โลกเราปัจจุบันกำลังดำเนินไปในทิศทางที่แปลกๆ
ท่านจะเห็นโลกที่เต็มไปด้วยการทำลายล้างและใช้ความรุนแรง
และความสามารถพิเศษของความรุนแรง ก็คือการสร้างความเกลียดกลัวระหว่างผู้คน
แต่ฉันคือผู้ที่มีความเชื่อในสันติวิธี
และขอพูดว่าสันติภาพและความสงบสุขจะเกิดขึ้นไม่ได้ในหมู่มวลมนุษย์บนโลกนี้ จนกว่าสันติวิธีจะได้รับการปฏิบัติ
ทั้งนี้เพราะว่าสันติวิธี คือความรักและช่วยกระตุ้นความกล้าหาญให้กับผู้คน...
บทความนี้พยายามมุ่งทบทวนแนวคิดทฤษฎี
ตลอดจนคำสอนเชิงคุณค่าของศาสนาอิสลาม
เกี่ยวกับการสร้างสันติภาพและสันติวิธีในวิถีอิสลาม Mohammed
Abu-Nimer[2] (2003; 2008)
ได้สังเคราะห์งานเขียนเกี่ยวกับความรุนแรง สันติวิธีและการสร้างสันติภาพในทัศนะอิสลามไว้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์
โดยทำการศึกษาจากนักวิชาการทั้งที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม
และได้สรุปเป็นกรอบคิดทฤษฎีเกี่ยวกับหลักการสร้างสันติภาพ และสันติวิธีในมุมมองของศาสนาอิสลาม
ดังนั้น บทความนี้ จึงแบ่งออกเป็นประเด็นต่างๆ ดังนี้
ก่อนที่จะนำเสนอหลักการพื้นฐานของอิสลามที่เชื่อมโยงกับการจัดการความขัดแย้งและแนวทางสันติวิธี จำเป็นที่เราจะต้องทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะ และนิยามความหมายของการสร้างสันติภาพและสันติวิธีในทัศนะอิสลาม
รวมทั้งสมมติฐานที่อธิบายโดยนักวิชาการ และนักปฏิบัติการสันติวิธีทั้งหลาย คือ
ประการแรก
ต้องเข้าใจอย่างชัดเจนถึงศักยภาพของศาสนาอิสลามว่าอุดมด้วยเมล็ดพันธุ์มากมาย ในการจัดการความขัดแย้งทางสังคม
และทางการเมืองได้อย่างสันติ
ในคัมภีร์และคำสอนของศาสนาตลอดจนจริยวัตรของท่านนบีมุฮัมหมัด(ซ.ล.)
ในยุคต้นของอิสลามเป็นแหล่งบรรจุคุณค่า ความเชื่อ
และยุทธวิธีมากมายในการสนับสนุนการแก้ไขความขัดแย้งด้วยวิถีทางตามแนวสันติวิธี
และมีอิทธิพลทางอุดมการณ์ความคิดเป็นแบบอย่างให้มุสลิมได้ยึดถือดำเนินต่อมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลายาวนาน
ดังมีตัวอย่างการสร้างสันติภาพและใช้สันติวิธีในวิถีอิสลามจนเป็นที่ประจักษ์ชัดมากมายในหลายๆ
สังคม
ประการที่สอง
การทำความเข้าใจการสร้างสันติภาพ และสันติวิธี ในวิถีอิสลาม
นักวิชาการและนักปฏิบัติการสันติภาพ มุสลิมจำเป็นต้องทบทวน และประเมินความเข้าใจอิสลาม
ในท่ามกลางบริบทของความหลากหลายในช่วงประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ต้องตระหนักว่าในคำสอนของอิสลามนั้น มีการตีความอย่างแตกต่างหลากหลายในหมู่นักวิชาการมุสลิมตามแต่ละประเทศ
วัฒนธรรมและสำนักคิด
ดังนั้น
