ความพยายามในการหยิบยกเงื่อนไข
เรื่องประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ และอัตลักษณ์มาบิดเบือน เป็นเพียงการหลอกลวงให้ประชาชน
ต้องตกเป็นเหยื่อของกลุ่มคนที่ต้องการอำนาจ
แต่ขาดอุดมการณ์เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
สถานการณ์ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ กระทั่งปัจจุบันได้สร้างความสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพย์สิน
สูญเสียโอกาสในการดำรงชีวิตและการพัฒนาในทุกรูปแบบ ส่งผลกระทบทั้งทางตรง และทางอ้อมต่อวิถีชีวิต
เศรษฐกิจ และสังคม อย่างกว้างขวาง
ซึ่งความสูญเสียดังกล่าวล้วนเกิดจากการกระทำอย่างโหดเหี้ยมของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง
ซึ่งมีความสุดโต่งทั้งแนวความคิด และการกระทำอย่างไร้มนุษยธรรม รวมทั้งได้ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์
ที่ต้องตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ ต้องสังเวยชีวิตและบาดเจ็บทุพพลภาพกว่า ๑๐,๐๐๐
ชีวิต ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ ล้วนแต่มีสิทธิที่จะมีชีวิต และลมหายใจ ณ
ดินแดนปลายด้ามขวานทองของไทยแห่งนี้
ความพยายามในการหยิบยกเงื่อนไขเรื่องประวัติศาสตร์ชาติพันธ์ุ
และอัตลักษณ์ มาบิดเบือน เป็นเพียงการหลอกลวงให้ประชาชน ต้องตกเป็นเหยื่อของกลุ่มคนที่ต้องการอำนาจ
แต่ขาดอุดมการณ์ เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง เพราะสิ่งที่ผู้ก่อเหตุรุนแรงพยายามดำเนินการมาตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา
คือ การข่มขู่ ขู่เข็ญ คุกคาม และทำร้ายพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้ตกอยู่ในความหวาดกลัวและยอมจำนน
พร้อมทั้งได้สร้างสถานการณ์ความขัดแย้งให้เกิดความหวาดระแวงต่อกันของพี่น้องชาวไทย
ที่ต่างกันเพียงแค่ความเชื่อทางศาสนา ทำให้สังคมพหุวัฒนธรรม อันงดงามแห่งนี้เกิดมลทิน
และรอยร้าว
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค
๔ ส่วนหน้า เป็นหน่วยงานหลักในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
ตามกรอบยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน
ด้วยการน้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา และหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
มาเป็นยุทธศาสตร์หลักในการแก้ไขปัญหา โดยใช้นโยบายสานใจสู่สันติ
ตามแนวทางการเมืองนำการทหาร
มาใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการปฏิบัติงาน และจากการทุ่มเทการปฏิบัติงานเพื่อนำสันติสุข
กลับคืนสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์ในพื้นที่มีความคืบหน้า
และพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นตามลำดับ
ทั้งนี้
มีปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ คือ การนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพทั้งในเรื่อง
การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และการจัดการกับปัญหาภัยแทรกซ้อนทำให้สภาพแวดล้อมมีความปลอดภัย
ประชาชนมีความเชื่อมั่น ศรัทธาในอำนาจรัฐ และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติมากขึ้น
การพัฒนาคุณภาพชีวิตและโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ประชาชนมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น
และช่องว่างทางสังคมลดน้อยลง การอำนวยความยุติธรรม
ด้วยการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม มุ่งเน้นการสร้างความเป็นธรรมในความรู้สึก
