การสร้างชุมชนเข้มแข็งเป็นหนึ่งในนโยบายและยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
นอกจากความเข้มแข็งของกองกำลังภาคประชาชนในการป้องกันตนเองแล้วความเข้มแข็งจากภายในอันเกิดความมีคุณธรรมประชาชนยึดมั่นและปฏิบัติตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัดเป็นแนวทางหนึ่งที่กองอำนวยนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค
๔ ส่วนหน้า นำมาขับเคลื่อนเพื่อจัดตั้ง “กำปงตักวา”ชุมชนสันติสุขตามวิถีทางของศาสนา
ซึ่งเป็นความต้องการของผู้นำศาสนาและประชาชนในพื้นที่
อันจะนำมาซึ่งความสงบสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้และความมั่นคงของประเทศชาติอย่างยั่งยืน
แนวคิดเรื่องกำปงตักวาเกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๕๐
และได้เริ่มอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๖ ซึ่งได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อกำหนดกลยุทธการดำเนินการ พร้อมจัดทำแผนงานที่มีชื่อว่า “แผนการสนับสนุนผู้ทรงคุณวุฒิทางศาสนาประจำปี
๒๕๕๖” เป็นแผนงานหนึ่งของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค
๔ ส่วนหน้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งกำปงตักวาให้เป็นรูปธรรม
พร้อมกำหนดกลยุทธในการดำเนินการตามขั้นตอน รวมทั้งกำหนดองค์ประกอบต่างๆ
ของกำปงตักวา อันได้แก่ องค์ประกอบด้านความศรัทธา องค์ประกอบด้านบริหารชุมชน
และองค์ประกอบด้านการควบคุมชุมชน
เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนและจัดตั้งได้อย่างเป็นรูปธรรม สามารถอธิบายได้ดังนี้
องค์ประกอบที่สำคัญประการที่ ๑ องค์ประกอบด้านความศรัทธา
อาศัยกลยุทธการกล่อมเกลา
ปลูกฝังความศรัทธาให้กับสมาชิกสังคมตั้งแต่เด็กแรกเกิดโดยบิดามารดา
เติบโตสู่การเป็นยุวชนเข้ารับการฝึกอ่านกุรอาน “กีรออาตี”
เข้าเรียนโรงเรียนตาดีกาตามลำดับ และเมื่อเป็นผู้ใหญ่ก็เรียนกีตาป
หรือฟังธรรมบรรยายธรรมประจำสัปดาห์ตามมัสยิดในทุกวันศุกร์
ได้เป็นไปตามหลักศาสนาซึ่งกำหนดไว้ว่า
การศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต
ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีอยู่ในชุมชนมุสลิมทั่วไป
อันเป็นต้นทุนความศรัทธาที่มีมาตั้งแต่อดีต
องค์ประกอบประการที่ ๒ คือ องค์ประกอบด้านการบริหารจัดการชุมชน
อาศัยกลยุทธสร้างความเข็มแข็งให้กับคณะกรรมการหมู่บ้าน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้นำสี่เสาหลัก ผู้ทรงความรู้ด้านศาสนา
และจัดตั้งสภาซูรอมีหน้าที่บริหารจัดการและควบคุมการดำเนินการขององค์กรต่าง ๆ
ให้เป็นไปตามกฎกติกาชุม “ฮูกมปากัต” และที่สำคัญคือ มีการแบ่งเขตพื้นที่เป็น “เขตบ้าน”
ซึ่งกำหนดเขตตามความเป็นเครือญาติ หรือตามภูมิประเทศ
หรือตามจำนวนครัวเรือนที่เหมาะสม ทั้งนี้เพื่อให้สามารถดูแลด้านต่างๆ อย่างทั่วถึง
และสามารถควบคุมสมาชิกชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
องค์ประกอบประการที่ ๓ คือ
องค์ประกอบในการควบคุมชุมชน ได้แก่ กฎระเบียบชุมชนหรือ “ฮูกมปากัต”
ซึ่งผ่านการปรึกษาหารือร่วมกันของคณะกรรมการต่างๆ และผ่านการวินิจฉัยจากผู้ทรงความรู้ทางศาสนาหรือ
“สภาซูรอ” ที่เป็นไปตามหลักศาสนา
วัฒนธรรม และสอดคล้องกับกฎหมายบ้านเมือง อีกทั้งมีการกำหนดมาตรการ
การลงโทษทางสังคมสำหรับยึดถือปฏิบัติร่วมกัน
มัสยิดบ้านเหนือ ตำบลคูเต่า อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
เป็นชุมชนหนึ่งที่เป็นแบบอย่าง ซึ่งมีองค์ประกอบต่างๆ
โดยอาศัยมัสยิดเป็นศูนย์กลางซึ่งมีการกำหนดกฎเกณฑ์ชุมชน “ฮูกมปากัต”
ที่ออกมาในรูปแบบของระเบียบมัสยิดที่มีชื่อว่า “ระเบียบบริหารมัสยิดบ้านเหนือ พ.ศ.๒๕๔๘/ฮ.ศ.๑๔๒๖” โดยนำหลักศาสนาผสมผสานกับระเบียบและธรรมเนียมราชการ
รวมทั้งวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นมาเป็นกรอบ ซึ่งเป็นเสมือนธรรมนูญชุมชน
ครอบคลุมการบริหารจัดการทั้งด้านบุคคล สังคม ทรัพยากร โดยอาศัยองค์ประกอบสำคัญ ๓
