การสืบทอดจารีตประเพณีที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา
คือจารีตที่เป็นไปในทางปฏิบัติทางศาสนาของคนในชุมชน
และจารีตประเพณีอันเป็นการศึกษาเล่าเรียนและการเขียนตำนาน จารีต
ประเพณีที่เกี่ยวกับความเชื่อ และศาสนพิธีของคนในท้องถิ่น
การศึกษาตำนานพื้นบ้านที่ว่าด้วย เรื่องราวของพุทธศาสนาสามารถอธิบายที่มาของจารีตประเพณีอันเป็นวัฒนธรรมที่แสดงออกถึงการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนภายใต้ความเชื่อเดียวกัน
หรือความเชื่อ ความศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์และสิ่งเคารพทางศาสนาร่วมกันในชุมชน
โครงการวิจัยการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมพหุวัฒนธรรมจากตํานานท้องถิ่นภาคใต้
จึงเกิดขึ้นเพื่อศึกษาพัฒนาการสังคมพหุวัฒนธรรมในท้องถิ่นภาคใต้
จากตำนานประวัติศาสตร์ท้องถิ่นภาคใต้และเพื่อวิเคราะห์คุณค่าการดำรงสังคมพหุวัฒนธรรมใน
สังคมท้องถิ่นภาคใต้ที่สะท้อนผ่านตำนานท้องถิ่น
พุทธศาสนากับอิทธิพลต่อวัฒนธรรมท้องถิ่นภาคใต้
พุทธศาสนามีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อนครศรีธรรมราชมาอย่างยาวนาน
นับแต่พุทธศตวรรษที่ 18 ที่เริ่มเผยแพร่เข้าสู่พื้นที่นครศรีธรรมราช พุทธศาสนาได้มีบทบาทต่อการสร้างมรดกทางวัฒนธรรมในพื้นที่
จนเป็นที่กล่าวขานถึงความเป็นเมืองแห่งพุทธศาสนาเมืองหนึ่ง และแม้ว่ามรดกทางวัฒนธรรมในพุทธศาสนาจำนวนมาก
ที่ปรากฏขึ้นในระยะเริ่มแรกอาจสูญหายไปบางส่วน แต่ยังคงมีส่วนที่หลงเหลือ
เช่นหลักฐานทางโบราณคดี โบราณสถานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ ศาสนา และประเพณี เช่น
ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ (พระธาตุเมืองนครศรีธรรมราช) การสมโภชน์พระบรมธาตุ และประเพณีสวดด้าน
เป็นต้น
ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุของชาวเมืองนครศรีธรรมราช
และคติความเชื่อ เกี่ยวกับการบูชา
พระบรมธาตุในตำนานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองนครศรีธรรมราช
การแห่ผ้าขึ้นธาตุ หมายถึง การแห่ผ้าผืนยาวเพื่อบูชา พระพุทธเจ้า โดยการนำขึ้นห่ม
และโอบล้อมรอบองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ณ วัดพระมหาธาตุ นครศรีธรรมราช
ซึ่งเป็นประเพณีสืบทอดมาอย่างยาวนาน ตำนานพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช
สันนิษฐานว่าอาจเริ่มขึ้นในสมัยพระยาศรีธรรมาโศกราช
ด้วยเหตุนี้
ตำนานจึงมีส่วนสำคัญในการอธิบายที่มาของประเพณีอันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมทางศาสนาที่ชาวไทยในภาคใต้รับมาจากอินเดียและลังกา
ซึ่งชาวพุทธในอินเดียเชื่อว่า การทำบุญ
