วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

อิสลามกับอัตลักษณ์สู่สันติสุข

อิสลามกับอัตลักษณ์สู่สันติสุข

         อิสลามกับอัตลักษณ์สู่สันติสุข ในบริบทของสังคมพหุวัฒนธรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ที่มีความหลากหลายทั้งด้านชาติพันธุ์ ภาษา และศาสนา การสร้างความเข้าใจระหว่างกันเป็นรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ บทบาทของศาสนาอิสลามและหน่วยงานภาครัฐ จึงมีความสำคัญในการหล่อหลอมสังคม ไม่ให้ตกอยู่ภายใต้ความหวาดระแวงหรือการแบ่งแยก

อิสลามไม่สนับสนุนสร้างความแตกแยก

         ศาสนาอิสลาม มีหลักการที่ชัดเจนในการห้ามการปลุกปั่น ให้เกิดความแตกแยกในหมู่มนุษย์ ไม่ว่าจะในมิติของศาสนา เชื้อชาติ หรืออุดมการณ์ อัลกุรอานได้กล่าวถึงความสำคัญของเอกภาพ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในหลายบท โดยเน้นย้ำว่า ความแตกต่างนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าประสงค์ เพื่อให้มนุษย์เรียนรู้ซึ่งกันและกัน มิใช่เพื่อก่อความขัดแย้ง "และจงยึดมั่นเชือกของอัลเลาะห์ทั้งหมด และอย่าแตกแยกกัน..." (อัลกุรอาน 3:103)

         ข้อความนี้ สะท้อนเจตจำนงของศาสนาอิสลามที่มุ่งส่งเสริมความเป็นหนึ่งเดียวกันของสังคมมนุษย์ การปลุกระดมด้วยถ้อยคำแห่งความเกลียดชัง การแยกแยะคนออกจากกันด้วยเชื้อชาติหรือศาสนา ถือเป็นการละเมิดหลักศรัทธาอย่างชัดเจน

         ศาสนาอิสลามยังกำชับว่า ผู้ที่ทำลายความสงบในสังคม หรือผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์ผ่านความขัดแยก จะต้องได้รับการปฏิเสธจากชุมชน ผู้ศรัทธาจึงมีหน้าที่ในการส่งเสริมสันติภาพ และยับยั้งการกระทำใดๆ ที่นำไปสู่ความเกลียดชัง แม้บุคคลนั้นจะแสดงตนว่าเป็นมุสลิมก็ตาม

ความเข้าใจของภาครัฐไทย : สนับสนุนความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์

         ในด้านของภาครัฐไทย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ชายแดนใต้ ได้มีพัฒนาการที่น่าสนใจในการสนับสนุนความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของประชาชน เจ้าหน้าที่จำนวนมากตระหนักถึงความสำคัญของการเคารพและสนับสนุนความแตกต่าง ไม่เพียงแค่ในเชิงวัฒนธรรม แต่รวมถึงความเชื่อและวิถีชีวิต

         โครงการต่างๆ ที่ส่งเสริมการใช้ภาษามลายูถิ่นในโรงเรียน สนับสนุนเครื่องแต่งกายตามหลักศาสนาในหน่วยงานรัฐ หรือการร่วมพิธีกรรมของชุมชนในฐานะผู้สนับสนุน ล้วนเป็นภาพสะท้อนของความพยายามสร้างสะพานเชื่อมโยงความเข้าใจ ไม่ใช่กำแพงแบ่งแยก

        เจ้าหน้าที่รัฐ ที่มีแนวคิดเปิดกว้าง มองเห็นว่าอัตลักษณ์ท้องถิ่นเป็น “ทุนทางสังคม” มากกว่าจะเป็น “อุปสรรคต่อความมั่นคง” ทำให้สามารถวางนโยบายในลักษณะ “การพัฒนาเพื่อสันติภาพ” มากกว่า “การควบคุมเพื่อลดความเสี่ยง

         การมีบทบาทเชิงบวกนี้ ช่วยลดแรงต่อต้านจากชุมชน เพิ่มความไว้วางใจ และเปิดโอกาสให้ภาครัฐทำงานร่วมกับท้องถิ่นได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ยิ่งเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มีอคติต่อศาสนาอิสลามหรือวิถีชีวิตของชาวมุสลิม ความร่วมมือจึงเกิดขึ้นบนฐานของ “ความเคารพซึ่งกันและกัน” ไม่ใช่แค่ “ความจำยอม

การอยู่ร่วมกันด้วยความเข้าใจ

         สังคมไทยมีความหลากหลายเป็นพื้นฐาน เจ้าหน้าที่รัฐ จึงควรเป็นแบบอย่างของความเข้าใจอัตลักษณ์ที่แตกต่าง ในขณะเดียวกัน ผู้นำศาสนา และประชาชนที่มีศรัทธา ควรส่งเสริมอิสลามในแบบที่ไม่สร้างกำแพง ไม่ตัดสินผู้อื่น และไม่ใช้ศาสนา เป็นเครื่องมือทางการเมือง หรืออุดมการณ์สุดโต่ง

         ความสันติสุขที่แท้จริง จึงไม่ได้เกิดจากความเหมือนกันทั้งหมด หากแต่เกิดจาก “การอยู่ร่วมกันอย่างต่างอย่างเข้าใจ” บทบาทของศาสนาและภาครัฐ จะต้องเดินคู่กัน เพื่อขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความมั่นคง ที่มีรากฐานจากหัวใจของประชาชน

..........................................................................