ความรู้และการตีความไม่ควรถูกมองว่า เป็นเพียงความเข้าใจของกลุ่มชนชั้นนำกลุ่มเล็กๆ
ซึ่งไม่ได้สลักสำคัญแต่ประการใด
หากการตีความและแบบแผนทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพ และสันติวิธีเหล่านั้น
ย่อมมีความสำคัญในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและเข้าถึงความหมายของอิสลามอย่างแท้จริง
ประการที่สาม มีมุสลิมจำนวนมาก
ยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม
รวมทั้งการเข้าถึงความหมายที่เกี่ยวโยงกับการแปรเปลี่ยนความขัดแย้งโดยสันติวิธี ผ่านคุณค่าคำสอนเกี่ยวกับสันติภาพ
นักวิจัยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ที่สนใจประเด็นอิสลามกับความขัดแย้ง ไม่เพียงแต่เป็นพวกนักบูรพคดีศึกษา
หรือแม้แต่นักวิชาการมุสลิมเองก็พุ่งเป้าการศึกษาไปที่การทำสงคราม
การใช้ความรุนแรง อำนาจ และระบบการเมืองหรือกฎหมาย มุมมองเหล่านี้
ทำให้แนวการศึกษาอิสลามออกมาในด้านลบ โดยเฉพาะในหมู่นักวิชาการจากโลกตะวันตก
ประการที่สี่
ถึงแม้ว่าอิสลามมีคำสอน และการปฏิบัติอันหลากหลายเกี่ยวกับความขัดแย้งและการสร้างสันติภาพ
แต่คำสอนที่ถูกนำไปใช้จริงนั้นย่อมขึ้นกับความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความขัดแย้ง
เช่น เป็นความขัดแย้งในระดับใด ระดับบุคคล ครอบครัว หรือชุมชน
เป็นความขัดแย้งระหว่างมุสลิมด้วยกัน หรือกับคนที่ไม่ใช่มุสลิม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม
คำสอนอิสลามได้เป็นแหล่งคุณค่าของการสร้างสันติภาพ และหากได้มีการประยุกต์ให้เป็นไปอย่างมีระบบและต่อเนื่องแล้วย่อมสามารถช่วยจัดการความขัดแย้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในแทบทุกรูปแบบและทุกระดับ ดังเช่น คุณค่าเกี่ยวกับความยุติธรรม (adl) คุณธรรมความดีงาม (ihsan), และการใช้วิทยปัญญา (hikmah)
ล้วนเป็นคุณค่าสากลที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของกรอบคิดและยุทธวิธีในการสร้างสันติภาพ
การขยายการตระหนักรู้และข้อสมมุติฐานทั้ง
4
ประการข้างต้นในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการสร้างสันติภาพและสันติวิธีในวิถีอิสลามสามารถช่วยนักวิจัยที่สนใจทั้งผู้เป็นมุสลิม
และไม่ใช่มุสลิมในการเพิ่มพูนความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิดและการปฏิบัติของสันติวิธี
การสร้างสันติภาพ กับประเพณีวัฒนธรรมและศาสนาอิสลาม นอกจากนั้น สิ่งสำคัญคือ
การตระหนักดังกล่าวจะสามารถช่วยลดภาพลบของสังคมมุสลิม และศาสนาอิสลามทั้งในแวดวงสาธารณะโดยทั่วไปตลอดจนในแวดวงวิชาการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การช่วยขจัดการเหมารวมเกี่ยวกับวิธีคิด ความเชื่อ