ทั้งการช่วยเหลือเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งการอำนวยความ
สะดวกในการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ทำให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
มากขึ้น
โดยได้มุ่งเน้นในเรื่อง การเสริมสร้างความเข้าใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนกลุ่มเสี่ยง และผู้ที่มีความเห็นต่างจากรัฐ
ให้เข้าใจในนโยบายและความจริงใจของภาครัฐในการแก้ไขปัญหา ทำให้สามารถขจัดเงื่อนไขที่ถูกบิดเบือน
และนำมาใช้เป็นพลังในการต่อสู้ ทั้งในเรื่องเงื่อนไขประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ และอัตลักษณ์
ควบคู่ไปกับการให้ความเคารพในหลักสิทธิมนุษยชน
และไม่ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเคร่งครัด
ทำให้ไม่มีกรณีร้องเรียนจากการละเมิดสิทธิ
มนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
และไม่มีประเด็นสำคัญที่จะถูกยกระดับเข้าสู่เวทีสากล
นอกจากนี้ยังได้ขับเคลื่อน
กระบวนการสร้างสันติภาพ ด้วยการ
สร้างสภาวะแวดล้อมที่เกื้อกูลต่อการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งอย่างสันติวิธี
เพื่อเปิดพื้นที่ให้บุคคลที่มีความเห็นต่างจากรัฐ ได้เข้ามาพูดคุยแสดงความคิดเห็น
และมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาด้วยการยุติการใช้ความรุนแรง รวมทั้งการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า
ที่ได้รับผลกระทบจาก
เหตุการณ์ความไม่สงบเดินทางกลับมาใช้ชีวิตในสังคมและครอบครัวอย่างปกติสุข
ผลจากการดำเนินการตามนโยบายและยุทธศาสตร์
สามารถเสริมสร้างความเข้าใจกับกลุ่มบุคคลที่มีความเห็นต่างจากรัฐ
เข้าร่วมประกาศจุดยืนเพื่อต่อสู้ในเชิงสันติซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ดีต่อกลุ่มอื่น
ๆ ที่มีอุดมการณ์เพื่อประชาชนได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดในการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง
โดยยุติการใช้ความรุนแรงในการต่อสู้ ซึ่งสิ่งสำคัญของการแก้ปัญหาคือ “การให้เกียรติ
การทำความเข้าใจและการเปิดพื้นที่มาพูดคุยกัน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความเห็นต่างจากรัฐ
มีช่องทางร่วมแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะพวกเขามิใช่อาชญากรโดยสันดาน แต่อาชญากรรมที่เกิดขึ้นมาจากอุดมการณ์ในการต่อสู้ที่ถูกปลูกฝังผิด
ๆ มาอย่างยาวนาน ทั้งเงื่อนไข
ประวัติศาสตร์
ชาติพันธุ์ และอัตลักษณ์ ดังนั้น การเปิดพื้นที่ประชาธิปไตยจะสามารถแสวงหา
ทางออกจากความขัดแย้งอย่างสันติวิธี
ที่จะนำไปสู่ความสงบสุขได้อย่างแท้จริง” จึงเห็น
ได้ว่าการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีอุดมการณ์ต่างจากรัฐให้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
จะนำไปสู่พื้นฐานสำคัญในการอยู่ร่วมกันภายใต้มิติของความหลากหลายในรูปแบบของสังคมพหุวัฒนธรรม
ภายใต้
หลักพื้นฐานทางความคิดที่สำคัญคือ
“การยอมรับความเห็นต่างที่ไม่ใช้ความรุนแรง” นี่คือหัวใจสำคัญที่เป็นแก่นแท้ของ
นโยบาย สานใจสู่สันติ ซึ่งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้าภายใต้ การนำของ
แม่ทัพภาคที่ ๔/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ได้นำมาใช้เป็นแนวทาง
ในการแก้ไขปัญหา ภายใต้เจตนารมณ์ที่ว่า
“ผมรับรู้และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของพี่น้องประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่ผมเคารพและยอมรับในความคิดเห็นของทุก ๆฝ่าย กระทั่งผู้ที่มีความคิดเห็นที่แตกต่าง