พุทธ อิสลาม ต่างแค่ความเชื่อ แต่ไม่ได้สอนให้คนเกลียดชังกัน

พุทธ อิสลาม “ต่างแค่ความเชื่อ”แต่ไม่ได้สอนให้คนเกลียดชังกัน

คนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ไม่ว่าจะนับถือศาสนาพุทธหรือศาสนาอิสลาม เคยอยู่ร่วมกันอย่างสงบ และปลอดภัยมานานนับร้อยๆ ปี ยกตัวอย่างเช่น คนเชื้อสายไทยพุทธใน ต.พิเทน อ.มายอฯ, ต.ปิยา อ.ยะหริ่งฯ, ต.ทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี และอีกหลาย ๆ พื้นที่

ไม่เคยมีปัญหาใดๆ กับคนเชื้อสายมลายู ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม และเป็นคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ การอยู่ร่วมกันอย่างเข้าอกเข้าใจกันเป็นภาพประทับใจ ที่ไม่เพียงส่งผลต่อสภาพจิตใจที่ดีเท่านั้น ยังส่งผลดีต่อชีวิตทางเศรษฐกิจของส่วนรวมและชีวิตความเป็นอยู่ทั่ว ๆ ไปด้วย

ศาสนา ปัญหาหนึ่งที่ค่อนข้างเป็นเรื่องอ่อนไหว ซึ่งสามารถทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนในพื้นที่ได้ คือการดูถูกกันในเรื่องความเชื่อ โดยเฉพาะการที่ชาวมุสลิมเชื่อหรือศรัทธาใน “อัลเลาะห์” (Allah) เนื่องจากศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เชื่อและศรัทธาในพระเจ้า

ในขณะที่ศาสนาพุทธไม่เชื่อในพระเจ้า หลายคนจึงคิดว่าทั้ง 2 ศาสนานี้ไม่มีวันจะเข้าใจกันได้ เมื่อไม่เข้าใจกันแล้ว ก็เลยพาลดูถูกเหยียดหยามสิ่งที่อีกศาสนาหนึ่งนับถือและศรัทธา ทำให้ความไม่เข้าใจกันยิ่งถ่างกว้างออกไปอีก

แต่ในแง่ของสังคมมิได้ห้ามจะคบค้าสมาคมระหว่างกัน ด้วยหลักการของอัลกุรอานที่กล่าวไว้ ความว่า “ไม่มีการบังคับใดๆ (ให้นับถือ) ในศาสนาอิสลาม” (อัลบะเกาะเราะฮฺ /256) ซึ่งแปลว่า อิสลามได้วางกติกาอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่กลุ่มขบวนการ กลับได้มีการเพิ่มเติมตีความ แอบอ้างไปว่า คนต่างศาสานิกคือคนไม่ได้ไม่ต้องไปให้ความร่วมมือ

ล่าสุดได้มีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องศาสนาในพื้นที่ ที่มีบุคคลพยายามสร้างความแตกแยกในพื้นที่กับข้อความที่ว่า “พระเจ้าทรงชอบผู้ที่ทำตามจะได้ขึ้นสวรรค์ และไม่ทรงชอบคนกาเฟร”(คนต่างศาสนิก) ซึ่งได้มีการตีความไปเองว่าเราคนมุสลิมอย่าไปให้ความร่วมมือต่อคนต่างศาสนิก เพราะไม่ใช่ความประสงค์ของอัลเลาะห์ เป็นการตีความที่ผิด และอาจก่อให้ให้เกิดความขัดแย้งในพื้นที่ได้

ผู้รู้ท่านหนึ่งได้กล่าวว่า…แน่นอนพระเจ้าทรงรักผู้ที่ศรัทธาต่อพระองค์และทรงไม่ไม่ชอบผู้ที่ไม่ศรัทธาต่อพระองค์ แต่ไม่ใช่ว่าพระองค์ให้รังเกียจผู้ที่ไม่ศรัทธาอิสลามให้มุสลิมมีความรักต่อมุสลิมด้วยกัน

แต่ในขณะเดียวกันให้เมตตาคนที่ไม่ศรัทธาต่อพระองค์ด้วย ส่วนประเด็นการต่อสู้นั้นเว้นแต่ผู้นั้นมารุกรานอิสลามและมาทำร้ายมุสลิม ซึ่งในประเทศไทยเป็นประเทศที่เปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถดำรงชีพได้ทุกประการไม่มีการกีดกั้นทางศาสนา อิสลามไม่ส่งเสริมการรุกรานคนอื่น ดังปรากฏในบทบัญญัติในเรื่องเสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่งแสดงถึงการเคารพในความแตกต่างกันในสังคมแห่งการอยู่ร่วมกัน เช่น ในพระมหาคัมภีร์กุรอานมีบทบัญญีติว่า “ไม่มีการบังคับในการนับถือศาสนา” (อัลกุรฺอาน 2:256) และ “สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน” (อัลกุรฺอาน 109:6) อิสลามสอนให้มุสลิมยึดมั่นในการศรัทธาของตนเอง ในขณะเดียวกันให้เกียรติกับศาสนาอื่นด้วย ความศรัทธาของศาสนาอื่น การศรัทธาในศาสนาเราแตกต่างกันได้ แต่การร่วมมือในการทำความดีเราต้องส่งเสริมให้ทำถึงแม้กับคนที่ไม่ไม่ใช่มุสลิมด้วยกันก็ตาม