และการกราบไหว้บูชาที่ให้กุศลแท้จริงจะต้องปฏิบัติต่อพระพักตร์และใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าให้มากที่สุด
เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์และเป็นรูปธรรม แม้พระพุทธเจ้าทรงเสด็จปรินิพพานแล้ว
สัญลักษณ์ที่แทนการระลึกถึงองค์พระพุทธเจ้า
เช่นการสร้างพระบรมธาตุเจดีย์พระพุทธรูป และการกราบไหว้บูชา
จึงเป็นการแสดงความเคารพต่อพระพุทธเจ้า
และอาจเป็นที่มาของการนำผ้าไปบูชาพระบรมธาตุเจดีย์
เพื่อแสดงความเคารพบูชาและระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า
ความรุ่งเรืองทางพุทธศาสนาในสมัยพระยาศรีธรรมาโศกราช
ในตำนานกล่าวถึง การสืบทอดพุทธศาสนาโดยการสร้างสัญลักษณ์
เพื่อระลึกถึงองค์พระพุทธเจ้า
ตามธรรมเนียมของพระมหากษัตริย์ในอุดมคติของพุทธศาสนาลังกาวงศ์ ที่นิยมกระทำกัน
เช่นการสร้างพระธาตุ การอุปถัมภ์บำรุงวัดและความเป็นอยู่ของพระสงฆ์
การส่งเสริมคณะสงฆ์ให้มีการศึกษาเล่าเรียนจากคณะสงฆ์เมืองต่าง ๆ
ที่มีภูมิความรู้ทางปริยัติธรรม เช่น ตำนานกล่าวถึงลังกา เมืองหงษา (หงษาวดี)
และอยุธยา การปลูกพระศรีมหาโพธิ์ ในวัดสำคัญ เป็นต้น
ประเพณีสำคัญทางพุทธศาสนาในภาคใต้กับการสร้างการยอมรับทางวัฒนธรรม
ประเพณีการแห่ผ้าขึ้นธาตุเมืองนครศรีธรรมราช
จัดขึ้นสองครั้งในวันมาฆบูชา (ขึ้น 15 คำเดือนสาม) และวันวิสาขบูชา (ขึ้น 15 ค่ำ
เดือนหก) โดยการนำผ้าไปห่มองค์พระบรมธาตุเจดีย์ ณ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร
(ปัจจุบันนิยมทำกันในวันมาฆบูชามากกว่า) ในส่วนพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเตรียมผ้าพระบฎ
ผ้าที่ใช้ขึ้นห่มพระธาตุมักนิยมใช้สีขาว เหลือง และแดง
พุทธศาสนิกชนที่ต้องการห่มผ้าพระธาตุ จะต้องเตรียมผ้าขนาดความยาวตามศรัทธาของ ตน
เมื่อไปถึงวัดจะนำผ้ามาผูกต่อกันเป็นขนาดยาวที่สามารถห่มพระธาตุรอบองค์ได้
ผ้าพระบฎมีการเขียนเป็นรูปพุทธประวัติทั้งผืนโดยช่างเขียน
แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการทำผ้าพระบฎ
เพื่อเป็นเครื่องสักการะบูชาองค์พระบรมธาตุเจดีย์
ในการประกอบพิธีได้มีการถวายภัตราหาร แด่ พระสงฆ์ และถวายเครื่องอุปโภค
ปริโภคที่จำเป็นในวัดพระธาตุนครศรีธรรมราช วัฒนธรรมของชาวไทยภาคใต้นั้น
การบูชาพระบรมธาตุนอกจากจะมีการแห่ผ้าและขึ้นห่ม
พระบรมธาตุในประเพณีประจำปีแล้วก็อาจกระทำในโอกาสอื่นๆ ได้เช่นกัน
ความเชื่อเกี่ยวกับการบูชาพระบรมธาตุ
นครศรีธรรมราช
จึงเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญให้เกิดบูรณาการทางวัฒนธรรมของสังคมท้องถิ่นได้ประการหนึ่งเพราะพระบรมธาตุคือส่วนที่คงอยู่อย่างเป็นรูปธรรมที่สุดจากบุคคลอันเป็นที่เคารพ(องค์พระพุทธเจ้า)
