อิสลาม นิกายซุนนี-ชีอะห์
เหตุไฉนไม่ถูกกัน?
เป็นที่ทราบกันดีว่า
โลกอิสลามมี “นิกาย” ทางศาสนาที่สำคัญ ได้แก่ ซุนนี (Sunni) และ ชีอะห์ (Shia) บ่อยครั้งเรามักได้เห็นข้อพิพาทระหว่างสองนิกายแห่งศาสนา
อิสลาม ตามหน้าสื่อ ตั้งแต่ระดับกลุ่มคน ไปจนถึงระดับรัฐต่อรัฐ ดังจะเป็นว่า
ชาติผู้นำฝ่ายซุนนีอย่างซาอุดีอาระเบีย ก็มีข่าวระหองระแหงกับชาติผู้นำฝ่ายชีอะห์อย่างอิหร่านอยู่บ่อยครั้ง
มูลเหตุแห่งการแบ่ง
“นิกาย” ของชาวมุสลิมนั้น เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ช่วงหลังการจากไปของ
นบีมุฮัมหมัด ผู้นำสูงสุดของโลกอิสลาม การเสียศาสดามุฮัมหมัด เมื่อ ค.ศ. 632
นำภาวะกึ่งสุญญากาศทั้งทางโลกและจิตวิญญาณมาสู่ชาวมุสลิม เพราะเมื่อยังมีชีวิต
ท่านเป็นผู้นำทั้งทางศาสนา การทหาร การเมืองการปกครอง ครบจบในคนเดียว
จึงยากมากที่จะหาใครทดแทนได้
เมื่อศาสดามุฮัมหมัดฯ
จากไป ชาวมุสลิมจึงมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องการเลือก “ผู้สืบทอด” หรือ
คอลีฟะฮ์ (กาหลิบ) ที่จะเป็นผู้นำประชาชาติมุสลิมคนต่อไป เพราะศาสดาไม่มีบุตรชาย
และไม่ได้วางตัวทายาทเอาไว้
มุสลิมบางกลุ่มเห็นว่า
คอลีฟะฮ์ ควรจะเป็นผู้ที่มาจากอันซอร์ หรือผู้อาศัยอยู่ในเมืองมะดีนะฮ์
ซึ่งให้ความช่วยเหลือแก่ท่านศาสดาและชาวมุสลิมคราวอพยพจากเมืองมักกะฮ์
แต่บางพวกเห็นว่า ควรเป็นพวกมุฮาญิรีน หรือผู้ที่อพยพมาพร้อมท่านศาสดา
โดยรวมเสียงส่วนใหญ่โน้มเอียงไปในทางที่ว่า ผู้สืบทอดควรมาจากผู้ที่เหมาะสม คู่ควร
และได้รับการยอมรับจากประชาชาติอิสลาม
หาใช่การเลือกจากเชื้อสายหรือการสืบสันตติวงศ์
แต่มีอีกกลุ่มที่สนับสนุน
อะลี เป็นผู้นำ โดยอะลีเป็นลูกพี่ลูกน้องของศาสดามุฮัมหมัด (ลูกของลุง)
และเป็นบุตรเขย เนื่องจากได้สมรสกับ “ฟาติมะฮ์” บุตรีคนเล็กของท่านศาสดา
ในเรื่องความเหมาะสม กลุ่มผู้สนับสนุนเห็นว่า
อะลีเองมีบทบาทสำคัญต่อศาสนาอิสลามเมื่อแรกก่อตั้ง
เพราะท่านเป็นผู้ศรัทธาต่อศาสดามุฮัมหมัดตั้งแต่แรก
ทั้งเคยยอมเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต ด้วยการนอนแทนที่ของศาสดามุฮัมหมัด
เพื่อให้ศาสดาหลบหนีจากผู้ประสงค์ร้ายอย่างปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม
ผลการหารือได้ข้อสรุปว่า อะบูบักร์
ผู้มีศักดิ์เป็นพ่อตาและมิตรสหายผู้ใกล้ชิดศาสดามุฮัมหมัดได้เป็นคอลีฟะฮ์คนแรก
ส่วนฝ่ายผู้สนับสนุนอะลี ได้แต่เก็บงำความไม่พอใจเอาไว้เงียบ ๆ
ความขัดแย้งทางความคิดยังไม่ปรากฏเด่นชัดตลอดสมัยแห่งการปกครองของคอลีฟะฮ์อะบูบักร์
รวมถึงคนถัดมาอย่าง อุมัร ผู้ติดตามคนสนิทและพ่อตา (อีกคน) ของท่านศาสดา
กระทั่งปลายสมัยของคอลีฟะฮ์คนที่ 3 คือ อุษมาน ผู้ติดตามคนสนิทและบุตรเขย (อีกคน)
ของท่านศาสดา เค้าลางแห่งความแตกแยกจึงเด่นชัดยิ่งขึ้น
ปลายสมัยคอลีฟะฮ์อุษมาน
มีการเคลื่อนไหวเพื่อปลุกระดมมวลชนให้ยอมรับอะลี และปฏิเสธคอลีฟะฮ์คนก่อน ๆ
เพราะถือว่าเป็นผู้ช่วงชิงตำแหน่งดังกล่าวไปจากท่านอะลี
กลุ่มผู้เคลื่อนไหวผลักดันให้
อะลี เป็นคอลีฟะฮ์ ภายหลังคือกลุ่ม “ชีอะห์” มาจาก “ชีอะห์ตุอะลี” หมายถึง
ผู้สนับสนุน (ติดตาม) อะลี
ส่วนอีกกลุ่มที่เห็นว่า
คอลีฟะฮ์ไม่จำเป็นต้องเป็นเชื้อสายของศาสดามุฮัมหมัด
แต่เลือกจากผู้ที่เหมาะสมที่สุด คล้ายระบอบคณาธิปไตย ภายหลังคือกลุ่ม “ซุนนี”
มาจาก “ซุนนะฮ์” หมายถึง ประเพณี-หลักปฏิบัติ ดังจะเห็นว่า
ทั้ง อะบูบักร์ อุมัร และ อุษมาน ล้วนเป็นผู้ติดตาม คนสนิท หรือเครือญาติห่าง ๆ
(ผ่านการสมรส) ของศาสดามุฮัมหมัดทั้งสิ้น
แต่สำหรับชาวชีอะห์แล้ว
อะลีควรเป็นผู้นำประชาชาติมุสลิมมากกว่าผู้ใด
แม้จะปราศจากคำสั่งเสียจากศาสดามุฮัมหมัด แต่พวกเขาเชื่อว่า
ท่านศาสดาให้ความไว้วางใจและสนับสนุนอะลีผ่านการกระทำและคำพูดเมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตแล้ว
นอกจากนี้
หลังจากอะลีได้เป็นคอลีฟะฮ์คนที่ 4 ท่านก็ถูกลอบสังหาร
จึงมีฐานะเป็นผู้พลีชีพเพื่อศาสนาและเป็นนักบุญสูงสุด
ชีอะห์บางกลุ่มถึงขนาดนับถืออะลีเป็นเทพเจ้าหรืออวตารของพระผู้เป็นเจ้าเลยทีเดียว
การแยก
“นิกาย” ของ ศานาอิสลาม จึงมีมูลเหตุจากเรื่องผู้สืบทอดตำแหน่งจากท่านศาสดา
คือการยอมรับที่แตกต่างกัน ซุนนี ให้การยอมรับคอลีฟะฮ์ทั้ง 4 ได้แก่ อะบูบักร์
อุมัร อุษมาน และอะลี แต่ใน 4 คนนี้ ชีอะห์ ให้การยอมรับเพียง อะลี เท่านั้น
แต่นั่นเพียงพอแล้วหรือสำหรับชนวนเหตุที่ให้สองนิกายไม่ลงรอยกันอย่างที่เป็นอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์และสืบเนื่องมาถึงโลกสมัยใหม่?