เคยมีคนสงสัยถามผมว่า ชาวมุสลิมสามารถถวายของเช่นอาหารให้พระสงฆ์ได้หรือไม่? ก็ต้องมาดูบริบทว่า ณ ตอนนั้น คนมุสลิมให้ของพระสงฆ์ในฐานะอะไร? ถ้าผู้ให้มองว่าเป็นการทำบุญเพื่อเวลาที่ตนเองตายไปจะได้ไปอยู่บนสวรรค์ การให้ด้วยความเชื่อแบบนั้นมุสลิมย่อมทำไม่ได้ เพราะขัดกับความเชื่อในหลักเอกภาพของพระเป็นเจ้าของศาสนาอิสลาม แต่ถ้าให้ในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ ให้อาหารท่านเพราะในชุมชนนั้นไม่มีชาวพุทธอยู่เลย แล้วพระท่านเดินผ่านมา บริบทนี้ เป็นหน้าที่ด้วยซ้ำที่ชาวมุสลิมจะต้องให้อาหารแก่ท่าน เพราะการปล่อยให้พระหิว ไม่มีอะไรกินเลย ย่อมเป็นบาปด้วยซ้ำ

อิสลามสอนว่า “นบีมูฮัมหมัด...ถูกส่งมายังโลกนี้ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากเพื่อความเมตตาของมนุษยชาติ” ดังนั้น อิสลามไม่ได้สอนให้มุสลิมแบ่งปันความเมตตาให้กับคนในศาสนาเดียวกันเท่านั้น แต่ต้องเผื่อแผ่ถึงมนุษย์ทุกคน รวมถึงทุกสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสรรค์สร้าง ดังนั้น เราต้องนับถือ ให้เกียรติ ช่วยเหลือกันและกันเพราะเราต่างเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะศาสนาอิสลามสอนอีกว่า “การรับใช้ผู้อื่น ถือเป็นการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า

บทความนี้เพื่อให้ผู้นับถือศาสนาทั้งสองได้มีโอกาสทำความเข้าใจกับศาสนาของเพื่อน รวมทั้งศาสนาที่ตนเองนับถืออย่างลึกซึ้งด้วย เพื่อที่จะได้มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน อันจะเป็นการปิดหนทางที่อาจนำไปสู่การดูถูกเหยียดหยามความเชื่อทางศาสนาของอีกฝ่าย หากมีความบกพร่องหรือข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วย โปรดมองเจตนาดีของผู้เขียนที่หวังให้พี่น้องต่างศาสนิกได้เข้าใจกัน เพื่อจะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขบนผืนแผ่นดินที่ทุกคนต่างก็เป็นเจ้าของผืนนี้…

แนวคิดดารุลฮัรบี 3 จชต.ไม่ใช่เเค่ การรบสุดโต่ง

แนวคิดดารุลฮัรบี 3 จชต.ไม่ใช่เเค่ "การรบสุดโต่ง"

เรามักได้ยินคำกล่าวอ้างจากกลุ่มขบวนการที่พยายามก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ครั้งเเล้วครั้งเล่าว่า เป็นการรบเนื่องจากเป็นพื้นที่ "ดารุลฮัรบี"

ดารุลฮัรบี เป็นผลของมติร่วมกันจากนักปราชญ์อิสลามในภายหลัง หลังจากที่ได้ลงความเห็นกันเเล้วว่า มีการละเมิดสิทธิและเสรีภาพความเป็นมนุษยชนต่อมุสลิม โดยเฉพาะการกดขี่ ข่มเหงและเหยียดหยามศาสนาเกิดขึ้นในพื้นที่นั้น และอนุญาตให้ต่อสู้ได้เท่าที่ควร ซึ่งมิใช่เป็นสิ่งที่มีมาเเต่เดิมของศาสนา

เเต่จากคำอ้าง ผ่านการต่อสู้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ถูกใช้คำนี้อย่างเลยเถิด ที่มิใช่เเค่การต่อสู้ และการต่อสู้เอง ก็มักมีผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบเกือบทุกครั้ง

และคำนี้ ยังถูกนำมาใช้ในการเเบ่งกลุ่มคนออกจากกัน คือ คนที่มีแนวคิดเดียวกันเป็นมุมิน(ผู้ศรัทธา) และกลุ่มคนเห็นต่างเป็นมุนาฟิก(หน้าไหว้หลังหลอก) หรือเป็นกาเฟร(ผู้ปฏิเสธ)

แม้เป็นมุสลิมด้วยกัน ผ่านคำว่า นายู เเละ ซีเเย รวมไปถึงคำนี้ยังถูกนำมาใช้หักห้ามการศึกษาและวิชาการสากล ซึ่งการปิดประตูบานใหญ่สำหรับการเรียนรู้และเสาะหาความจริง และสิ่งสำคัญคำนี้ถูกนำมาใช้ในการสร้างอคติและความเกลียดชัง ความแตกต่าง จนกลายเป็นบ่อเกิดความเสียหายตามมาหลายเรื่อง

ฉะนั้นเเล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนเเล้วเเต่มาจากการถูกปลูกฝัง ให้หักห้ามตนให้มองความแตกต่างเป็นเรื่องผิดเเปลกผ่านอคติ ไม่ยอมรับการเปลี่ยนเเปลง ไม่ยอมรับข้อมูลที่แตกต่าง ไม่สามารถเรียนรู้เปรียบเทียบได้ จนเกิดปัญหาหลากหลายตามมา ตั้งเเต่ครอบครัว การศึกษา เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ที่ส่งผลล้มทับกันราวโดมิโน่

