วาระ
20 ปีไฟใต้ 20 ปีเหตุการณ์ปล้นปืน
มีหลากหลายทัศนะจากผู้รู้และผู้ติดตามปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรง ณ
ปลายด้ามขวาน
หนึ่งในนักวิชาการที่
“รู้ลึก” และ “รู้จริง” ซึ่งทุกฝ่ายให้การยอมรับ
รวมทั้งฝ่ายความมั่นคงเอง ก็คือ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข
จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในวาระ
20 ปีปล้นปืน อาจารย์สุรชาติ
เขียนบทความที่ตั้งคำถามถึงทุกฝ่ายในบริบทของปัญหาไฟใต้อย่างแหลมคม
โดยเฉพาะคำถามถึงฝ่ายรัฐ...ผ่านมา
20 ปีแล้วรู้หรือยังว่า “คู่ขัดแย้ง” คือใครกันแน่
และเป้าหมายสุดท้ายของพวกเขาคืออะไร ใช่ “รัฐเอกราชใหม่” จริงหรือไม่
พร้อมกันนี้ยังได้เสนอแนะ
“หลักการที่ละเมิดไม่ได้” ของ “สงครามการก่อความไม่สงบ”
ซึ่งมีลักษณะเป็น “สงครามชิงมวลชน”
ระหว่างรัฐไทยกับองค์กรติดอาวุธในพื้นที่
ขณะเดียวกันก็ชี้ถึง
“ทางออกของปัญหา” ซึ่งหนีไม่พ้นการพูดคุยเจรจา เพราะเป็น “สงครามการเมือง”
แต่ก็ดักคอเอาไว้ล่วงหน้าว่าต้องไม่มีใครทำให้สนามรบกลายเป็น “ทุ่งเศรษฐี”
และการเจรจาเป็น “เหมืองทอง” ของใครบางคน ทั้งหมดอัดแน่นอยู่ในบทความคุณภาพ...ชิ้นนี้!
แนวรบภาคใต้
: ยังล่อแหลมและท้าทาย! สถานการณ์ความรุนแรงใน 3
จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ก่อตัวมาจากเหตุการณ์ปล้นปืนจากค่ายทหารในจังหวัดนราธิวาส
ในค่ำคืนของวันที่ 4 มกราคม 2547 นั้น ดำเนินมาเป็นระยะเวลาครบรอบ 20
ปีเต็มอย่างไม่น่าเชื่อ และเป็น 20 ปีของสถานการณ์ “สงครามการก่อความไม่สงบ”
ชุดใหม่ที่สังคมไทยต้องเผชิญในยุคหลังสงครามคอมมิวนิสต์อย่างชัดเจน
ดังนั้น
บทความนี้จะทดลองนำเสนอมุมมองที่เป็นภาพมหภาคบางประการของ “สงครามภายใน”
ของรัฐไทย
เราอาจต้องตระหนักในภาพมหภาคว่า
ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดภาคใต้เป็นเรื่องเก่าที่เกิดขึ้นในบริบทใหม่ของเวลาและสถานการณ์ความรุนแรงในเวทีโลก
เพราะเป็นความรุนแรงใน “กระแสโลกมุสลิม”
ซึ่งมาหลังจากเหตุการณ์การโจมตีสหรัฐอเมริกาในวันที่ 11 กันยายน 2544
และตามมาด้วยความรุนแรงที่เกิดกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รวมทั้งในไทย
การก่อเหตุนับจากการปล้นปืนที่เกิดขึ้นเป็นบทบาทของ
“ตัวแสดงภายในที่ไม่ใช่รัฐ” และตัวแสดงนี้มีกองกำลังติดอาวุธในความควบคุม
อันทำให้้เกิดสภาวะ “สงครามของตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ”
ซึ่งรัฐและหน่วยงานความมั่นคงต้องทำความเข้าใจกับ “คุณลักษณะของสงคราม”
เช่นนี้ เพราะไม่ใช่สงครามตามแบบที่ผู้นำทหารไทยคุ้นเคย
แม้รัฐไทยจะมีประสบการณ์จากสงครามคอมมิวนิสต์มาแล้วก็ตาม
การต่อสู้ใน
“สงครามของตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ” ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่า “ธรรมชาติของสงคราม”
ชุดนี้เป็น “สงครามการเมือง” ในตัวเอง ที่มีเงื่อนไขและข้อจำกัดต่างจาก “สงครามการทหาร”
ที่ชัยชนะไม่ถูกตัดสินด้วยอำนาจที่เหนือกว่าทางทหารทั้งหมด และในอีกมุมหนึ่ง
สงครามภาคใต้เป็น “สงครามอสมมาตร”
ความเป็น
“สงครามอสมมาตร” ในรอบ 20 ปีจึงทำให้เกิดการก่อเหตุร้ายมากกว่า 1
หมื่นครั้ง มีความสูญเสียของชีวิตมากกว่า 6 พันคน และทั้งใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก
ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อเข้าสู่ปีที่ 21 งบในการแก้ปัญหาภาคใต้ทะลุเกินกว่า 5 แสนล้าน
การเจรจาเพื่อยุติสงครามระหว่างรัฐกับรัฐเป็นทางเลือกที่สำคัญในการยุติปัญหาข้อพิพาท
และอาจจะมีความง่ายมากกว่าในการดำเนินการแก้ปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับ “ตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ”
เพราะต่างมีสถานะที่เท่าเทียมกันของความเป็นรัฐ
และต่างฝ่ายอาจดำเนินการในแบบแผนของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ
(เว้นแต่เป็นปัญหาในแบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐเล็กกับรัฐมหาอำนาจใหญ่ เช่น
กรณียูเครน-รัสเซีย)
การแก้ปัญหากับตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐจึงอาจมีความยุ่งยากมากกว่า
หรืออาจ “คุยยากกว่า” เพราะไม่ชัดเจนว่า จะคุยกับใคร เป็นต้น ดังนั้น
การสร้างขีดความสามารถของผู้แทนฝ่ายรัฐในการเจรจาจึงเป็นหัวข้อสำคัญ
และต้องไม่นำเอาเวทีการเจรจาไปใช้เพื่อการ “พีอาร์”
ตัวเองดังเช่นเว็ปของผู้แทนไทยในปัจจุบัน
เมื่อคู่ขัดแย้งไม่มีสถานะเป็นรัฐ
แต่กลับมีอำนาจในทางทหาร
จึงทำให้การเจรจาต่อรองในทางการเมืองถูกขับเคลื่อนผ่านปฏิบัติการทางทหารเป็นด้านหลัก
ดังนั้น การควบคุมความรุนแรงจึงเป็นประเด็นสำคัญ
เพราะความรุนแรงนี้ในด้านหนึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสถานะของรัฐได้โดยตรง แต่อีกด้านหนึ่งก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือของการโฆษณาทางการเมืองของการ
“สร้างภาพลักษณ์”
และการแสวงหาความสนับสนุนทางการเมืองและทางเศรษฐกิจจากภายนอก
รัฐไทยตอบคำถามในรอบ
20 ปีได้หรือไม่ว่าคู่ขัดแย้งครั้งนี้คือใคร จะเป็นตัวแสดงที่ชื่อว่า BRN หรือจะเป็นองค์กรใด เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการกำหนด “เป้าหมายและทิศทาง”
การต่อสู้
เพราะการก่อเหตุในภาคใต้ไม่เคยมีองค์กรที่ประกาศความรับผิดชอบเช่นที่เกิดในเวทีโลก
ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจในทางความมั่นคงว่า
ทำไมกลุ่มติดอาวุธที่ก่อเหตุในภาคใต้ไม่กล้าประกาศความรับผิดชอบ?
สังคมต้องทำความเข้าใจและตระหนักว่า
การเจรจาเพื่อยุติปัญหาความรุนแรงครั้งนี้ อาจไม่จบลงได้เร็ว
หรือได้ผลตอบแทนเร็วอย่างที่หวัง เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมีระยะเวลานาน
และมีส่วนที่พอกพูนขึ้นมาในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
และมีนัยของปัญหาที่ผูกโยงกับหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นประเด็นด้านประวัติศาสตร์
ศาสนา เศรษฐกิจ และการเมืองทั้งในและนอกพื้นที่
รวมถึงเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
และการแสวงหาผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มและ/หรือกลุ่มบางกลุ่มจากสถานการณ์ในพื้นที่
สำหรับรัฐไทยแล้ว
การวิเคราะห์ข้อเรียกร้องและความต้องการทางการเมืองของฝ่ายตรงข้ามให้ได้ถูกต้อง
เป็นประเด็นสำคัญ ถ้าเช่นนั้นแล้วในรอบ 20 ปี รัฐตอบได้หรือไม่ว่า
ฝ่ายตรงข้ามที่ก่อเหตุต้องการอะไรที่เป็นจุดสุดท้ายของความต้องการทางยุทธศาสตร์
หรือกล่าวให้ชัดคือ BRN
ต้องการอะไรของ “บันไดขั้นสุดท้าย”
