู่ในลักษณะคำสอนที่ว่า แม้ว่าจะปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบ อยู่ในศีลในธรรม แต่หากไม่ศรัทธา หรือนับถือศาสนานั้นๆ
ว่าเป็นหนทางที่แท้จริงเพียงหนทางเดียวแล้ว ก็ไม่อาจบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดตามหลักคำสอนของศาสนาได้
และลักษณะคำสอนเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างศาสนา
เพราะต่างคนต่างถือดี
ดังนั้น
หากเราปรารถนาการอยู่ร่วมกันอย่างสมัครสมานปรองดองระหว่างศาสนาต่างๆ
เราจำต้องทำความเข้าใจแก่นแท้ของแต่ละศาสนา และพึงละลักษณะการกีดกันศาสนาอื่นเสีย
การศึกษาศาสนาต่างๆ อย่างลึกซึ้งจะช่วยเปิดโลกทัศน์ของเราให้กว้างมากขึ้น
การอยู่ร่วมกันในสังคมเดียวกันของศาสนาต่างๆ
ย่อมอดไม่ได้ที่จะมีการปะทะสังสรรค์กัน ก่อให้เกิดการพัฒนาแนวคิด
หรือการปรับตัวที่จะอยู่ร่วมกันของศาสนิกต่างศาสนา
แนวคิดหรือแนวปฏิบัติของศาสนาหนึ่งๆ ที่ได้รับความนิยมในวงกว้างหรือในเชิงลึก
ย่อมมีอิทธิพลต่อการปรับรูปแบบแนวปฏิบัติของศาสนาอื่นอย่างเลี่ยงไม่ได้
ยกตัวอย่างเช่น
ความเชื่อในอาถรรพเวท มนตรา คาถา ของศาสนาพราหมณ์ ที่แทรกซึมลงไปในจิตใจของคนไทย
หรือชาวสยามตั้งแต่ครั้งโบราณกาล
และสืบทอดความเชื่อนี้จากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบัน ก็ส่งผลให้พระสงฆ์ในศาสนาพุทธ
ใช้เรื่องคาถาอาคมมาสร้างศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชน ทั้งที่เรื่องดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดไปจากพุทธบัญญัติอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม
การปรับเปลี่ยนรูปแบบพิธีกรรม หรือการเพิ่มเติมข้อคำสอน
หรือแม้แต่การบิดเบือนคำสอนในแต่ละศาสนา ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ทุกศาสนาที่มีผู้นับถือกันในปัจจุบันอาจจะแตกต่างจากตอนกำเนิดอย่างมากก็เป็นได้
และแม้แต่การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ก็ถูกพิสูจน์แล้วว่า
มีความคลาดเคลื่อนเสมอเมื่อมีการคัดลอกใหม่ หรือเมื่อมีการแปลไปสู่ภาษาอื่น
จึงไม่สามารถใช้ยืนยันได้ว่า คำสอนของศาสนาในปัจจุบันจะตรงกับเมื่อแรกเริ่ม
เมื่อตะหนักถึงความจริงข้อนี้ได้
เราก็อาจละความยึดมั่นถือมั่น
ว่าความเชื่อความศรัทธาของเราเท่านั้นที่ถูกต้องลงได้
และเมื่อเรามีความใจกว้างมากขึ้น
การดำรงอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลายทางความเชื่อความศรัทธาอย่างสันติสุข
ก็อยู่แค่มือเอื้อมเท่านั้น
ความเชื่อหรือศาสนา
ซึ่งเป็นรากฐานทางความคิด และจิตวิญญาณของปัจเจกบุคคลในสังคมนั้น
มีความหลากหลายจนนับไม่ถ้วน
หลายครั้งที่ความเชื่อในสิ่งสูงสุดที่แตกต่างกันของศาสนาทั้งหลาย
นำไปสู่ความขัดแย้งของคนในสังคมที่นับถือต่างศาสนากัน หากพิจารณาในมุมมองนี้
ศาสนาหรือความเชื่อ ย่อมถือเป็นอุปสรรคที่สำคัญต่อการสร้างสันติสุขในสังคม
กิจกรรมทางศาสนา หรือพิธีกรรมของแต่ละศาสนาที่มีความแตกต่างกัน
อาจจะถูกมองว่าเป็นการสร้างความขัดแย้งระหว่างศาสนิกชนได้
กิจกรรมทางศาสนาของแต่ละศาสนา ย่อมมีความแตกต่างในรูปแบบเป็นธรรมดา
แต่อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญของกิจกรรมทางศาสนานั้น
มุ่งส่งเสริมให้คนเป็นคนดีดุจเดียวกัน
การเข้าใจจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของกิจกรรมทางศาสนา
ว่าเป็นการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันและความสามัคคีในสังคมได้
จะช่วยให้เรามองพิธีกรรมของศาสนาอื่นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ว่าแท้ที่จริงแล้วก็มีเป้าหมายไม่ได้ต่างจากศาสนาที่เรายึดถือเลย
กิจกรรมของแต่ละศาสนาที่มีจุดประสงค์อย่างเดียวกันมีอยู่ไม่น้อย
ตัวอย่างเช่น การทำทาน การแบ่งปันให้ผู้อื่น หรือ “จาคะ”
ที่เป็นหลักปฏิบัติทั่วไปในศาสนาพุทธ
มีความคล้ายกันกับหลักปฏิบัติของศาสนาอิสลามที่เรียกว่า “ซะกาต”
คือนอกจากจะเป็นการช่วยเหลือจุนเจือเพื่อนมนุษย์ในสังคมแล้ว ยังช่วยลดความตระหนี่
ความโลภในใจของผู้บริจาคได้อีกด้วย
อีกตัวอย่างหนึ่งเช่น
แนวคิดเรื่องการมอบความรักต่อเพื่อนบ้าน
หรือที่แท้แล้วก็คือเพื่อนมนุษย์ของศาสนาคริสต์
ก็มีหลักการที่คล้ายคลึงกันกับข้อปฏิบัติเรื่อง “พรหมวิหาร 4” ในศาสนาพุทธ
ที่สอนให้มี เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ซึ่งโดยรวมก็คือ ความรักและปรารถนาดีต่อผู้อื่น
รู้สึกอยากให้เขาพ้นทุกข์ และพลอยยินดีเมื่อเขามีสุข รวมทั้งวางเฉย ไม่ลำเอียง
ซึ่งเท่ากับเป็นการปฏิบัติต่อสรรพสิ่งด้วยความรักอย่างเท่าเทียมกัน
เมื่อพิจารณาตัวอย่างของแนวคิดทางจริยศาสตร์
ที่มีเป้าหมายร่วมกันของแต่ละศาสนาได้ดังนี้แล้ว ก็จะเห็นได้ว่า
แม้มนุษย์จะมีกิจกรรมทางศาสนาที่แตกต่างกันเพียงไร
ก็ยังสามารถดำรงอยู่ในสังคมเดียวกันได้อย่างผาสุก
หากเข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริงของกิจกรรมทางศาสนา ทั้งของตนเอง
และของเพื่อนมนุษย์ในสังคมเดียวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น