ตามหลักการของศาสนาอิสลาม คำว่า ดารุลฮัรบี (Dar-ul-Harb) หมายถึง “ดินแดนแห่งสงคราม” (Abode of War) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ไม่ได้ปกครองโดยคนมุสลิม และไม่ได้ใช้ชารีอะห์เป็นกฎหมายหลักในการปกครอง ที่ขบวนการได้หยิบยกมาใช้เป็นตรรกะเหตุผลในการต่อสู้ แต่ความเข้าใจว่าดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้นี้เป็น ดารุลฮัรบี หรือไม่นั้น ทางจุฬาราชมนตรีได้ยืนยันแล้วว่า ดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ใช่ “ดารุลฮัรบี” อย่างที่เข้าใจกัน

เพราะคนมาลายูมุสลิมมีสิทธิพลเมือง ยอมรับความเป็นพลเมืองไทยไม่ใช่แค่เพียงการถือบัตรประจำตัวประชาชนคนไทยเท่านั้น

- ไม่มีการห้ามปฏิบัติศาสนกิจ

- ไม่มีการห้ามเผยแผ่ (ดาวะห์) ศาสนา

ในหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ยอมรับความแตกต่างและความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม ตลอดจนความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ถ้าการกระทำหรือคำกล่าวใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าศาสนาอิสลามมีความเกลียดชัง รังเกียจศาสนิกในศาสนาและชาติพันธุ์อื่น ๆ ก็ต้องคิดแล้วว่ามันถูกต้องหรือไม่

ดังที่ 3 จังหวัดภาคใต้เป็นอยู่ทุกวันนี้ ถ้าเป็นการต่อสู้เพื่อศาสนาอย่างแท้จริงก็กระทำได้ ปลดแอกได้ แต่ทั้งนี้มันไม่ใช่เรื่องของศาสนาเลย แต่มีคนบางส่วนได้รับการปลูกฝังให้เกิดความรู้สึกและเข้าใจเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ ประวัติศาสตร์ และเชื้อชาตินิยม เพื่อนำไปสู่การเรียกร้องและต่อสู้ให้มีการแบ่งแยกเผ่าพันธุ์และดินแดน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักคำสอนของอิสลามอย่างแท้จริง

ท่านนบีมุฮัมมัด(ซล.) ถูกส่งมาเพื่อเผยแผ่ความเมตตาแก่ชาวโลก และเชิญชวนมนุษย์สู่การเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ แต่เพียงผู้เดียว เพราะการบังเกิดมนุษย์ขึ้นมาบนโลกนี้ คือการเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ ดั่งที่พระองค์ตรัสไว้ความว่า “และฉันไม่ได้สร้างญินและมนุษย์มาเพื่ออื่นใดนอกจาการเคารพภักดีต่อฉัน” (51 : 56) ไม่ใช่เกิดเพื่อมาต่อสู้ แย่งชิงอำนาจ ตามที่กลุ่มขบวนการฯ แอบอ้าง….เพราะประเทศไทยให้สิทธิทุกอย่างแล้ว

ขอให้พวกเราชาวมลายูมุสลิมทุกคนจงเข้าใจกับการกระทำของขบวนการในขณะนี้ ไม่ใช่การต่อสู้ที่แท้จริง แต่เป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มแต่อ้างเป็นนักรบต่อสู้เพื่อศาสนา การเสียชีวิตของผู้ก่อเหตุรุนแรงจึงไม่ใช่การเสียชีวิตเพื่อศาสนา เป็นเพียงผู้กระทำผิดที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ขอให้พี่น้องมลายูทุกคนร่วมกันละหมาดฮายัตดุอาร์ให้กลุ่มคนไม่หวังดีหยุดฆ่าและทำลายประชาชนผู้บริสุทธิ์ และขอร้อง…ขอผู้ไม่หวังดีหยุดก่อเหตุและวางอาวุธด้วยเถิด เพราะความรุนแรงมันไม่ใช่แนวทางการแก้ปัญหา.

วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

รอยยิ้มของกลุ่มเล็กๆ ของเด็กนราฯ ที่มองเห็นคุณค่าของบ้านเกิดตนเอง

รอยยิ้มของกลุ่มเล็กๆ ของเด็กนราฯ ที่มองเห็นคุณค่าของบ้านเกิดตนเอง

ถ้าเปรียบอำเภอแว้งเป็นเหมือนสินค้า เราก็เป็นเหมือนคนขาย แล้วคนที่จะมาขายก็ต้องรู้จักสินค้าอย่างดีเสียก่อน เราจึงปลุกปั้นเด็กๆ เยาวชนในอำเภอแว้งให้รู้จักบ้านเกิดของตนเอง แล้วไปเป็นตัวแทนในการบอกต่อความงดงามของธรรมชาติและวัฒนธรรมที่นี่

กลุ่มยังยิ้ม คือกลุ่มเล็กๆ ที่เกิดจากการรวมตัวกันของเยาวชนในพื้นที่อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส เพื่อค้นหาความหมายของบ้านเกิดตนเอง ผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ และสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชนท้องถิ่น

กลุ่มยังยิ้มเกิดจากความฝันของผมที่อยากจะก่อตั้งกลุ่มเล็กๆ ขึ้นมาเพื่อสร้างประโยชน์อะไรสักอย่าง เริ่มแรกเราเข้าไปพูดคุยกับโรงเรียนในพื้นที่อำเภอแว้ง 4 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนเวียงสุวรรณวิทยาคม โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์นราธิวาส โรงเรียนรอมาเนีย (มูลนิธิ) และโรงเรียนจริยธรรมวิทยา (มูลนิธิ) ได้รับความช่วยเหลือจากแต่ละโรงเรียน ส่งตัวแทนเด็กๆ 30 คน