และชีวิตความเป็นอยู่ตามวิถีอิสลาม
และประการสุดท้าย
การคำนึงถึงข้อสมมุติฐานเหล่านี้ จะช่วยให้นักวิจัยก้าวพ้นการสรุปอย่างลวกๆ
ในการตีความในคำสอนของอิสลามในคัมภีร์อัล-กุรอ่าน และจากแบบอย่างคำสอนและการปฏิบัติของท่านนบีมุฮัมหมัด
(ซ.ล.) หรือ อัสซุนนะฮ์ โดยไม่ได้คำนึงถึงบริบทแวดล้อมทั้งทางประวัติศาสตร์ สังคม
การเมือง
ตลอดจนแรงกดดันทางวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลต่อชีวิตผู้คนทั้งผู้เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม
การศึกษาเกี่ยวกับสงครามและการญิฮาด
เป็นที่น่าเสียดายที่งานศึกษาในยุคปัจจุบัน
เกี่ยวกับสงครามและการญิฮาดได้พยายามสร้างสมมุติฐานว่า ศาสนาอิสลามมีลักษณะเฉพาะที่เอื้อต่อการยอมรับในการทำสงคราม
และการใช้ความรุนแรงในการจัดการความขัดแย้ง
นักวิชาการบางท่านในกลุ่มนี้ได้โต้แย้งว่า อิสลามเป็นศาสนาแห่ง “สงคราม”
และความรุนแรงเป็นหลักการพื้นฐานในประเพณีศาสนาอิสลาม
นักวิชาการในกลุ่มนี้ทุกคนเห็นว่าการไม่ใช้ความรุนแรงหรือสันติวิธีนั้นเป็นแนวคิดที่ห่างไกลจากหลักคำสอนอิสลาม
นักวิชาการกลุ่มนี้มักสรุปอย่างเกินจริง
และตกอยู่ในกับดักแนวคิดหลักการ “ญิฮาด” ในอิสลาม โดยอ้างว่าการญิฮาดด้วยการใช้ความรุนแรง
เป็นวิธีการสำคัญสำหรับมุสลิมในการสถาปนาความแตกต่างทั้งภายในและภายนอก
นักวิชาการรวมทั้งนักกำหนดนโยบายในกลุ่มนี้ จึงติดกรอบการใช้มุมมองการญิฮาดในการอธิบายเติบโตของกลุ่มขบวนการมุสลิม
ที่นิยมความรุนแรงและมีทัศนคติว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ให้ความชอบธรรมกับการใช้กำลังบังคับโดยรัฐบาลและขบวนการทางศาสนา
การศึกษาเกี่ยวกับสงครามและสันติภาพ
นักวิชาการกลุ่มนี้ซึ่งอาจเรียกว่าคือ
กลุ่ม “สงครามและสันติภาพ” จะมีมุมมองต่างไปจากกลุ่มญิฮาด
โดยมีสมมุติฐานว่า ศาสนาอิสลามให้ความชอบธรรมต่อการใช้กำลังและความรุนแรงภายใต้บริบทที่จำกัดเท่านั้น
ไม่สามารถใช้กำลัง และความรุนแรงได้อย่างไร้ขอบเขต นักวิชาการกลุ่มนี้จึงได้เน้นไปที่เงื่อนไขและสภาพแวดล้อมที่อิสลามอนุญาตให้ใช้กำลังและความรุนแรงในการจัดการความขัดแย้งหรือเมื่อเผชิญหน้ากับผู้อื่น
โดยนักวิชาการกลุ่มนี้อ้างอิงถึงคำสอนในคัมภีร์ อัล-กุรอ่านที่ว่า “สำหรับบรรดาผู้
(ที่ถูกโจมตีนั้น) ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้ได้ เพราะพวกเขาถูกข่มเหง
และแท้จริงอัลลอฮ์ทรงสามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างแน่นอน” อัล-กุรอ่าน
(22:39)
“และพวกเจ้าจงต่อสู้ในทางของอัลลอฮ์ต่อบรรดาผู้ที่ทำร้ายพวกเจ้า
และจงอย่ารุกรานแท้จริง อัลลอฮ์ไม่ทรงชอบบรรดาผู้รุกราน” อัล-กุรอ่าน (2:190)
