หลังการพูดคุยสันติสุข ระหว่างตัวแทนรัฐไทยกับตัวแทนขบวนการบีอาร์เอ็น เพียง 1 วัน เพจ BRN Barisan Revolusi National ซึ่งอ้างว่าเป็นเพจอย่างเป็นทางการของขบวนการบีอาร์เอ็น ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวข้อง 3 ประเด็น โดยหนึ่งในนั้นพูดถึงการมีส่วนร่วมทางการเมือง มีการพูดถึงกรณีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา การเปลี่ยนสีผังเมืองที่ อ.เทพา ให้เอื้อการลงทุนของกลุ่มทุนเจ้าสัวใหญ่
เข้าใจว่า เพจบีอาร์เอ็น ต้องการสื่อถึงโครงการเมืองต้นแบบที่ 4 ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ อ.จะนะ จ.สงขลา ที่กลุ่มNGO นำชาวประมงพื้นบ้านคัดค้านมาต่อเนื่อง ทั้งที่เป็นโครงการพัฒนาอุตสาหกรรม ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และจะสร้างงานให้คนในพื้นที่ถึง 100,000 ตำแหน่ง ต้องถือว่าบีอาร์เอ็นไม่ได้ทำการบ้านอย่างเพียงพอ แถมยังนำโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาที่ยุติไปแล้วมาเป็นประเด็นใหม่ด้วย
ถ้านิยาม
"การมีส่วนร่วมทางการเมือง" ของบีอาร์เอ็นบนโต๊ะพูดคุยสันติสุข มีเรื่องโครงการพัฒนาขนาดใหญ่อยู่ด้วยแล้ว
พล.อ.พัลลภ รักเสนาะ หัวหน้าคณะฝ่ายรัฐไทยยอมรับในนิยามนี้
อะไรจะเกิดขึ้นกับชายแดนใต้ในอนาคต
ผู้ที่เข้าใจบีอาร์เอ็นดีจะรู้ว่า
“ธงนำ” ตั้งแต่ต้นปี 2547 ที่ก่อไฟใต้ระลอกใหม่ นอกจากสร้างความรุนแรง ที่มีเป้าหมายต่อเจ้าหน้าที่รัฐ
และสถานที่ราชการแล้ว ยังมีเรื่องการทำลายเศรษฐกิจในหัวเมืองเศรษฐกิจของชายแดนใต้
เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้นักลงทุนจากภายนอก ไม่กล้าเข้ามาลงทุนในพื้นที่ด้วย
บีอาร์เอ็น
ไม่ต้องการให้ชายแดนภาคใต้ มีความเจริญ เพราะจะทำให้คนมีปัญญา มีความคิด
มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งยากที่จะควบคุมประชาชนให้อยู่ในอิทธิพล ดังนั้น
การก่อการร้ายในเมืองเศรษฐกิจ และท่องเที่ยว จึงเป็นไปเพื่อสร้างความหวาดกลัวมิให้กลุ่มทุนจากภายนอกเข้ามาลงทุนในพื้นที่
บีอาร์เอ็นไม่ต้องการให้คนในพื้นที่มีงานทำ
แต่ให้เดินทางไปทำงานในมาเลเซีย เพราะรู้ดีว่าโครงการเมืองต้นแบบทั้ง 4
แห่งจะทำให้เกิดการพัฒนา สร้างงาน ทำให้คุณภาพชีวิตคนในพื้นที่ดีขึ้น
และเห็นถึงความจริงใจของรัฐบาล ในการแก้ปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นเรื่องยอมไม่ได้
ก่อนหน้าจะมีข้อเสนอ
เรื่องการมีส่วนร่วมทางการเมืองในลักษณะนี้ ได้ประสานกลุ่มผู้นำศาสนาที่เป็นฝ่าย
“อูลามา” ของบีอาร์เอ็น รวมถึงกลุ่มผู้นำทางการศึกษา นักวิชาการ รวมถึงภาคประชาสังคมในปีกทางการเมืองให้ขัดขวางโครงการพัฒนาขนาดใหญ่มาโดยตลอด
ซึ่งเรื่องนี้มองออกได้ไม่ยาก
ดังนั้นในกรอบการพูดคุยกับรัฐไทย
