💥💥จับสองสามีภรรยา เครือข่ายค้ามนุษย์ปี
58 ฝังชาวโรฮิงญา 30 ศพ เปลี่ยนชื่อ-สกุล สัญชาติ กบดานเงียบ
เมื่อ
2 ก.ย. 65 พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะรอง ผอ.ศพดส.ตร.
พร้อมด้วยผู้แทนจากมูลนิธิ และ มูลนิธิ O.U.R. แถลงผลการจับกุมนายหม่อง
ถ่าน ทุน และนางราฮานา เจ๊ะสะมะแอ สองสามีภรรยา ผู้ต้องหาในคดีค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา
หลังเปลี่ยนสัญชาติหลบหนีไปกบดานประเทศเพื่อนบ้าน
โดยสามารถจับกุมทั้งคู่ได้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ริมถนนพระรามเก้า แขวงหัวหมาก
เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา
คดีนี้
สืบเนื่องจากเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2558
ตำรวจและทหารพบศพผู้เสียชีวิตและศพที่ถูกฝังไว้รวมกันกว่า 30 ศพ
บริเวณแคมป์คนงานกลางป่าบนเขาแก้ว ในพื้นที่หมู่ 8 บ้านตะโล๊ะ ต.ปาดังเบซาร์
อ.สะเดา จ.สงขลา จากการสืบสวนทราบว่า
ทั้งหมดเป็นศพของชาวโรฮิงญาที่ลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักร
และหลบซ่อนบริเวณค่ายกักกันดังกล่าว เพื่อรอส่งต่อไปยังประเทศที่สาม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงออกคำสั่งแต่งตั้งพนักงานสืบสวนสอบสวน
เพื่อติดตามและจับกุมผู้ต้องหา ซึ่งมีผู้ร่วมขบวนการทั้งทหาร ตำรวจ
และนักการเมืองท้องถิ่นจำนวนมาก
สำหรับนายหม่อง
ถ่าน ทุน สัญชาติเมียนมา หรือ นายซุลกิฟลี บิน อับดุลลาห์ (Mr.Zulkifli
Bin Abdullah) สัญชาติมาเลเซีย ถูกจับกุมตามหมายจับศาลจังหวัดนาทวี
ที่ 308/2558 ลง 22 มิ.ย.58 ความผิดฐาน สมคบและร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป
กระทำการอันเป็นการค้ามนุษย์โดยกระทำต่อบุคคลอายุไม่เกิน 15 ปี
ร่วมกันช่วยเหลือด้วยประการใดๆ
แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขัง
ผู้อื่นโดยทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และร่วมกันเรียกค่าไถ่
และหมายจับศาลจังหวัดนาทวี ที่ 477/2558 ลง 27 ส.ค.58 ความผิดฐาน
สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน
ส่วนนางราฮานา
เจ๊ะสะมะแอ อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 39/12 ซ.สุมาลี ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
หรือ นางโรฮานา บินติ มาต ซาอิด (Mrs.Rohano Binti Mat said) ตามหมายจับของศาลจังหวัดนาทวี ที่ 307/2558 ลง 22 มิ.ย.58 โดยกล่าวหาว่า
สมคบและร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป กระทำการอันเป็นการค้ามนุษย์โดยกระทำต่อบุคคลอายุไม่เกิน
15 ปี ร่วมกันช่วยเหลือด้วยประการใดๆ
แก่บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว กักขัง
ผู้อื่นโดยทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และร่วมกันเรียกค่าไถ่ และ หมายจับศาลจังหวัดนาทวี ที่ 476/2558 ลง 27
ส.ค.58 โดยกล่าวหาว่า สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน
ผู้ต้องหา
2 สามีภรรยา ได้เปลี่ยนชื่อ นามสกุล และใช้สัญชาติมาเลเซีย
พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักภายในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
ร่วมกับบุตรชายและบุตรสาว โดยประกอบอาชีพค้าขาย ทำธุรกิจออนไลน์
และทำธุรกิจทัวร์นำเที่ยวอยู่ในประเทศมาเลเซีย
โดยถือว่าผู้ต้องหาทั้งสองเป็นผู้ต้องหารายสำคัญที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องการตัวเป็นอย่างมาก
เนื่องจากเป็นผู้กระทำผิดระดับหัวหน้าขบวนการในการควบคุมสั่งการ ในการนำชาวโรฮิงญา
จากรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา ผ่านมายังประเทศไทย และส่งต่อไปยังประเทศมาเลเซีย
โดยเปิดบริษัทรถทัวร์โดยสารบังหน้า แล้วแอบขนชาวโรฮิงญา
จำนวนมากมาอย่างต่อเนื่องจนมีฐานะร่ำรวย ภายหลังทราบว่าถูกออกหมายจับ
จึงเดินทางหลบหนีไปยังประเทศมาเลเซีย และมาถูกจับกุมหลังเดินทางเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้ง
พล.ต.ท.สุรเชษฐ์
กล่าวว่า คดีนี้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้ดำเนินการออกหมายจับผู้ต้องหารวมทั้งสิ้น
153 ราย จับกุมแล้ว 124 ราย เสียชีวิต 3 ราย หลบหนี 26 ราย
แบ่งเป็นหมายจับมีคุณภาพ 17 ราย และไม่มีคุณภาพ 9 ราย
ผู้ต้องหาที่เหลืออยู่เป็นระดับลูกน้องจำนวน 15 หมายจับ
อยู่ระหว่างเร่งติดตามตัวซึ่งหลบหนีไปมาระหว่างไทยและตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน
“คดีค้ามนุษย์คดีนี้ถือเป็นคดีที่มีความสำคัญ มีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเป็นจำนวนมากกว่า 150 ราย เครือข่ายผู้กระทำผิดในคดีนี้มีความเชื่อมโยงกันระหว่าง บุคคลในแวดวงข้าราชการ ตำรวจ ทหาร นักการเมือง ซึ่งใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาประโยชน์กับขบวนการค้ามนุษย์และแรงงานเถื่อน โดยการดำเนินคดีในครั้งนี้ ได้มีการกำชับคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนให้กระทำอย่างรอบคอบ รวบรวมพยานหลักฐานให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด รวมทั้งให้ติดตามจับกุมผู้ต้องหาในเครือข่ายดังกล่าวทั้งที่อยู่ในประเทศ และหลบหนีออกไปยังต่างประเทศ ดังนั้น ผู้กระทำผิดเกี่ยวกับคดีค้ามนุษย์ เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ เครือข่ายลักลอบขนแรงงานต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร กลุ่มผู้กระทำผิดเหล่านี้จะต้องถูกดำเนินคดีโดยเด็ดขาดทั้งหมด ไม่มีข้อยกเว้น รวมทั้งจะมีการตรวจค้นเพื่อยึดอายัดทรัพย์ เพื่อไม่ให้สามารถกลับมากระทำผิดซ้ำได้อีก” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น