นักวิชาการกลุ่มนี้จะให้ความสำคัญอย่างมากกับการต่อสู้
เพื่อความยุติธรรม
และการต่อสู้ด้วยสันติวิธีนั้นเป็นเพียงวิธีการเพื่อการบรรลุเป้าหมายสู่ความยุติธรรม
ดังนั้น สันติวิธีจึงมีความสำคัญในลำดับรองลงมา
มีนักวิชาการหลายท่านในกลุ่มนี้พยายามตีความอย่างเป็นกลางในคำสอนของอิสลามเกี่ยวกับสงครามและสันติภาพ
แต่ทุกคนต่างยึดในกรอบคิดเกี่ยวกับความมั่นคง สงครามและยุทธศาสตร์ศึกษา
หรือจากมุมมองอิสลามศึกษาในยุคคลาสสิค แทนที่จะวางบนพื้นฐานทางสันติศึกษา
จึงทำให้นักวิชาการกลุ่มนี้มองการต่อสู้โดยสันติวิธี และการไม่ใช้ความรุนแรงว่า เป็นสภาวะของการยอมจำนนต่อศัตรูหรือฝ่ายตรงข้าม
พวกเขาจึงให้คำนิยามสันติวิธีอย่างจำกัด และสรุปว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ไม่สามารถต่อต้านการใช้ความรุนแรงได้
อย่างไรก็ตาม
แม้ว่านักวิชาการกลุ่มนี้จะมีจุดยืนที่ชัดเจนว่า การทำสงคราม เป็นสิ่งที่อนุมัติเพื่อเป็นการปกป้องตนเองและรัฐ
แต่ก็ยอมรับว่าอิสลามห้ามการทำสงครามเพื่อการรุกราน
ขยายดินแดนหรือเพื่อเป็นการอวดศักดิ์ดาเกียรติภูมิของตนเอง พวกเขาเสนอว่าการปฏิเสธการใช้ความรุนแรงโดยปราศจากเงื่อนไขนั้นเป็นการละเลยคำสอนของอิสลามที่ว่า
“การสู้รบนั้นได้ถูกกำหนดแก่พวกเจ้าแล้ว ทั้งๆ ที่มันเป็นที่รังเกียจแก่พวกเจ้า
และอาจเป็นไปได้ว่า การที่พวกเจ้าเกลียดสิ่งหนึ่งทั้งๆ
ที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งดีแก่พวกเจ้า และก็อาจเป็นไปได้ว่าการที่พวกเจ้าชอบสิ่งหนึ่ง
ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งเลวร้ายแก่พวกเจ้าและอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดี
แต่พวกเจ้าไม่รู้” อัล-กุรอ่าน (2; 216)
โดยสรุป
นักวิชาการกลุ่ม “สงครามและสันติภาพ” อาจถูกวิจารณ์ได้ว่าละเลยคำสอนส่วนที่เน้นถึงความศักดิ์สิทธิ์แห่งชีวิตมนุษย์ในทัศนะอิสลามแต่กลับหยิบยกบางตอนของคำสอน
เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรง
ซึ่งการวิจารณ์เช่นนั้นเปรียบประหนึ่งเป็นการนิยามสันติวิธีในเชิงคับแคบว่าเป็นการต่อต้านต่อการใช้ความรุนแรง
พวกเขาเห็นว่าการมองว่าอิสลามเป็นศาสนาที่ปฏิเสธการทำสงครามนั้นเป็นเรื่องความเข้าใจที่ผิด
ดังนั้น
จึงไม่ควรเน้นที่ว่าคำสอนของศาสนาอิสลามให้การสนับสนุนเกี่ยวกับการใช้สันติวิธีหรือไม่
แต่ควรต้องพิจารณาถึงคำถามที่ว่า การใช้สันติวิธี ที่ไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร
จึงจะช่วยให้มุสลิมได้รักษาความยุติธรรมในสังคม
ยุคสมัยของประวัติศาสตร์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ดังนั้น การใช้ความรุนแรง ในฐานะเป็นวิถีทางในการแก้ไขปัญหา จึงเป็นสิ่งที่ศาสนาไม่ยอมรับอีกต่อไป