นับเป็นกลุ่มยังยิ้มรุ่นแรก น.ส.นูรฮีซาม บินมามุ หรือน้องซัม ผู้ก่อตั้งกลุ่มยังยิ้มกล่าวถึงที่มา “เราถามเด็กๆ ว่า อยากทำอะไรในพื้นที่นี้ ในบ้านเกิดของเรา เราไม่คิดแทนเขา แต่เปิดโอกาสให้เขาแสดงออกได้เต็มที่

กิจกรรมของกลุ่มยังยิ้มแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือ “Natureหรือ “ธรรมชาติ” คือการปลุกปั้นให้เยาวชนรักธรรมชาติ อย่างที่รู้กันว่าในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสนั้นมีป่าอันอุดมสมบูรณ์ที่มีชื่อว่า “ป่าฮาลา-บาลา” (เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลา-บาลา) เป็นแหล่งอาศัยของนกเงือกที่หลากหลายสายพันธุ์ที่สุดในประเทศไทย

ดังนั้นกิจกรรมหลักในส่วนของธรรมชาตินี้ก็คือสำรวจป่าพร้อมให้ความรู้แก่แด็กๆ “เราไม่เน้นวิชาการแต่จะให้พวกเขาได้เห็นของจริง ได้เรียนรู้จริง สัมผัสจริง เราสอนเด็กๆ เรื่องธรรมชาติผ่านนกเงือก ที่เป็นตัวแทนของป่า ในหนึ่งชีวิตของนอกเงือกที่มีอายุประมาน 30 ปี มันสามารถปลูกต้นไม้ได้มากกว่า 5 แสนต้น แล้วพวกเราล่ะ ในชีวิตนี้ปลูกต้นไม้ไปแล้วกี่ต้น?ซัมกล่าวถึงแนวทางการให้ความรู้แก่เด็กๆ

ซึ่งในแต่ละปีทางกลุ่มยังยิ้มจะรับตัวแทนเด็กๆ ในแต่ละโรงเรียนเพื่อมาทำกิจกรรมเดินป่าและดูนก เพื่อให้พวกเขาได้มีความรู้กลับไป การปลูกฝังให้เด็กๆ รักธรรมชาติในบ้านเกิดของตนเองเช่นนี้จะทำให้พวกเขาภูมิใจ และมีความหวงแหนในธรรมชาติอันสมบูรณ์ที่พระเจ้ามอบให้ในพื้นที่แห่งนี้

ผลตอบรับจากการปลูกฝังเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติให้เด็กๆ นั้นดีมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนเลยคือ ครั้งนึงเราไปทำกิจกรรมในพื้นที่แล้วมีรังนกกางเขนบ้าน เป็นรังตั้งแต่แรกเริ่มเลย เวลาผ่านไปนานวันเข้า รังนกตรงนี้ก็ยังคงอยู่ แสดงให้ถึงความเข้าใจของเด็กๆ หากเป็นเมื่อก่อนถ้าพวกเขาเห็นรังนกก็จะเข้ามาเล่นซน ไม่เหลือแล้ว” ซัมเล่าอย่างภูมิใจที่อุดมการณ์ของกลุ่มยังยิ้มนั้นถูกถ่ายทอดไปยังเด็กๆ อย่างแท้จริง


นอกเหนือจากส่วนของ Nature ที่เน้นเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติแล้ว อีกหนึ่งส่วนที่เป็นกิจกรรมของกลุ่มยังยิ้มก็คือ “Cultureหรือ “วัฒนธรรมบ้านเกิด” ที่ทางกลุ่มพยายามสร้างพื้นที่การเรียนรู้ขึ้นในชุมชน มีการหาสถานที่ต่างๆ ที่มีเรื่องราวน่าสนใจ และบุคคลต่างๆ ที่มีเรื่องเล่าในท้องถื่น มีการเข้าไปพบปะพูดคุยกับคนเก่าคนแก่ และมีการสัมภาษณ์ถอดเทปเรียบเรียงออกมาเพื่อนำเป็นสื่อส่งต่อให้คนอื่นๆ ได้รับรู้ เพื่อไม่ให้เรื่องราวเก่าๆ เหล่านั้นถูกลบเลือนหายไปตามเวลา

นอกจากนี้กลุ่มยังยิ้มยังมีกิจกรรมอื่นๆ เช่นการไปสัญจรตามโรงเรียนต่างๆ ทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ การจัดค่ายให้ความรู้ และอีกหนึ่งกิจกรรมที่สร้างความน่าประทับใจให้กับกลุ่มยังยิ้ม หากใครได้ติดตามข่าว ภายหลังจากวันอีดที่ผ่านมา ที่ชายหาดนราทัศน์นั้นเต็มไปด้วยขยะเกลื่อนกลาดมากมาย เป็นภาพที่น่าเหนื่อยใจเป็นอย่างยิ่ง แต่จากนั้นก็มีกลุ่มเด็กๆ ที่มาช่วยกันเก็บขยะออกจากชายหาดคนละไม้คนละมืออย่างขยันขันแข็ง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ชื่อว่า “บางนรา…ยังยิ้ม” ที่กลุ่มยังยิ้มร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ และอาสาสมัครเด็กๆ จากหลายโรงเรียน

