เผารถกู้ภัย...คนทุกข์ใจคือชาวบ้าน
ณ
วันนี้ฮิลาลอะห์มัรสูญเสียรถบางส่วนที่คอยช่วยเหลือชาวบ้าน
คนที่เดือดร้อนที่สุดไม่ใช่เรา
แต่เป็นชาวบ้านที่พึ่งพาศัยรถมูลนิธิในยามเจ็บไข้ได้ป่วย
สีตีคอรีเยาะ
ยีดือเระ หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิฮิลาลอะห์มัร
เล่าถึงผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์เผารถกู้ภัยของมูลนิธิฯ สาขายะหริ่ง ไปถึง 2 คัน
เมื่อเช้าวันที่ 8 มีนาคม 2566 ซึ่งตรงกับ "วันสตรีสากล"
สีตีคอรีเยาะฯ
ทำงานกับมูลนิธิฮิลาลอะห์มัร มานานกว่า 15 ปี
เธอทำงานท่ามกลางอาสาสมัครผู้ชายจำนวนนับร้อย
น่าสนใจว่าเธอมีวิธีทำงานอย่างไรจึงอยู่ได้มาถึงทุกวันนี้
ในขอบเขตการทำงานท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบ
หลักๆ คือเน้นความปลอดภัยของเราไว้ก่อน
จะย้ำเตือนเสมอว่าก่อนออกไปหาเคสต้องเช็คข้อมูลให้ชัวร์ ออกไปแล้วต้องปลอดภัย
หากประเมินแล้วจะได้รับอันตรายให้อยู่กับฐาน
ห้ามออกไปจนกว่าเจ้าหน้าที่จะคลี่คลายสถานการณ์
มูลนิธิฯ
เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2548 มี 12 ศูนย์ปฏิบัติการ ปัจจุบันมี 8 ศูนย์ปฏิบัติการย่อย
กับ 1 สำนักงาน เป็นศูนย์กลางประสานงาน อาสาสมัครปัจจุบันมีประมาณ 100 คน
งานอาสาสมัครคือคนที่ใช้เวลาว่างจากการทำงานประจำ
งานส่วนตัว เมื่อมีเวลาเขาก็จะมาบริการให้ความช่วยเหลือสังคมตรงนี้ จะบอกกันเสมอว่าก่อนมาทำงานอาสาทุกคนต้องมีงานประจำก่อน
ดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัวก่อน
เรื่องการบริหารจัดการ
สีตีคอรีเยาะฯ มั่นใจว่า ศูนย์ที่ยังอยู่กับมูลนิธิฯในตอนนี้สามารถดูแลตัวเองได้
มีหน่วยงานในพื้นที่ช่วยดูแลพอสมควร
เรามีค่าใช้จ่ายคือค่าน้ำมันในการออกไปหาเคสทุกครั้ง
ซึ่งองค์กรเราไม่มีทุนพอช่วยค่าน้ำมัน จึงมีมติกันว่าหากไม่มีน้ำมัน รถเราก็จอด
เมื่อไหร่ที่เราต้องควักเงินตัวเองออกมาเติมน้ำมันเพื่อออกไปช่วยเหลือชาวบ้าน
มองว่าไม่ใช่งานช่วยเหลือชาวบ้าน เพราะเราเอาใจมาอาสาแล้ว
สำหรับสถานการณ์ที่รถของมูลนิธิฯ
ถูกลอบวางเพลิงทั้ง 2 คัน เธอบอกว่าลองย้อนกลับไปถึงรถมูลนิธิฯ รถกู้ชีพกู้ภัย
หากถูกเผาเมื่อ 15 ปีที่แล้วจะไม่มีใครสงสัยว่าเพราะอะไร ทำไปทำไม
เพราะถือว่าสถานการณ์ตอนนั้นรุนแรง
แต่สถานการณ์
ณ ตอนนี้ทำให้เราได้ตั้งคำถามเช่นกันว่า ทำไมเขาถึงมาเผารถกู้ชีพกู้ภัยที่เรานำไปช่วยเหลือสังคม
ให้บริการประชาชน คนที่เดือดร้อนจริงๆ ไม่ใช่เรา
แต่เป็นชาวบ้านที่พึ่งพาอาศัยรถมูลนิธิยามเจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อรถขาดไป 2 คัน
แล้วชาวบ้านที่เจ็บป่วยลำบากต่อไปนี้ใครจะดูแลเขา
อย่างในช่วงโควิดเราทำงานกันหนัก
คือเวลามีชาวบ้านติดเชื้อแล้วเราต้องขนไปส่งที่ศูนย์พักพิง เป็นงานหนัก
เพราะวันหนึ่งวิ่งหลายเคส ค่าใช้จ่ายคือค่าน้ำมัน บางศูนย์เมื่อมีการเสียชีวิต
น้องๆ ก็ต้องออกไปนำศพไปฝัง ต้องเซฟตัวเอง ทุกคนทำงานกันหนักมาก
ความเป็นผู้หญิงมุสลิมกับการทำงานท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้
ไม่ง่ายเลย
การทำงานที่มีผู้บริหารองค์กรให้ความสำคัญกับครอบครัว
ทำให้เราทำงานได้แบบฟรีสไตล์ ทำงานอย่างไรให้จัดการได้ สำคัญคือไม่ทิ้งครอบครัว
เมื่ออาสาสมัครจะมีครอบครัว ไปแต่งงาน ไม่มีการห้าม
คุณต้องไปทำหน้าที่ผู้นำครอบครัว เมื่อคุณนำครอบครัวเข้มแข็ง คุณค่อยกลับมาทำงานอาสา
สีตีคอรีเยาะฯ
มองว่า เราไม่ได้ถูกกดขี่อะไรเลย ยิ่งเราทำงานในองค์กรที่มีแต่ผู้ชายเกือบ 100
เปอร์เซ็นต์ มีผู้หญิง 2 คน เราไม่ได้รับการกดขี่ใดๆ เราได้รับการให้เกียรติ
ยิ่งในอิสลามไม่ได้กดขี่ผู้หญิง คุยกันด้วยเหตุผลมากกว่า ผู้หญิงบ้านเราสามารถพูด
คิด แสดงความคิดเห็นและทำได้ทุกอย่าง หากแต่ต้องอยู่ต้องดูกาลเทศะ
และอยู่ในขอบเขตของศาสนาว่าทำได้มากน้อยแค่ไหน
ขอขอบคุณทุกๆ ความห่วงใยและทุกๆ กำลังใจที่มอบให้กับพวกเรา "เธอกล่าวทิ้งท้าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น