วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ความเคร่งครัดในศาสนา ไม่ใช่ความสุดโต่ง

ความเคร่งครัดในศาสนา ไม่ใช่ความสุดโต่ง

ในสถานการณ์ปัจจุบัน ความเข้าใจผิดที่ว่า "มุสลิมที่เคร่งครัดในหลักศาสนา" คือผู้ที่มีแนวโน้มสุดโต่งหรือชอบความรุนแรง กลายเป็นปัญหาสำคัญที่สร้างระยะห่างระหว่างเจ้าหน้าที่ความมั่นคงกับพี่น้องมุสลิมในหลายพื้นที่ ซึ่งแท้จริงแล้ว ความจริงตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

มุสลิมที่ยึดมั่นในหลักการศาสนาอย่างเคร่งครัด คือบุคคลที่ดำรงอยู่บนพื้นฐานของศีลธรรมอันมั่นคง พวกเขาเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า (อัลเลาะห์) ผู้ทรงฤทธานุภาพ และหวังเพียงในความเมตตาและรางวัลในโลกหน้า ไม่ใช่ยศฐาบรรดาศักดิ์หรือเกียรติยศในโลกดุนยา การเกรงกลัวอัลเลาะห์ ทำให้เขาหลีกเลี่ยงความผิด ไม่ทำร้ายใคร ไม่หลอกลวง และไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนจากการเบียดเบียนผู้อื่น

ในทางตรงกันข้าม คนที่ขาดศีลธรรม ปล่อยตัวตามกิเลส ละเลยการละหมาด ไม่ถือศีลอด และไม่ปฏิบัติตามหลักศาสนา คือผู้ที่ไม่เกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้า และเมื่อคนผู้นั้นไม่เกรงกลัวแม้แต่พระเจ้าผู้ทรงสร้าง ย่อมไม่เกรงกลัวต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยเช่นกัน คนเช่นนี้ง่ายต่อการทรยศ โกหก หลอกลวง และทำลายความไว้วางใจในสังคม

ดังนั้น เจ้าหน้าที่ความมั่นคงและหน่วยงานของรัฐควรพิจารณามุมมองใหม่ : "ผู้ที่ดำรงชีวิตตามหลักศาสนาอย่างครบถ้วน คือพันธมิตรสำคัญในการสร้างสันติสุข"

พวกเขาไม่ใช่ฝ่ายตรงข้าม ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่คือผู้ที่มีหัวใจมั่นคงในความดี เป็นรากฐานของสังคมที่สงบสุขอย่างแท้จริง

การไปกดดันหรือมองผู้ที่ยึดมั่นในหลักศาสนาด้วยสายตาแห่งความหวาดระแวง มีแต่จะผลักไสผู้ที่ควรเป็นพันธมิตรให้กลายเป็นฝ่ายตรงข้ามโดยไม่จำเป็น นำไปสู่การขาดผู้นำที่แท้จริง ขาดผู้รู้ที่สามารถชี้ทางสันติภาพได้ และท้ายที่สุดความสงบสุขที่แท้จริงก็จะยังคงเป็นเพียงความฝันที่ไกลเกินเอื้อม

การเปลี่ยนมุมมองจึงไม่ใช่แค่เรื่องของนโยบาย แต่เป็นเรื่องของการสร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้งระหว่างผู้มีอำนาจกับประชาชน เพื่อร่วมกันเดินสู่หนทางแห่งสันติภาพอย่างยั่งยืน

ซุ้ลฮิจยะห์(เดือนกุรบาน) เป็นเดือนแห่งการทดสอบ สติปัญญา และสันติสุข

เดือนซุ้ลฮิจยะห์(เดือนกุรบาน) เป็นเดือนแห่งการทดสอบ สติปัญญา และสันติสุข

เดือนซุ้ลฮิจยะห์ (ذو الحجة) คือเดือนที่ 12 ของปีฮิจเราะห์ศักราชตามปฏิทินจันทรคติอิสลาม ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นเดือนสุดท้ายของปี แต่ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งในเชิงศาสนา ประวัติศาสตร์ และจิตวิญญาณ