อุดมการณ์อันมุ่งมั่นของกลุ่มเล็กๆ ที่เกิดจากการรวมตัวเด็กๆ ที่ชื่อว่า “ยังยิ้ม” นั้น ไม่เพียงแต่ถูกถ่ายทอดไปให้กับสมาชิกในกลุ่มเท่านั้น แต่มันยังถูกส่งต่อให้กับคนรอบข้าง คนในชุมชน และคนนอกพื้นที่ได้เห็นการทำประโยชน์ของเด็กๆ “กลุ่มยังยิ้ม” และทุกครั้งเมื่อเรานึกถึงเด็กๆ กลุ่มนี้ แน่นอนว่าเราก็จะ…ยิ้มได้เสมอ

หมู่บ้านเล็กๆ ของเด็กชายธนา

หมู่บ้านเล็กๆ ของเด็กชายธนา

ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขา มีผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ร่วมกัน พวกเขามาจากที่ต่าง ๆ ด้วยกัน แต่กลับไม่มีความขัดแย้งใด ๆ แทนที่หมู่บ้านนี้จะเต็มไปด้วยความแตกแยก กลับกลายเป็นหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจระหว่างกัน และทุกครั้งที่มีงานเฉลิมฉลอง ทุกคนจะมารวมตัวกันไม่ว่าพวกเขาจะมีความแตกต่างทางชาติพันธุ์หรือศาสนาอย่างไร

วันหนึ่ง เด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “ธนา” ที่อาศัยในหมู่บ้านนี้ได้เกิดความสงสัย เขามักเห็นผู้ใหญ่รวมตัวกันพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และร่วมมือกันทำกิจกรรมต่าง ๆ ในวันสำคัญของแต่ละชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นการเฉลิมฉลองวันตรุษจีน, เทศกาลสงกรานต์, การทำบุญประจำปี และวันเฉลิมฉลองฮารีรายอ เขาจึงตัดสินใจที่จะถามผู้ใหญ่ในหมู่บ้านถึงเคล็ดลับที่ทำให้หมู่บ้านนี้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

"ทำไมทุกคนในหมู่บ้านนี้ถึงไม่มีปัญหากันเลย แม้ว่าเราจะมาจากที่ต่างกัน" ธนาถามด้วยความสงสัย

ผู้ใหญ่คนหนึ่งยิ้มและเริ่มเล่าให้ธนาได้ฟังว่า "เราทุกคนรู้ดีว่า โลกนี้เต็มไปด้วยความแตกต่าง แต่ในความแตกต่างนั้นมีความงดงามอยู่ เมื่อเราเปิดใจยอมรับความแตกต่างและเรียนรู้ที่จะเข้าใจ เราจะพบว่าเรามีสิ่งดี ๆ ที่สามารถแบ่งปันและช่วยเสริมให้กันและกันได้"

ผู้ใหญ่เล่าต่อไปว่า ทุก ๆ ครั้งที่พวกเขามีการเฉลิมฉลองหรือทำกิจกรรมร่วมกัน พวกเขาจะไม่พยายามเปลี่ยนแปลงความเชื่อหรือประเพณีของใครเลย แต่จะเปิดใจและเคารพในสิ่งที่ผู้อื่นเชื่อ และในทุกๆ ความแตกต่างนั้น พวกเขาจะเรียนรู้จากกันและกัน เพื่อที่จะเข้าใจมุมมองและวิถีชีวิตที่แตกต่างออกไป

"จำไว้นะ ธนา ความสามัคคีในพหุวัฒนธรรมไม่ได้มาจากการที่เราทำให้ทุกคนเหมือนกัน แต่เป็นการที่เรายอมรับในสิ่งที่แตกต่าง และเรียนรู้ที่จะเห็นคุณค่าในความหลากหลาย" ผู้ใหญ่สรุป

ธนารู้สึกตื่นเต้นและเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของความสามัคคีในพหุวัฒนธรรม จากนั้นเขาก็เริ่มแบ่งปันสิ่งที่เขาเรียนรู้กับเพื่อน ๆ และทุกคนในหมู่บ้านก็เริ่มเห็นความสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพและเข้าใจซึ่งกันและกัน

ในวันหนึ่งที่หมู่บ้านจัดเทศกาลร่วมกัน ธนาก็ได้เห็นภาพที่เขาไม่เคยลืม เขาเห็นผู้คนจากทุกชาติพันธุ์ร่วมมือกันทำอาหารร่วมกัน ร้องเพลงร่วมกัน และสนุกสนานไปกับการเฉลิมฉลอง หรือร่วมพิธีละศีอด พร้อมๆ กัน ทุก ๆ การกระทำของพวกเขาเต็มไปด้วยความรัก ความเข้าใจ และความเคารพในความแตกต่าง

และนั่นคือเสน่ห์ของพหุวัฒนธรรม ที่ทำให้โลกของเราน่าอยู่ขึ้น เมื่อเรายอมรับและเคารพในความแตกต่าง โลกก็จะเต็มไปด้วยความสามัคคีที่แท้จริง.

วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ความสุดโต่ง 3 จชต. หายนะสังคมยุคอาคิริซซามาน

ความสุดโต่ง 3 จชต. หายนะสังคมยุคอาคิริซซามาน

สำหรับศาสนาอิสลามมักจะเป็นที่รู้กันดีว่าในยุคสุดท้ายก่อนวันกินยามัต สังคมจะเต็มไปด้วยฟิตนะห์ ความร่ำระส่าย สับสน วุ่นวาย ความจริงถูกปะปนด้วยความเท็จ จนเเยกไม่ออก สัจธรรมศาสนากลายเป็นเครื่องมืออุดมการณ์ความชั่วร้ายเพื่อดุนยา

เเละในพื้นที่ 3 จชต.บ้านเราที่ยังคงวุ่นวายไม่เป็นสุข เพราะความสุดโต่งของคนบางกลุ่มที่ตัดสินฮุก่มศาสนาเเค่เปลือกนอกหาใช่เเก่นเเท้ศาสนามาใช้หากินสร้างความวุ่นวายตั้งเเต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ความสุดโต่งที่มองผู้อื่นจากตนเป็นคนผิด มุนาฟิก กาเฟร จนมองเลือดเนื้อคนเหล่านั้นเป็นที่ฮาลาล โดยเบื้องหลังคือเกมส์การเมืองสกปรกหาใช่การเรียกหาความสันติสุขโดยเเท้จริง กลุ่มนั่น กลุ่มนี้ ที่ไม่ใช่อะลิซุนนะห์วัลญามาอะห์

เเนวคิดเหล่านี้ยังคงถูกส่งต่อผ่านเยาวชนผ้าขาวไร้มุมมองเเละประสบการณ์ผ่านบทเรียนศาสนาที่ปะปนเจตนาร้ายมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมันสำเเดงให้เห็นเเล้วว่า เด็กเเละเยาวชนที่ถูกบ่มเพาะในวันนั้น มาร่วมขบวนการหมดเเล้วในวันนี้

หากสังคมยังคงละเลย เห็นการบ่มเพาะเด็กเยาวชนเป็นเรื่องกุ เรื่องสร้าง ยังมองว่าไม่ใช่เรื่องจริงเเค่ข่าวลือ ต่อไปสังคมในพื้นที่จะขับเคลื่อนศาสนาผ่านเเนวคิดชั่วร้าย ของดีที่เคยบริสุทธิ์ ก็จะถูกย้อม ถูกป้ายด้วยมลทิน เหลือไว้เเค่ก่อการร้ายสุดโต่งเเน่นอน

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ถอดพิมพ์เขียว แผนประทุษกรรมภูเก็ต บึ้มป่วนอันดามัน

ถอดพิมพ์เขียว แผนประทุษกรรมภูเก็ต บึ้มป่วนอันดามัน

เหตุการณ์ระทึกขวัญ สกัดจับ 2 หนุ่มจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ที่ จ.พังงา ขณะขับรถยนต์เก๋ง ป้ายทะเบียนสุรินทร์ ภายในรถซุกซ่อนอุปกรณ์ประกอบระเบิดและดินระเบิด เมื่อวันที่ 23 ต่อเนื่องวันที่ 24 มิ.ย.68 นั้น

เหตุการณ์นี้ลุกลามบานปลายไปมาก เพราะมีการไล่กล้องวงจรปิด พบผู้ร่วมขบวนการอีกหลายราย รวมถึงสอบปากคำขยายผลจากชายหนุ่ม 2 คนแรกที่ถูกควบคุมตัวได้ ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถยิงทำลายวัตถุต้องสงสัยที่ติดตั้งไปกับรถจักรยานยนต์ ซึ่งถูกคนร้ายนำไปจอดภายในท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต รวมทั้งตามไปเก็บกู้ระเบิดตามแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของภูเก็ต ทั้งแหลมพรหมเทพ และหาดป่าตอง

แต่ปฏิบัติการของคนร้ายกลุ่มนี้ยังไม่จบแค่นั้น โดย ณ ปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ยึดรถยนต์ได้ 1 คัน ซึ่งถูกจับพร้อม 2 หนุ่มชายแดนใต้ที่พังงา และตรวจพบรถจักรยานยนต์ที่เกี่ยวข้องอีก 3 คัน คือคันที่ประกอบระเบิดแล้ว และนำไปจอดก่อเหตุที่ท่าอากาศยานภูเก็ต คันนี้ถูกเจ้าหน้าที่ยิงทำลาย, คันที่ 2 พบที่มัสยิดแห่งหนึ่งใน จ.กระบี่ และคันที่ 3 เป็นคันที่ใช้ขับขี่กลับชายแดนใต้ มีหลักฐานเป็นกล้องวงจรปิด ผ่านพืนที่ อ.สิเกา และ อ.เมือง จ.ตรัง

จนถึงขณะนี้พบการวางระเบิดในพื้นที่ จ.ภูเก็ต 5 จุด คือ ที่หาดป่าตอง 2 จุด ที่แหลมพรหมเทพ 1 จุด ที่หาดสุรินทร์ 1 จุด และที่ท่าอากาศยานภูเก็ต 1 จุด (จุดสนามบินเป็นรถจักรยายนต์)

ทั้งยังพบการวางระเบิดที่ จ.กระบี่ จำนวน 5 จุด หนึ่งในนั้นคือที่มัสยิด เป็นรถจักรยานยนต์ ส่วนที่เหลือยังค้นหาไม่พบ แต่ข้อมูลการวางระเบิด 5 จุด มาจากคำให้การของผู้ที่ถูกจับกุม

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังได้ข้อมูลจากการแกะรอยภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่า กลุ่มคนร้ายยังมีช่วงเวลา 30 นาที หายไปใน อ.สิเกา จ.ตรัง คาดว่านำระเบิดไปวางในพื้นที่ โดยคนร้ายซึ่งใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ แต่เจ้าหน้าที่ยังหาวัตถุระเบิดไม่พบ

