พล.ท.ศานติ
ศกุนตนาค แม่ทัพภาค 4 กล่าวถึง การแจ้งดำเนินคดีทางกฎหมายกับนักกิจกรรม จชต.จำนวนทั้งหมด 9 คน กรณีการชุมนุมที่ชายหาดวาสุกรี อ.สายบุรี ปัตตานี เมื่อปี 2565 ว่า ไม่มีอะไรเกี่ยวกับการแต่งกายในชุดมลายู ตามที่มีการสื่อสารสร้างความเข้าใจผิดในโลกออนไลน์
แต่มีสาเหตุจากผู้ร่วมกิจกรรมบางส่วนจัดกิจกรรม
ที่เข้าข่ายแฝงกระทำที่ผิดกฎหมาย
พร้อมยืนยันการแต่งกายชุดมลายูถือเป็นอัตลักษณ์ของคนในพื้นที่ ที่มีความงดงามซึ่งรัฐบาลได้ส่งเสริมและให้การสนับสนุนตลอดมา
พล.ท.ศานติ
ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4
/ผอ.รมน.ภาค4
กล่าวถึงการสื่อสารในโลกออนไลน์ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านที่ระบุว่า
มีการดำเนินคดีเอาผิดกับผู้ที่แต่งกายในชุดมาลายูได้สร้างความเข้าใจผิดต่อสังคม
พร้อมกล่าวถึงกรณีการชุมนุมที่ อ.สายบุรี จว.ปัตตานี ในเดือน พ.ค. 2565
โดยผู้มาร่วมงานแต่งกายด้วยชุดมาลายูที่เป็นอัตลักษณ์ของคนในพื้นที่
ซึ่งในการชุมนุมครั้งนั้น
จนท.ได้รายงานถึงกิจกรรมแอบแฝงระหว่างการชุมนุม
และมีภาพผู้มาร่วมชุมนุมบางส่วนนำธง BRN มาร่วมในกิจกรรม
นอกจากนี้
ยังมีการใช้ถ้อยคำบนเวทีในลักษณะของการปลุกระดมกับกลุ่มเยาวชนที่มาร่วมงาน
จนท.ความมั่นคงที่ติดตามการจัดกิจกรรมดังกล่าวได้รวบรวมหลักฐานที่เกิดขึ้น
ทั้งหมดนำมาสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีเอาผิดตามกฎหมาย
"การออกหมายเรียกของเจ้าหน้าที่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการแต่งกายชุดมลายู
อย่างที่พยายามสื่อสารให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด
ชุดมลายูถือเป็นอัตลักษณ์ของคนในพื้นที่ที่มีความงดงามซึ่งรัฐบาลได้ส่งเสริมและให้การสนับสนุน
ทางกองทัพภาคสี่ก็ให้การสนับสนุนมาตลอด การจัดชุมนุมจัดกิจกรรมจัดเวทีพูดคุยเป็นเสรีภาพพื้นฐานในการแสดงความคิดเห็น
แต่ต้องไม่มีลักษณะที่ผิดกฎหมาย
หรือปล่อยให้บุคคลที่สามมาทำกิจกรรมแอบแฝงกระทบความมั่นคงอย่างที่เกิดขึ้น"
พล.ท.ศานติกล่าวในตอนหนึ่ง
ขณะที่
ช่วงสายของวันที่
9 ม.ค.2557 สภ.สายบุรี จ.ปัตตานี นักกิจกรรม จชต.จำนวน 9 ได้เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา กรณีการจัดกิจกรรมที่ชายหาดวาสุกรี
อ.สายบุรีฯ ในงานฉลองวันฮารีรายอ เดือน พฤษภาคม ปี 2565
มีการกระทำที่เข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย ป.วิ.อาญา ม.116, ม.209 และ ม.210
ว่าด้วยการปลุกปั่นยุงยงให้เกิดความไม่สงบ อั้งยี่และซ่องโจร
จากหลักฐานที่ปรากฎระหว่างการชุมนุม มีการนำธงของขบวนการแบ่งแยกดินแดน BRN มาร่วมในกิจกรรม
รวมถึงการกล่าวบนเวทีและการร้องเพลงปลุกระดมที่มีเนื้อหาให้ต่อสู้เพื่อเอกราชปัตตานี
เป็นหลักฐานที่ทางจนท.ตำรวจใช้ประกอบในการดำเนินคดีอาญาเอาผิด และในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเครือข่ายกลุ่มสิทธิมนุษยชนฯใน
จชต.ทำจดหมายเปิดผนึกถึงเลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ขอให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิในการรวมกลุ่มทำกิจกรรมของนักกิจกรรมชาวมลายูมุสลิมประเทศไทย
พร้อมเรียกร้องให้ UN กดดันรัฐบาลไทยให้ยุติการฟ้องการดำเนินคดีในลักษณะใช้กฎหมายปิดปาก
ในการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการรวมกลุ่ม
ซึ่งเป็นสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น