จึงนับเป็นสิ่งเคารพที่เข้าไปถึงจิตใจ และการยอมรับของคนที่เชื่อถือในสังคม
นอกจากนี้
ความเชื่อและประเพณีอันสืบเนื่องมาจากพระบรมธาตุ ในสังคมโบราณยังมีบทบาทต่อการสร้างความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม
และการเมืองระหว่างแคว้นต่อแคว้น หรือรัฐต่อรัฐ อีกด้วย เช่น
การที่กษัตริย์ทรงใช้วิธีเผยแพร่พุทธศาสนาเป็นสื่อในการเจริญสัมพันธ์ไมตรีระหว่างกัน
ทำให้การสร้างพระบรมธาตุเจดีย์
และการยอมรับประเพณีพิธีกรรมจากเมืองหนึ่งมาปฏิบัติ สร้างการยอมรับร่วมกันระหว่างชนชั้นปกครองและประชาชน
ด้วยเหตุนี้จึงมักพบรูปแบบทางศิลปกรรมของพระสถูปเจดีย์ที่มีอิทธิพลในเมืองต่าง
ๆ
ในตำนานพระบรมธาตุก็มีข้อความที่กล่าวถึงการรับเอาพระบรมธาตุจากลังกานับแต่พระบรมธาตุมาประดิษฐาน
ณ นครศรีธรรมราช ส่งผลให้นครศรีธรรมราชอยู่ในฐานะศูนย์กลางของหัวเมืองตอนใต้ในราวพุทธศตวรรษที่
18
เรื่องเล่าและตำนานพื้นบ้านทางพุทธศาสนากับศิลปะการแสดงในภาคใต้
อิทธิพลของเรื่องเล่าและตำนานพื้นบ้าน
เช่น ตำนานนางเลือดขาวที่มีต่อการตำนานมุขปาฐะของชาวภาคใต้
เป็นที่มาของศิลปะการแสดงละครรำของชาวใต้ที่สำคัญคือมโนรา หรือละครโนห์ราชาตรี
จากการศึกษาพบว่า
ที่มาทางประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมการรับอิทธิพลของการจัดแสดงละครรำประเภทนี้
ได้มาจาก ละครรำกถากลี ของชาวอินเดียใต้ที่เข้ามาในคาบสมุทรไทยราวพุทธศตวรรษที่
13–16 ซึ่งเป็นช่วงที่ อาณาจักรศรีวิชัยเจริญรุ่งเรือง
แต่นิยมเล่นเรื่องราวทางพุทธศาสนามหายาน เรื่องพระสุธน–นาง มโนห์รา
แทนเรื่องมหากาพย์รามายณะ และมหาภารตะอินเดีย
โดยรับอิทธิพลมาจากนกลันนา(อินเดียภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
ส่วนชื่อชาตรีนั้นมาจากลักษณะละครที่ร่อนเร่ไปแสดงตามที่ต่างๆ
ชาวอินเดียที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในภาคใต้ของไทย ซึ่งมีชาวอินเดียมาจากแคว้นเบงกอล
เรียกละครรูปแบบนี้ว่า ยาตรา ยาตรี(ภาษาสันสกฤต) ซึ่งสำเนียงเบงกอลีเรียกว่า ชาตรา
ชาตรี
ตำนานเมืองและตำนานพุทธศาสนา
จากการบันทึกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเมืองสำคัญและการบอกเล่าประวัติพุทธศาสนา
และการเผยแพร่พุทธศาสนาไปยังดินแดนตอนใต้ของไทย ส่วนใหญ่เป็นการเขียนบันทึกจากพระสงฆ์ในพุทธศาสนาหรือผู้รู้ที่ผ่านการบวชเรียน เพราะวัดในสังคมไทยในอดีตเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้อักษรศาสตร์และการศึกษาเล่าเรียนในแขนงนี้
ทำให้เกิดการสร้างนักปราชญ์ผู้รู้ที่มีทักษะการเรียนอักขระวิธี
ซึ่งเป็นภูมิรู้สำคัญในการเขียนหรือจดบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น