ประเด็นการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่เกี่ยวกับโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ บีอาร์เอ็น จึงแทรกแซงโดยการร่วมมือกับภาคประชาสังคมที่จัดตั้งไว้มาโดยตลอด
แถมยังผสานกับแผนการก่อการร้ายเพื่อให้เป็นไปตามธงที่ตั้งไว้
สิ่งที่บีอาร์เอ็นต้องการคือ
การร่วมมือกับปีกทางการเมืองในพื้นที่ โดยใช้ภาคประชาสังคมที่ตั้งขึ้นมากว่า 30 องค์กรในชายแดนใต้ เป็นเครื่องมือ แล้วชี้ประเด็นว่า
ศอ.บต.สร้างความแตกแยกให้คนในพื้นที่ สนับสนุนกลุ่มทุน
แทนที่จะแก้ไขกลับกลายเป็นสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมชายแดนใต้
น่าสังเกตว่าวันนี้บีอาร์เอ็นพุ่งเป้าไปที่
“ศอ.บต.” มากกว่า “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”
ว่าเป็นเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง เพื่อใช้เป็นเงื่อนปมสร้างมวลชนให้เพิ่มมากขึ้น
ตัวอย่างชัดเจนที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ
ร้อนๆ กรณีทหารใช้กฎอัยการศึก ตรวจค้นบ้าน ผู้ที่ถูกซัดทอดเป็นแนวร่วมในพื้นที่ บ้านบ่อทอง
อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เจ้าของบ้านที่เป็นภรรยาผู้ต้องสงสัย อัดคลิปปะทะคารมแล้วเผยแพร่ชี้แบบนำว่า
ถูกคุกคามและใช้ความรุนแรงจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ โดยรับและแชร์กันเป็นทอดๆ
อย่างเป็นกระบวนการ
สุดท้ายทหารกลายเป็นจำเลย
เพราะไม่มีโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริง แม้โฆษก กอ.รมน.ภาค 4
ส่วนหน้า จะชี้แจงไปแล้วพร้อมๆ
กับปฏิเสธว่าเรื่องที่กระหน่ำอยู่ในโซเชียลมีเดียเป็นเรื่องที่ไม่จริง
ซึ่งก็กลายเป็นถูกมองว่าแก้ตัว
ปฏิเสธไม่ได้ว่าบีอาร์เอ็น
มีความช่ำชองในยุทธวิธีทั้งทางการเมืองและการทหาร
โดยเฉพาะการกำหนดเป้าหมายที่แต่เดิมพุ่งโจมตี กอ.รมน.ภาค 4
ส่วนหน้าเป็นหลัก แต่วันนี้ได้เพิ่มเป้าไปที่ ศอ.บต.ด้วย เพราะเป็น “จุดอ่อน”
ที่เกี่ยวข้องกับการผลักดันการพัฒนาพื้นที่
หากปล่อยให้
ศอ.บต.ทำตามนโยบายที่วางเอาไว้จะกระทบงานการเมือง โดยเฉพาะการสร้างมวลชน ที่เป็นหัวใจของการเดินไปสู่ชัยชนะ
โดยเฉพาะบีอาร์เอ็น ต้องการใช้มวลชนเป็นฐานในการรองรับการ “ทำประชามติ”
เพื่อผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงตามที่ต้องการ
ที่เขียนมาทั้งหมด
ไม่ได้เป็นห่วงกลุ่มทุนที่จะเข้าไปพัฒนาตามโครงการของเมืองต้นแบบที่ 4
แต่เป็นห่วงว่าจะอุปสรรคต่อการพัฒนาพื้นที่ พัฒนาคน
โดยเฉพาะการแก้ปัญหาการว่างงานของ ศอ.บต.ที่จะกลายเป็นเหยื่อของบีอาร์เอ็น
โดยผ่านกระบวนการพูดคุยสันติสุขที่ยังลูกผีลูกคน
หรือไม่ก็สุดท้ายแล้ว
กระบวนการพูดคุยสันติสุขอาจจะกลายเป็นกระบวนการเพิ่มทุกข์ ให้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มากขึ้นไปอีก
ก็เป็นได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น