แต่ผมรับไม่ได้กับการใช้ความรุนแรงกับพี่น้องประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง
ซึ่งต้องกลายเป็นเหยื่อของความรุนแรง
ดังนั้น
ผมตั้งใจและมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ที่จะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการที่จะทำให้วิถีชีวิตของพี่น้องประชาชนมีความปกติสุขให้ได้”ทั้งนี้
เพื่อให้สามารถบรรลุผลและ
ตอบสนองต่อแนวทางแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อนำพาวิถีชีวิตของประชาชนสู่ความเป็นปกติ เกิดความปรองดองสมานฉันท์
สามารถอยู่ร่วมกันได้ภายใต้มิติ ของความหลากหลาย ทั้งเชื้อชาติ ศาสนาวัฒนธรรม นำพาสันติสุขคืนสู่พื้นที่ภาคใต้
ให้กลับกลายเป็น ขวานทองด้ามเพชร ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงคำกล่าวของผู้ที่ออกมาแสดงตนเพื่อต่อสู้ตามแนวทางสันติวิธี“ความคิดการกระทำของพวกเราทุกอย่างไม่ได้แสดงชัดเจนให้เห็นว่า
ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ประโยชน์ ยังทำให้พวกเขาเหล่านั้นลำบากขึ้นมันเลวร้ายกว่าที่เราคาดไว้ว่าจะดี
ขึ้น
มันไม่ใช่อย่างที่เราวางไว้ เราเลยตัดสินใจว่าเราต้องเลิก
เราต้องหาทางอื่นแก้ไขโดยไม่ใช้ความรุนแรงเพราะเราเห็นชัดเจนแล้วว่า
ความรุนแรงมันไม่เกิดประโยชน์ทั้งตัวเราเองและคนรอบข้าง”
ผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินการที่ผ่านมา
ได้รับการตอบรับจากทุกภาคส่วนอย่างกว้างขวาง
ทั้งผู้ที่เคยมีความเห็นต่างจากรัฐที่ได้ออกมาพูดคุย
เพื่อร่วมแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งมากขึ้น ในขณะที่กระแสปฏิเสธความรุนแรง
และประณามการใช้ความรุนแรงของทุกภาคส่วน รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศมีมากขึ้นเรื่อย
ๆ เฉกเช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ว่าการกระทำของผู้ก่อเหตุรุนแรงไม่เป็นไปตามบทบัญญัติศาสนาเพราะการฆ่าผู้บริสุทธิ์หนึ่งคนเท่ากับ
เป็นการฆ่ามวลมนุษย์ทั้งโลกคำกล่าวของผู้นำศาสนานายแวดือราแม
มะมิงจิ ประธาน
คณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี
กล่าวว่า “ถ้าไปถามทุกศาสนิก ทุกศาสนา ก็ต่อต้านในการ
ใช้ความรุนแรง
การใช้ความรุนแรงจะกระทบในหลายเรื่อง ทั้งในด้านจิตใจและอื่น ๆ
โดยเฉพาะในความสุดโต่ง ในศาสนาอิสลามก็ห้ามแล้ว ตามหลักสากลแล้ว
ทุกคนก็ไม่สนับสนุนและต่อต้านการต่อสู้ด้วยวิธีรุนแรงทุกรูปแบบ”คำกล่าวของผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์
คนที่ ๑
“ไม่ได้อะไรเลยจากการต่อสู้ด้วยวิธีรุนแรง
มีแต่ความสูญเสียอย่างเดียว และมีความเสียใจ
แต่ละบุคคลที่เสียชีวิตไป
บางคนมีครอบครัว มีลูกเล็ก ๆ ที่จะต้องเลี้ยงดู เมื่อสูญเสียไปแล้วเขาจะ
อยู่อย่างไร
ขอร้องเถอะค่ะ ไม่ใช่ครอบครัวคุณ คุณไม่รู้หรอก ขอร้องเถอะนะคะ”
คำกล่าวของผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์
คนที่ ๒“ผู้ก่อการร้ายที่ทำให้พี่น้อง
ของเรา
ทั้งไทยพุทธ ไทยมุสลิม ซึ่งทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมเราก็เป็นคนไทยด้วยกัน ถ้าเราอยู่ในอดีตภาคใต้ของเราอยู่กันอย่างสงบสุขเป็นพี่เป็นน้อง
แต่ตอนนี้เพราะพวกคุณผู้ก่อเหตุรุนแรง ผู้ที่เบี่ยงเบนศาสนา
ซึ่งมันไม่เป็นความจริงอย่างที่คุณเข้าใจ แต่ก็ทำร้ายพี่น้องของเรากันเองซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน”คำกล่าวของผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์