ส่วนทีมปฏิบัติการที่ร่วมก่อเหตุมีทั้งหมด 6 คน เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมได้แล้ว 5 คน ได้แก่

      1.นายมูหามะ วาเด็ง ภูมิลำเนาอยู่ที่ ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ถูกจับที่ จ.พังงา

      2.นายสุไลมาน กาซา ภูมิลำเนาอยู่ที่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ถูกจับที่ จ.พังงา เช่นกัน ขณะขับรถยนต์ฮอนด้า ซิตี้ สีดำ ป้ายทะเบียนสุรินทร์ ไปตระเวนวางระเบิดในพื้นที่ จ.ภูเก็ต

      3.นายซอลาฮุดีน แยนา

      4.นายมูฮัมหมัดซิ๊กดิ๊ก ยุนุ

      5.นายรอมือซี เจะเฮง

สามรายนี้ถูกควบคุมตัวขณะเจ้าหน้าที่นำกำลังเข้าค้นบ้าน ใน ต.ม่วงเตี้ย อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี

ส่วน นายเปาะซู (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องสงสัยอีกรายหนึ่ง ยังคงหลบหนี

ค้นบ้านเช่าที่ยะรัง จุดรวมตัวก่อนปฏิบัติการ การติดตามล่าตัว “ทีมปฏิบัติการบึ้มป่วนอันดามัน” ยังคงเข้มข้น และเจ้าหน้าที่ปิดล้อมตรวจค้นบ้านเป้าหมายแบบปูพรม

กำลังผสมเข้าบังคับใช้กฎหมาย พิสูจน์ทราบที่บ้านเช่าหลังหนึ่ง ในพื้นที่บ้านโคกหญ้าคา หมู่ 6 ต.คลองใหม่ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี เนื่องจาก นายมูหามะ วาเด็ง ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ที่ จ.พังงา ให้การซัดทอดว่าใช้เป็นจุดรวมตัวก่อนเดินทางไปก่อเหตุในพื้นที่ จ.ภูเก็ต

อย่างไรก็ดี เจ้าหน้านี้ไม่พบบุคคลต้องสงสัยเพิ่มเติมที่บ้านเช่าหลังนี้ แต่ได้ยึดวัตถุพยานไว้หลายรายการ ส่วนใหญ่เป็นของใช้ส่วนตัวของผู้อาศัย เพื่อนำไปตรวจสอบหาความเชื่อมโยง โดยเฉพาะแปรงสีฟัน ก้นบุหรี่ ไฟแช็ค หมวกเดินป่า

อุกอาจ! วางระเบิดหน้าจวนผู้ว่าฯ พังงา จุดที่กลุ่มคนร้ายลอบวางระเบิด ยังพบเพิ่มเติมที่ จ.พังงา บริเวณรั้วหน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัด โดยเจ้าหน้าที่ยืนยันว่า ตรวจสอบแล้วเป็นวัตถุระเบิดจริง แต่เก็บกู้ได้สำเร็จ ไม่มีใครได้รับอันตราย

เปิดแผนประทุษกรรม “หว่านระเบิด” แหล่งท่องเที่ยว สำหรับการซักถามและสอบปากคำ นายมูหามะ วาเด็ง กับ นายสุไลมาน กาซา สองผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมชุดแรกที่ จ.พังงา ทั้งคู่ให้การรับสารภาพ โดยมีข้อมูลสำคัญดังนี้

- ตั้งใจนำระเบิดไปวาง 4 ลูกที่ภูเก็ต โดยมี “จยย.บอมบ์” เป็นรถจักรยานยนต์สีขาว ทะเบียน 3422 ซึ่งขี่ร่วมขบวนไปจากสงขลา เพื่อไปร่วมก่อเหตุ และมีแผนทำเป็น “จยย.บอมบ์” เข้าไปจอดที่สนามบินภูเก็ต

- มูหามะ วาเด็ง ให้การว่า ออกจากบ้านตั้งแต่เวลา 21.00 น. ของวันที่ 21 มิ.ย. โดยให้เพื่อนขี่รถจักรยานยนต์ไปส่งที่หาดสะกอม และเมื่อไปถึงจุดนัดพบ ก็มีรถยนต์เก๋งฮอนด้า ซิตี้ สีดำ ป้ายทะเบียนสุรินทร์ จอดรออยู่แล้ว รวมถึงรถจักรยานยนต์อีก 3 คัน

- ทั้งหมดเดินทางขึ้นภูเก็ตพร้อมกัน โดยผลัดกันขับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ รวมทั้งสลับเสื้อแจ็คเก็ตกัน บรรทุกวัตถุระเบิดและน้ำมันเชื้อเพลิงไว้ในกระโปรงหลังของรถยนต์ นอนพักที่กระบี่ 1 คืน แล้วจึงเดินทางต่อ

- เมื่อไปถึงภูเก็ต ได้นำกระเป๋าส่งอาหาร แบบเดียวกับที่ไรเดอร์ใช้ มาติดตั้งที่รถจักรยานยนต์ และขับไปวางระเบิดที่สนามบิน

- ระหว่างรอเวลา ได้ไปแวะพักที่มัสยิดบ้านท่าฉัตรไชย รวมตัวกันกินข้าว ละหมาด โดยใช้มัสยิดระหว่างทางเป็นจุดแวะพักและรวมตัว

- มีการนำระเบิดไปวางที่แหลมพรหมเทพ 1 ลูก ที่หาดป่าตอง 2 ลูก จากนั้นได้แยกย้ายกันเดินทางกลับ จนกระทั่งถูกจับกุม