เชื้อไฟแห่งความร้าวฉานครั้งใหญ่
เกิดขึ้นในยุคสมัยของคอลีฟะฮ์อะลี เมื่อท่านปลดเจ้าเมืองด้วยข้อกล่าวหาว่า
พวกเขากดขี่ขูดรีดประชาชนโดยมิชอบ อุมาวียะห์
หนึ่งในเจ้าเมืองที่มีคำสั่งปลด
เป็นเจ้าผู้ปกครองซีเรียที่มีอำนาจที่สุดในบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลาย
เขาขัดคำสั่งดังกล่าว เป็นเหตุให้คอลีฟะฮ์อะลีต้องทำสงครามปราบปรามอยู่หลายปี
กระทั่งตัวท่านถูกลอบสังหารใน ค.ศ. 661
หลังสิ้นคอลีฟะฮ์อะลี
รูปแบบการปกครองของจักรวรรดิอิสลามและโลกมุสลิมก็เปลี่ยนไป จากระบอบคณาธิปไตย
เป็นรูปแบบการสืบสันตติวงศ์ หรือราชวงศ์ หากแต่มิใช่วงศ์วานของศาสดามุฮัมหมัด
แต่เป็นของคอลีฟะฮ์อุมาวียะฮ์ ผู้สถาปนาราชวงศ์อุมัยยะห์
ฝ่ายชาวชีอะห์ที่ยึดมั่นต่อหลักการผู้ปกครองประชาชาติมุสลิมต้องมาจากเชื้อสายศาสดามุฮัมหมัด
เห็นว่าตำแหน่งผู้นำ หรือ “อิหม่าม” ควรตกแก่ ฮะซัน และฮุสเซน
บุตรของท่านอะลี ผู้มีศักดิ์เป็นหลานท่านศาสดา
พวกเขาจึงขับเคี่ยวกับราชวงศ์อุมัยยะห์ต่อ
กระทั่ง ค.ศ. 681 ได้เกิดเหตุการณ์ “โศกนาฏกรรม” ของโลกมุสลิม เมื่ออิหม่ามฮุสเซน ผู้สืบทอดตำแหน่งจากฮะซัน ถูกฝ่ายอุมัยยะห์สังหารอย่างโหดเหี้ยมพร้อมสมาชิกครอบครัว ในการปะทะที่คาร์บาลา ศีรษะของฮุสเซนถูกนำไปถวายคอลีฟะฮ์ของชาวซุนนี สร้างความความเคียดแค้นแก่ชาวชีอะห์อย่างมาก
ยุทธการ
คาร์บาลา หรือ กัรบะลาอ์ มุสลิม ซุนนี สังหาร อิหม่าม ชีอะห์
ยุทธการที่คาร์บาลา
หรือ กัรบะลาอ์,
ผลงาน Abbas Al-Musavi (ภาพจาก Brooklyn
Museum)
หลังเหตุการณ์นั้น
ฝ่ายชีอะห์ถูกปราบปรามและกดขี่จากราชวงศ์อุมัยยะห์อย่างหนัก จนสลายตัวไป ในที่สุด
ราชวงศ์อุมัยยะห์ก็ประสบความสำเร็จในการยุติการอ้างสิทธิ์จากเชื้อสายศาสดามุฮัมหมัดเหนือประชาชาติมุสลิม
แม้จะสูญสิ้นอำนาจ
แต่ชาวชีอะห์ยังนับถือ “อิหม่าม” สืบต่อกันมา โดยมี 12 อิหม่าม
เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณสูงสุดในฐานะวงศ์วานของท่านศาสดาและท่านอะลี โดย อัล-มะห์ดี
อิหม่ามคนที่ 12 ที่สาบสูญไปเมื่อ ค.ศ. 881 ถูกเล่าขานในหมู่ชาวชีอะห์ว่า
ท่านจะกลับมายังโลกเพื่อนำความยุติธรรมกลับมาอีกครั้ง
ทั้งนี้
แม้ความเห็นเรื่องความเหมาะสมของผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำประชาชาติมุสลิม
จะนำไปสู่การแยกตัวของฝ่ายสนับสนุนอะลี หรือ นิกายชีอะห์ และขัดแย้งกับ นิกายซุนนี
ที่เป็นมุสลิมส่วนใหญ่ แต่ไม่มีปราชญ์มุสลิมซุนนีประณามว่า พวกเขาเป็นกาเฟร
(คนนอกศาสนา) แต่อย่างใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น