คนที่ ๓“ขอผู้ก่อการร้ายเลิกการกระทำที่ร้าย ๆ แบบนี้ด้วยค่ะ”
พูดด้วยเสียงสั่นเครือและร้องไห้อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กอง
อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค
๔ ส่วนหน้า ได้ตระหนักมาโดยตลอด
คือการมุ่งเน้นให้เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องปฏิบัติอยู่ภายใต้กฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชนเป็นสำคัญ
จึงจำเป็นจะต้องปฏิบัติด้วยความรอบคอบ
ไม่ให้ผิดกฎหมายและต้องเคารพต่อหลักสิทธิมนุษยชนของทุกฝ่าย
ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ก่อเหตุรุนแรง เพราะถูกปลูกฝังอบรมให้มีความเข้าใจตรงกันว่า
ผู้ที่ก่อเหตุรุนแรงก็มีสิทธิเสรีภาพในการมีชีวิตอยู่ต่อไป และมีสิทธิเสรีภาพในการ
ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมเช่นเดียวกันกับประชาชนทั่วไป
เพียงแต่แนวทางในการต่อสู้นั้น
จะต้องไม่ลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นด้วยเช่นกัน ดังนั้น
แนวทางการต่อสู้จะต้องเป็นไปด้วยสันติวิธี ไม่ทำร้ายหรือทำลายชีวิต
และทรัพย์สินของบุคคลอื่น ด้วยการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม
เคารพในหลักสิทธิมนุษยชน มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาในจังหวัด
ชายแดนภาคใต้มาโดยลำดับ
ผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานดังกล่าวนี้สามารถสร้างความเข้าใจให้แก่พี่น้องประชาชนได้เป็นอย่างดีแต่สำหรับผู้ก่อเหตุรุนแรง
ซึ่งยังไม่ยอมรับความปรารถนาดีที่ภาครัฐหยิบยื่นให้
ภาครัฐเองก็ยังไม่ละความพยายามที่จะสร้างความเข้าใจกันต่อไป
การเกิดเหตุร้ายตลอด
๙ ปีเต็มที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ประจักษ์แล้วว่าไม่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย
ก่อให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติบ้านเมืองประชาชนในพื้นที่ ที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่ปกติสุขขาดโอกาสในการพัฒนา
ทั้งด้านการศึกษา ด้านการประกอบ
อาชีพ
ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม อย่างที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน ท่ามกลางความทุกข์ยาก
ลำบากเหล่านี้
นอกจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐซึ่งจะต้องแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังแล้ว
ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
คงถึงเวลาแล้วที่พี่น้องประชาชนทุกคนก็จะต้องมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา
และกล้าที่จะปฏิเสธการก่อเหตุรุนแรงในทุกโอกาสอย่างเปิดเผย
เพื่อกดดันให้ผู้ก่อเหตุวางอาวุธ ยุติการก่อเหตุรุนแรง
หันมาต่อสู้กับภาครัฐด้วยสันติวิธี ภาครัฐเองเปิดโอกาสให้ผู้ก่อเหตุรุนแรงทุกคนออกมาพูดคุยเพื่อหาทางยุติปัญหา
ซึ่งมีผู้ที่มีส่วนร่วมในการก่อเหตุรุนแรงส่วนหนึ่งได้ใช้โอกาสนี้แล้วส่วนผู้ที่พยายามต่อสู้ด้วยวิธีการที่รุนแรงต่อไป
ขอตั้งคำถามว่า การก่อเหตุรุนแรงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายผิดหลักศาสนา
ไม่เคารพต่อชีวิตและทรัพย์สินของบุคคลอื่นหรือไม่
...เป็นวิธีการสร้างความชอบธรรมให้แก่ตนเองได้หรือไม่...ถ้ายังกระทำการอยู่ต่อไป
จะไม่มีโอกาสได้รับชัยชนะในการต่อสู้อีกเลยแต่ถ้าหันมาต่อสู้ด้วยสันติวิธี
โอกาสแห่งชัยชนะย่อมเปิดกว้างสำหรับทุกคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น