การให้อภัย
จึงเป็นส่วนหนึ่งจากจริยธรรมอันสูงส่ง
และเป็นมารยาทอย่างหนึ่งของการคบหาสมาคม
เนื่องจากในการดำเนินชีวิตทางสังคมนั้นเราจะพบว่า มีน้อยคนนักที่สิทธิต่างๆ ของเขามิเคยถูกล่วงละเมิดจากผู้อื่น
ดังนั้นการที่จะให้สังคมเกิดความสงบสุขได้นั้น
ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งคือการให้อภัย ซึ่งเป็นที่มาของความร่วมมือ
ความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รวมไปถึงความรักและความเห็นอกเห็นใจกัน
หนึ่งในพระนามอันไพจิตรของอัลเลาะห์(ซ.บ)
นั้นคือ "อัลอะฟูวุ" (العَفُوُّ)
ซึ่งหมายถึง “ผู้ทรงให้อภัยยิ่ง” มีปรากฏในอัล-กรุอาน ถึง 5 ครั้ง
และคุณลักษณะของพระองค์ที่เกี่ยวกับการให้อภัย และการยกโทษนั้น ก็มีอยู่จำนวนมาก ในเกือบทุกบทของอัลกุรอาน
เพื่อที่จะสื่อให้มนุษย์ได้รู้ว่า พระองค์นั้น ทรงเป็นผู้ให้อภัยยิ่งต่อปวงบ่าวของพระองค์
และทรงรักการให้อภัยเป็นอย่างยิ่ง โดยอัลเลาะห์(ซ.บ.)
ได้ทรงกำชับให้ท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ.ล.) เป็นคนที่รู้จักให้อภัยผู้อื่น ไม่ถือโทษโกรธเคือง
อาฆาตมาดร้าย หรือผูกพยาบาท
ถึงแม้ว่าบรรดาศัตรูของท่านจะสร้างความเจ็บปวดและก่อกรรมทำเข็ญต่อท่านอย่างหนักหนาสาหัสสักเพียงใดก็ตาม
อัลเลาะห์(ซ.บ.)
ได้ทรงตรัสต่อท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ.ล.) ของพระองค์ว่า : "จงอภัยให้พวกเขาเถิด
และจงละวาง(จากการถือโทษโกรธเคืองพวกเขา) เเท้จริงอัลเลาะห์
ทรงรักบรรดาผู้ประพฤตดี" (อัลมาอิดะฮ์/โองการที่ 13)
ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซ.ล.)
ก็ได้กล่าวในเรื่องนี้ว่า : "เเท้จริงอัลเลาะห์ ทรงเป็นผู้อภัยยิ่ง
พระองค์ทรงรักการให้อภัย" และท่านศาสดา(ซ.ล.)
นั้นคือต้นแบบที่งดงามยิ่งในเรื่องของการให้อภัย ท่านไม่เคยผูกใจเจ็บหรืออาฆาตพยาบาทต่อผู้ประชาชาติที่เป็นศัตรูกับท่าน
แต่ท่านมักจะวิงวอนขอต่ออัลเลาะห์(ซ.บ.) ให้บุคคลเหล่านั้นเสมอ โดยกล่าวว่า :
"โอ้พระผู้เป็นเจ้า! โปรดนำทางกลุ่มชนของข้าพระองค์ด้วยเถิด
เเท้จริงพวกเขาไม่รู้"
การให้อภัย จึงเป็นส่วนหนึ่งจากจริยธรรมอันสูงส่ง
และเป็นมารยาทอย่างหนึ่งของการคบหาสมาคม
เนื่องจากในการดำเนินชีวิตทางสังคมนั้นเราจะพบว่า มีน้อยคนนักที่สิทธิต่างๆ
ของเขามิเคยถูกล่วงละเมิดจากผู้อื่น ดังนั้นการที่จะให้สังคมเกิดความสงบสุขได้นั้น
ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งคือการให้อภัย ซึ่งเป็นที่มาของความร่วมมือ
ความช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รวมไปถึงความรักและความเห็นอกเห็นใจกัน
อิสลามกับการให้อภัย
ศาสนาอิสลาม
ถือว่าการให้อภัยเป็นคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ เนื่องจากสังคมมนุษย์เป็นสังคมที่หลากหลาย
ย่อมต้องมีการละเมิด การเบียดเบียนและการกระทบกระทั่งกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น
การให้อภัยกัน จึงเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้สังคมมนุษย์เป็นสังคมที่น่าอยู่
มีแต่ความสงบสุขและความสมานฉันท์ คนที่ให้อภัยก็มีความสุข
และคนที่ได้รับการให้อภัยก็มีความสุขเช่นเดียวกัน
ดังที่อัลเลาะห์(ซ.บ)
ได้ทรงยกย่องและชื่นชม ผู้ที่ให้อภัยไว้ในอัลกุรอาน และทรงนับว่ามันคือ คุณลักษณะหนึ่งของบรรดาผู้ยำเกรง(มุตตะกีน)
โดยที่พระองค์ทรงตรัสว่า : "(บรรดาผู้ยำเกรงนั้น)
คือบรรดาผู้ที่บริจาคทั้งในยามสุขสบายและในยามเดือดร้อน และบรรดาผู้ระงับความโกรธ(ของตัวเอง)
และบรรดาผู้ให้อภัยแก่เพื่อนมนุษย์ และอัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้ประพฤติดี"(อัลกุรอานบทอาลิอิมรอน