สิ่งที่มุสลิมได้เคยใช้ในการสถาปนาและแพร่กระจายความศรัทธา เมื่อพันสี่ร้อยกว่าปีที่แล้ว
อาจไม่ได้มีความเหมาะสมกับสภาพความจริงในโลกปัจจุบันอีกต่อไป ดังนั้น
หากประเพณีและวัฒนธรรมอิสลามจะเฟื่องฟู และเจิดจรัสอีกครั้งได้นั้น
ทั้งผู้นำและมุสลิมโดยทั่วไปจะต้องรับเอาสันติวิธีเป็นวิถีแห่งชีวิตที่บ่งบอกถึงความแตกต่างของตนเอง
อิสลามที่ประณามการใช้ความรุนแรงและการทำสงคราม
รวมทั้ง เน้นการใช้ความรักความเมตตาและความอดกลั้น ดังปรากฎในคัมภีร์อัล-กุรอ่าน
ว่า “ทุกครั้งที่พวกเขาจุดไฟขึ้นเพื่อทำสงคราม อัลลอฮ์ก็ทรงดับไฟนั้นเสีย และพวกเขาเพียรพยายามบ่อนทำลายในผืนแผ่นดิน
และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบผู้บ่อนทำลายทั้งหลาย” อัล-กุรอ่าน (5: 64)
“แท้จริงอัลลอฮ์ทรงใช้ให้รักษาความยุติธรรมและทำดี” อัล-กุรอ่าน (16: 90)
จากประวัติชีวิตของท่านนบีมุฮัมหมัด
(ซ.ล.) ในช่วงที่ท่านอาศัยอยู่ในเมืองมักกะฮ์เป็นเวลาถึง 13 ปี
เพื่อการทำหน้าที่ในการเผยแพร่คำสอนของอิสลาม
ท่านได้แสดงให้เห็นถึงการหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบแม้กระทั่งเพื่อการปกป้องตัวเอง
ท่านกลับใช้การต่อต้านโดยไม่ใช้ความรุนแรงต่อชาวมักกะฮ์ที่คอยกดขี่ชาวมุสลิมอยู่เสมอ
และหลีกเลี่ยงที่จะต่อสู้แบบเผชิญหน้า จนในที่สุดท่านเลือกที่จะอพยพไปอยู่ที่เมืองมะดีนะฮ์
ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปอีกหลายร้อยกิโลเมตร
นอกจากนั้น
ในอิสลามยังสนับสนุนให้ใช้การเจรจาต่อรอง เพื่อยุติความขัดแย้งในฐานะที่เป็นยุทธศาสตร์แรกๆ
การสร้างสันติภาพเพื่อลดความขัดแย้ง
การสื่อสารกันแบบตัวต่อตัวในท่ามกลางความขัดแย้งนั้น
ย่อมมีผลดีกว่าการละเลยปัญหา หรือใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา การเจรจาสื่อสารกันจึงเป็นการช่วยลดความขัดแย้งที่รุนแรงลงได้และช่วยแสดงออกถึงความเสียใจที่เคยกระทำไปโดยทุกฝ่าย
ในที่นี้
ผู้เป็นคนกลางมีบทบาทสำคัญในการเจรจาสร้างสันติภาพเพื่อลดความขัดแย้งอันอาจนำสู่การใช้ความรุนแรง
อิสลามสนับสนุนให้มุสลิมมีบทบาท
และทำหน้าที่ในการเป็นผู้ประสานขั้วขัดแย้งเพื่อให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกัน “และหากมีสองฝ่ายจากบรรดาผู้ศรัทธาทะเลาะวิวาทกัน
พวกเจ้าก็จงไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองฝ่าย
หากฝ่ายหนึ่งในสองฝ่ายนั้นละเมิดอีกฝ่ายหนึ่ง พวกเจ้าก็จงปรามฝ่ายที่ละเมิดจนกว่า ฝ่ายนั้นจะกลับสู่พระบัญชาของอัลลอฮฺ
ฉะนั้นหากฝ่ายนั้นกลับ(สู่พระบัญชาของอัลลอฮฺ)