เพราะการตั้ง
“รัฐเอกราชใหม่” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน
คำถามสำคัญในทางรัฐศาสตร์คือ
ประเทศใดจะ “ออกหน้า” ประกาศรับรองรัฐเอกราชเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้บอกว่า
รัฐไทยควรจะ “งอมืองอเท้า” โดยไม่คิดทำอะไร “เชิงรุก”
ในเงื่อนไขเช่นนี้
ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้เป็น
“สงครามการเมือง”
การเจรจายุติสงครามการเมืองจะต้องยุติเงื่อนไขทางการเมืองที่เป็นต้นเหตุของสงคราม
ถ้าเช่นนั้น
อะไรคือเงื่อนไขทางการเมืองที่รัฐไทยจะต้องแก้ไขเพื่อคลี่คลายความรุนแรงชุดนี้
และการแก้ไขปัญหาจะต้องไม่นำไปสู่การแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบของข้าราชการและผู้เกี่ยวข้องบางส่วน
กล่าวคือ จะต้องไม่ทำให้สนามรบกลายเป็น “ทุ่งเศรษฐี” ของบางคน
เช่นเดียวกับที่การเจรจายุติปัญหาก็จะต้องไม่ใช่ “เหมืองทอง” ของบางคน
บางกลุ่มไม่แตกต่างกัน
“ตัวแสดงติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐ”
จะหมดพลังขับเคลื่อนต่อเมื่อเงื่อนไขและบริบทของความรุนแรงชุดนี้
ไม่มีเสียงตอบรับทั้งจากภายนอกและภายใน
ดังตัวอย่างจากกรณีการสิ้นสุดของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
หรือการสิ้นสุดของสงครามแบ่งแยกดินแดนของกลุ่ม MNLF ในฟิลิปปินส์
โดยเฉพาะถ้าการสนับสนุนจากภายนอกลดต่ำลงมากแล้ว
จะมีนัยโดยตรงต่อความสามารถในปฏิบัติการของตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐเสมอ
ไม่ว่าเราจะคิดอย่างไร
การสนับสนุนจากเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย เป็นปัจจัยสำคัญที่ละเลยไม่ได้
ผู้นำไทยทั้งในระดับการเมืองและฝ่ายปฏิบัติต้องแสวงหาหนทางในการ “พูดคุย”
กับฝ่ายมาเลเซีย เพราะปัญหานี้จะแก้ไม่ได้จริงโดยปราศจากความร่วมมือของมาเลเซีย
ขณะเดียวกัน
ก็ต้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาคมมุสลิมในเวทีระหว่างประเทศว่า
รัฐไทยไม่มีนโยบายในการต่อต้านและ/หรือกดขี่ทางสังคมและศาสนา
สิ่งสำคัญที่ถือเป็น
“หลักการที่ละเมิดไม่ได้” ในสงครามก่อความไม่สงบคือ
ฝ่ายรัฐจะต้องไม่ทำความผิดพลาดซ้ำซาก จนทำให้มวลชนถอยออกจากรัฐ และในทางกลับกัน
รัฐจะต้องทำทุกวิถีทางในการดึงเอามวลชนกลับมาอยู่ฝ่ายรัฐ เพราะทั้งหมดนี้คือ ปัญหา
“สงครามชิงมวลชน” ระหว่างรัฐไทยกับองค์กรติดอาวุธในพื้นที่
การกำกับในระดับนโยบายเป็นหัวข้อสำคัญในการแก้ปัญหา
ความสำเร็จขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 2 ประการเสมอ คือ “เอกภาพและบูรณาการ”
ของการดำเนินการขององค์กรภาครัฐ คือ “พลเรือน-ตำรวจ-ทหาร”
เพื่อลดการต่อสู้และการแข่งขันของหน่วยราชการที่มักจะเป็นปัญหาสำคัญในการแก้ปัญหา
หลักการข้อสุดท้ายที่ต้องยึดมั่นเป็น
“เข็มมุ่งหลัก” ในสงครามเช่นนี้คือ “การเมืองต้องนำการทหาร”
และต้องนำให้ได้เสมอ อีกทั้งผู้นำทางการเมืองจะต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้
เช่นที่ผู้นำทหารและหน่วยงานความมั่นคงก็ต้องเรียนรู้ในเรื่องนี้ไม่แตกต่างกัน
เพราะไม่มีความสำเร็จในการแก้ปัญหาความรุนแรงภายในเกิดได้โดยปราศจากการเรียนรู้
และทำความเข้าใจ อันจะนำไปสู่การปรับตัวในเชิงนโยบายและยุทธศาสตร์!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น