โองการที่ 134)
และในอัลกุรอานบทอัชชูรอ
โองการที่ 40 "ผู้ใดให้อภัยและแก้ไขปรับปรุงให้ดีนั้น
รางวัลของเขาอยู่กับอัลเลาะห์"
และมีรายงานจากท่านอิมามซอดิก
(อ.) ซึ่งกล่าวว่า : "ผู้ใดที่ระงับจิตใจของตน เมื่อเกิดความปรารถนา
เมื่อเกิดความหวั่นกลัว และเมื่อเกิดความโกรธ อัลเลาะห์จะทรงห้ามเรือนร่างของเขาจากไฟนรก"
การให้อภัย
คือจริยธรรมที่ดีงามที่สุด
"การให้อภัย"
อิสลามได้ให้ความสำคัญต่อการให้อภัย และถือว่าเป็นคุณธรรมที่ดีงามที่สุด
โดยท่านศาสดา(ซ็อลฯ) ได้กล่าวว่า : "จะให้ฉันชี้แนะแก่พวกท่านไหม
ถึงจริยธรรมที่ดีเลิศที่สุดทั้งในโลกนี้และโลกหน้า (นั่นคือการที่)
ท่านจะเชื่อมสัมพันธ์ต่อบุคคลที่ตัดสัมพันธ์ต่อท่าน และให้แก่บุคคลที่ลิดรอนท่าน
และท่านจะให้อภัยแก่บุคคลที่อธรรมต่อท่าน"
ประเด็นต่างๆ
ที่ควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการให้อภัย
การให้อภัยในความหมายข้างต้น
ที่เป็นเกี่ยวกับส่วนบุคคลเท่านั้น จึงควรค่าแก่การยกย่อง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม
และเกี่ยวกับสิทธิต่างๆ ของพระผู้เป็นเจ้า(หรือฮักกุลลอฮ์) นั้น
การให้อภัยและการไม่ถือโทษเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และสมควรต่อการถูกตำหนิ
ในแบบอย่างหรือซุนนะฮ์ของท่านศาสดา(ซ็อลฯ)
นั้นท่าน จะไม่ให้อภัยและจะลงโทษบุคคลทั้งหลายที่ล่วงละเมิดสิทธิต่างๆ
ของพระผู้เป็นเจ้า และในกรณีใดที่มีบทลงโทษจากอัลเลาะห์(ซบ.)
กำหนดไว้อย่างชัดเจน ท่านก็จะดำเนินการตามบทลงโทษนั้นๆ โดยไม่มีข้อผ่อนปรน
และใครก็ไม่อาจให้ความอนุเคราะห์ต่อผู้กระทำผิดได้ ยกตัวอย่างเช่น สตรีผู้หนึ่งจากครอบครัวที่มีเกียรติของชาวกุเรช
ซึ่งมีนามว่า "ฟาฏิมะฮ์" ได้ทำการลักขโมย ท่านศาสนทูตแห่งอัลเลาะห์(ซ็อลฯ)
ได้ออกคำสั่งให้ดำเนินการลงโทษนาง
ประชาชนจากเผ่าบนีมัคซูม
รู้สึกไม่พอใจอย่างรุนแรง จึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อยับยั้งการลงโทษนั้น
โดยขอร้องอุซามะฮ์ บินซัยด์ ซึ่งมีความใกล้ชิด เป็นพิเศษต่อท่านศาสนทูต(ซ็อลฯ)
ให้เจรจากับท่านในเรื่องนี้ ท่านศาสนทูต(ซ็อลฯ) รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
และกล่าวว่า : "เจ้าจะให้การอนุเคราะห์(แก่ผู้อื่น) เกี่ยวกับบทลงโทษของอัลเลาะห์กระนั้นหรือ"
กรณีที่จะเรียกว่าเป็น"การให้อภัย"
นั้นคือในสภาวะที่ คนเรามีความสามารถแก้แค้น หรือตอบโต้การกระทำผิดของผู้อื่นได้
แต่เขามิได้กระทำการตอบโต้ หากแต่การนิ่งเงียบหรือการวางเฉย
เนื่องจากการที่ไม่สามารถตอบโต้ได้นั้น ไม่อาจนับว่าเป็นการให้อภัย
อีกทั้ง
ยังเป็นสาเหตุนำไปสู่ความเคียดแค้นและความเกลียดชัง
ซึ่งคุณลักษณะทั้งสองประการนี้ เป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วอีกมากมาย เช่น
การคาดคิดในทางไม่ดี การอิจฉาริษยา การนินทา และการใส่ร้ายป้ายสี เป็นต้น
และด้วยเหตุผลนี้เอง อิสลามจึงได้กำชับให้มุสลิมทุกคนให้การช่วยเหลือผู้ที่ถูกอธรรม
และปกป้องสิทธิต่างๆ ของพวกเขาจากบรรดาผู้กดขี่ เพื่อที่ว่าความเคียดแค้นของเขา จะได้ไม่สะสมจนกระทั่งทำให้หัวใจที่ผ่องแผ้วและใสบริสุทธิ์ต้องถูกทำลายลงไป
ภาคผลของการให้อภัยและการระงับความโกรธในขณะที่มีความสามารถนั้น
มีคำรายงานมากมาย ดังตัวอย่างที่ท่านศาสดามูซา(อ.) ได้กล่าวว่า :
"โอ้องค์พระผู้อภิบาลของข้าพระองค์
บ่าวคนใดของพระองค์ที่เป็นที่รักยิ่งของพระองค์" อัลเลาะห์ ทรงตอบว่า :
"ผู้ซึ่งเมื่อเขามีความสามารถเขาก็ให้อภัย"
ท่านอมีรุลมุอ์มินนีน อิมามอะลี (อ.)