แล้วพวกเจ้าก็จงประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วยความยุติธรรม
และพวกเจ้าจงให้ความเที่ยงธรรม(แก่ทั้งสองฝ่าย) เถิด
แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักใคร่บรรดาผู้ให้ความเที่ยงธรรม” อัล-กุรอ่าน (49: 9)
ดังนั้น
จากคำสอนของอิสลามให้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าด้วยความก้าวร้าวรุนแรง และมีอคติระหว่างกัน
จึงสอดคล้องและมีประสิทธิภาพตามหลักการของการสร้างสันติภาพ เพื่อลดความขัดแย้งที่จะนำสู่ความรุนแรง
การให้อภัย
อิสลามมีคำสอนเช่นเดียวกับศาสนาอื่นๆ
ในหลายศาสนา ที่ให้คุณค่าอย่างมากกับการรู้จักให้อภัยมากกว่าการมุ่งโกรธเกลียดเคียดแค้น
“และการตอบแทนความชั่วคือความชั่วเยี่ยงมัน แต่ผู้ใดอภัย
และไกล่เกลี่ยคืนดีกัน รางวัลตอบแทนของเขาอยู่ที่อัลลอฮฺ
แท้จริงพระองค์ไม่ชอบบรรดาผู้อธรรม” อัล-กุรอ่าน (42: 40)
การให้อภัยเป็นวิถีที่ผู้คน
(ทั้งมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม) พึงมีต่อกันและกัน ดังที่คัมภีร์อัล-กุรอ่าน
กล่าวไว้ว่า “เจ้า(มุฮัมมัด) จงยึดถือไว้ซึ่งการอภัย
และจงใช้ให้กระทำสิ่งที่ชอบ และจงผินหลังให้แก่ผู้โฉดเขลาทั้งหลายเถิด”
อัล-กุรอ่าน (7: 199)
ความรับผิดชอบในการกระทำและการตัดสินใจ
อิสลามเป็นศาสนามองว่าการปฏิบัติเป็นสิ่งพิสูจน์ความศรัทธาของคนเป็นมุสลิม
และมนุษย์ทุกคนจะต้องถูกสอบสวนในวันฟื้นคืนชีพและจะต้องรับผิดชอบในการกระทำทุกอย่างของตนเอง
“ดังนั้นผู้ใดกระทำความดีหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะเห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่วหนักเท่าละอองธุลีเขาก็จะเห็นมัน”
อัล-กุรอ่าน (99: 7-8)
กระบวนการมีส่วนร่วมและยอมรับซึ่งกันและกัน
การมีส่วนร่วมและเปิดใจยอมรับทุกฝ่ายย่อมเป็นผลดี
และมีประสิทธิภาพมากกว่าการใช้อำนาจแบบเผด็จการ และปิดกั้นการตัดสินใจ
ยุทธศาสตร์ในการสร้างสันติภาพวางอยู่บนพื้นฐานให้ทุกฝ่ายเข้าสู่การเจรจาบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน
หรืออาจใช้คนกลางช่วยดำเนินการในการไกล่เกลี่ย
อิสลามส่งเสริมให้มนุษย์เปิดใจกว้างมากกว่าที่จะมีจิตใจคับแคบ
โดยใช้หลักความยุติธรรมแทนที่ความอยุติธรรม หลักการนี้สะท้อนได้ดีในระบบการปกครองแบบชูรอ(การปรึกษาหารือ)
ความหมายของระบบชูรอ คือ
ความสมานฉันท์ในสังคมที่เกิดจากการที่ทุกฝ่ายได้พูดคุยเสวนากันโดยอิสระอย่างแท้จริง
แสดงความคิด ความเห็นได้อย่างเต็มที่
โดยผู้ปกครองจะเก็บรวมรวมความเห็นหรือคำแนะนำทั้งหมดจากหมู่มวลสมาชิกเพื่อประกอบการตัดสินใจต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น