ประการดังกล่าว คือ ความศรัทธา การบริหาร และกฎกติกาชุมชนเป็นเครื่องมือ
กิจการที่เกิดขึ้นในชุมชนอันเป็นผลจากระเบียบดังกล่าว ได้แก่ การกำหนดให้เด็กเล็กฝึกอ่านกุรอาน
(กีรออาตี) เยาวชนต้องศึกษาตาดีกาในวันเสาร์อาทิตย์ คนวัยหนุ่มต้องเข้ามัสยิด
ผู้ใหญ่ต้องเรียนกีตาป ฟังบรรยายธรรมในทุกวันศุกร์ เพื่อปลูกฝังความศรัทธา
สร้างความเข้มแข็งด้านศีลธรรม องค์ประกอบด้านความศรัทธาของชุมชน
ส่วนด้านสังคม มีการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการต่างๆ เช่นเดียวกับชุมชนทั่วไป
คือ สหกรณ์ กลุ่มออมทรัพย์ และอื่นๆ
และที่สำคัญคือการออกซากาดทรัพย์สินตามหลักศาสนาสำหรับผู้ที่มีทรัพย์สินตามเกณฑ์ที่กำหนด
อันเป็นซากาดที่นอกเหนือจากที่กำหนดสำหรับบุคคลทั่วไป นอกจากนี้มีกิจกรรมสันทนาการร่วมดื่มน้ำชาเพื่อบริจาคเงินเข้ากองทุนมัสยิด และนำเงินซึ่งเป็นทรัพย์สินทั้งหมดนำไปใช้ในด้านต่างๆ
โดยการบริหารจัดการเป็นไปตามหลักศาสนาอิสลามคือ “ฮาลาล”
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในวิถีของสังคมมุสลิม
นอกจากชุมชนมัสยิดบ้านเหนือ ซึ่งถือเป็นโมเดลของกำปงตักวาแล้ว
ปัจจุบันกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า
ได้ขับเคลื่อนขยายผลไปยังชุมชนอื่นๆ ตามแผนงานที่กำหนด
โดยได้จัดโครงการนำผู้นำศาสนาจากพื้นที่ต่างๆ ไปศึกษา
และร่วมเสวนาเพื่อนำแนวทางมาจัดตั้งในชุมชนของตนเอง
ซึ่งขณะนี้ได้ขยายผลและจัดตั้งกำปงตักวาเพิ่มเติมไปแล้วหลายหมู่บ้าน
และยังคงขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ พลโท ปราการ
ชลยุทธ แม่ทัพภาคที่ ๔ /ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔
ได้เดินทางไปที่มัสยิดอัลฮีดายะห์บ้านบือแนยือราโมง หมู่ ๔ ตำบล รือเสาะออก
อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส พร้อมด้วย นายณัฐพงศ์ ศิริชนะ
ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส และนายซาฟีอี เจ๊ะเลาะ
ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส
ร่วมเป็นประธานเปิดเวทีชาวบ้านที่จะนำไปสู่การจัดตั้งกำปงตักวา ซึ่งแม่ทัพภาคที่
๔/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค ๔ ผู้นำศาสนา
รวมทั้งประธานคณะกรรมการอิสลามทั้ง ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่างให้ความร่วมมือ
และเชื่อว่าแนวทางกำปงตักวาเป็นหนทางที่จะสร้างสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างยั่งยืน
กำปงตักวา
เป็นชุมชนที่มีการบริหารจัดการตนเองทั้งด้าน สังคม เศรษฐกิจ ที่เป็นไปตามหลักศาสนา
และตรงตามความต้องการของประชาชน
ตรงตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
ข้อที่ ๑๗ คือ “ประชาชนในพื้นที่ปฏิบัติตามประเพณีและศาสนา
เป็พพลังสร้างสรรค์สังคม เป็นที่ยอมรับของสังคมทั้งภายนอกและภายใน
และเกิดความภาคภูมิใจในความเป็นพลเมืองไทย”
สอดคล้องตามหลักการปกครองส่วนท้องถิ่นที่ให้สิทธิอำนาจในการบริหารตนเองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
และทรงเป็นศาสนูปถัมภกทุกศาสนา
ปัญหาการก่อเหตุรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนหนึ่งมาจากการนำเชื้อชาติ
ศาสนาและประวัติศาสตร์มาบิดเบือนในลักษณะที่ว่า ชาวมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ถูกกีดกันสิทธิด้านศาสนา
และไม่ได้รับความเป็นธรรม เข้าหลักเกณฑ์การทำการญิฮาด
ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ต้องต่อสู้เพื่อสถาปนาดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนอิสลามอันบริสุทธิ์
ฉะนั้นการขับเคลื่อนจัดตั้งกำปงตักวา
การสร้างชุมชนที่ดำเนินวิถีตามหลักศาสนาจึงเป็นการตอบสนองความต้องการดังกล่าวโดยไม่ต้องมีการต่อสู้
และเป็นการขจัดข้ออ้างในการก่อเหตุ นำไปสู่การยุติสถานการณ์
สร้างความสันติสุขให้เกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างยั่งยืน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น