ได้กล่าวในเรื่องนี้เช่นกันว่า : "เมื่อท่านมีอำนาจเหนือศัตรูของท่าน
ดังนั้นจงให้อภัยต่อเขา เพื่อขอบคุณ (ต่ออัลเลาะห์) ในอำนาจที่มีเหนือเขา"
บ่อยครั้ง
ที่คนเรากระทำผิดและละเมิดสิทธิต่างๆ ของผู้อื่น และก็มีความคาดหวัง ที่จะให้ผู้อื่นอภัยให้ตนเอง
แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยที่จะให้อภัยให้แก่ผู้อื่นเลย ด้วยเหตุนี้ผู้ที่คาดหวังจะให้ผู้อื่นอภัยในความผิดของตน
ตัวเขาเอง ก็จะต้องให้อภัยต่อความผิดของผู้อื่นด้วยเช่นกัน
และผู้ที่ตอบโต้ความเลวร้ายของผู้อื่นด้วยวิธีการแก้แค้นและเอาคืนนั้น จะเป็นเหตุ ทำให้ความเคียดแค้นชิงชังและความเป็นศัตรูกันในระหว่างพวกเขาเพิ่มมากยิ่งขึ้น
แต่หากเราตอบโต้
ความไม่ดีงามหรือความผิดของผู้อื่นด้วยกับการทำดีตอบ
ด้วยวิธีการนี้จะทำให้เขาสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามคุกเข่ายอมสยบต่อเขาได้
ความเคียดแค้นชิงชังและความเป็นศัตรูของเขาก็จะเปลี่ยนเป็นความรักและกลายเป็นมิตรสนิท
ดังที่มีกล่าวไว้อัลกุรอานความว่า : "ความดีและความเลวนั้นย่อมไม่เท่าเทียมกัน
เจ้าจงตอบโต้(การกระทำที่เลวร้ายของผู้อื่น) ด้วยสิ่งที่ดีงามกว่า
เมื่อนั้นผู้ซึ่งระหว่างเจ้าและระหว่างเขามีความเป็นศัตรูกันก็จะ (เปลี่ยนมา)
ประหนึ่งเป็นมิตรสนิท" (อัลกุรอานบทฟุตซีลัต โองการที่ 34)
ท่านอิมามอะลี(อ.)
ได้กล่าวในเรื่องนี้เช่นกันว่า : "ท่านจงตำหนิพี่น้องของท่าน
(เมื่อเขากระทำผิด) ด้วยการทำดีต่อเขา
และจงตอบโต้ความชั่วร้ายของเขาด้วยการให้สิ่งที่ดีงามแก่เขา"
กล่าวโดยสรุป
การให้อภัยและการไม่ถือโทษโกรธเคืองนั้น
คือผลพวงประการหนึ่งของความศรัทธาและคุณธรรมอันสูงส่ง
และใครก็ตามที่ละวางต่อความผิดของผู้อื่น พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสูงส่ง
ก็จะทรงละวางความผิดบาปต่าง ๆ ของเขาด้วยเช่นกัน
และพระองค์จะทรงทำให้เขาเข้าอยู่ในความเมตตา และการอภัยโทษของพระองค์
ดังที่พระองค์ทรงตรัสว่า : "และหากพวกเจ้าให้อภัย ละวางและไม่ถือโทษ (อัลเลาะห์ก็จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเจ้า)
เพราะแท้จริงอัลเลาะห์นั้นทรงอภัยโทษยิ่ง อีกทั้งทรงเมตตายิ่ง" (อัลกุรอานบทอัตตะฆอบุน
โองการที่ 14)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น