สำหรับชาวมุสลิมทั่วโลก เดือนนี้ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งใน "อัลอัชฮุรุลฮุรุม" หรือเดือนต้องห้าม ซึ่งมีอยู่สี่เดือนที่อัลเลาะห์ (ซ.บ.) ได้กล่าวถึงในพระมหาคำภีร์อัลกุรอาน ซูเราะห์อัตเตาบะห์ อายะห์ที่ 36 ว่า “แท้จริงแล้ว จำนวนเดือน ณ ที่อัลเลาะห์นั้น มี 12 เดือน… ส่วนหนึ่งจากเดือนเหล่านั้น มี 4 เดือนซึ่งเป็นเดือนต้องห้าม” การต้องห้ามในที่นี้หมายถึงการห้ามการต่อสู้และสงคราม โดยเฉพาะในยุคก่อนอิสลามที่ชาวอาหรับจะพักการสู้รบ หันมาทำการค้าขาย แลกเปลี่ยนสินค้า และเดินทางสู่เมืองมักกะห์เพื่อประกอบพิธีฮัจย์ ซึ่งสะท้อนถึงความศักดิ์สิทธิ์และสันติของเดือนนี้

ในเชิงประวัติศาสตร์ เดือนซุ้ลฮิจยะห์เคยถูกเรียกในชื่ออื่น ๆ โดยชนชาวอาหรับยุคก่อนอิสลาม เช่น "นะอัส" (نَعَس), "บูร้อก" (بُرَك) และในหมู่ชนเผ่าสะมูด ซึ่งเป็นประชากรของท่านศาสดาซอและห์ พวกเขาเรียกเดือนนี้ว่า "มุสบิ้ล" (مُسْبِل) ชื่อเรียกต่าง ๆ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและความเข้าใจต่อธรรมชาติของเวลาและความศักดิ์สิทธิ์ในยุคสมัยนั้น

หนึ่งในเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเดือนซุ้ลฮิจยะห์ คือพิธีฮัจย์ ซึ่งถือเป็นเสาหลักหนึ่งในห้าของศาสนาอิสลาม และในวันที่ 10 ของเดือนนี้ ยังมี "วันอีดกุรบาน" หรือ "วันอีฎิ้ลอัฎฮา" ซึ่งเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองชัยชนะของมนุษย์ที่สามารถเอาชนะอารมณ์ใฝ่ต่ำ และสัญชาตญาณแห่งความเป็นสัตว์ (ฆ่อรีซะฮ์) ได้ เป็นวันที่สะท้อนความศรัทธา การเสียสละ และความจงรักภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้า ตามรอยท่านนบีอิบรอฮีม (อ.) ที่ฝันว่าตนเองเชือดอิสมาอีล (อิชมาอิล) ลูกชายของท่าน ตามคำบรรยายในอัลกุรอาน ลูกชายของท่านยอมที่จะให้ตนเองถูกเชือดเพื่ออัลเลาะห์ แต่ก่อนที่ท่านจะเชือดลูกชาย อัลลอฮ์ทรงสั่งให้หยุดและประทานให้เชือดแกะแทน เป็นการทดสอบความศรัทธาแรงกล้า

พระผู้เป็นเจ้าได้สร้างสรรพสิ่งไว้สามกลุ่มใหญ่ หนึ่ง คือ สัตว์เดรัจฉานที่ขับเคลื่อนชีวิตด้วยสัญชาตญาณและอารมณ์ใคร่ สอง คือ มวลมลาอิกะฮ์ (ทวยเทพ) ที่ดำรงอยู่โดยปราศจากอารมณ์ใฝ่ต่ำและปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้าเสมอ และสาม คือ มนุษย์ ผู้มีทั้งสติปัญญาและอารมณ์ใฝ่ต่ำอยู่ในตัว หากมนุษย์เลือกที่จะตามสัญชาตญาณ เขาก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน และอาจต่ำกว่านั้น หากเขาเลือกที่จะใช้สติปัญญา ปฏิบัติตามคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า เขาก็อาจมีคุณค่ามากกว่ามลาอิกะฮ์

ดังวจนะของท่านอะมีรุลมุอ์มินีน (อ.) ที่ว่า “อัลเลาะห์ทรงประทานสติปัญญาแก่เทวฑูต โดยไม่มีอารมณ์ใคร่ และประทานอารมณ์ใคร่แก่สัตว์เดรัจฉานโดยไม่มีสติปัญญา ส่วนมนุษย์ พระองค์ประทานทั้ง 2 อย่าง ผู้ใดที่ใช้สติปัญญาพิชิตอารมณ์ใฝ่ต่ำ เขาคือผู้ที่ประเสริฐกว่ามลาอิกะฮ์ และผู้ใดที่ตกอยู่ใต้อารมณ์ใฝ่ต่ำ เขาเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน

ดังนั้น วันอีดกุรบาน จึงไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลองตามประเพณีศาสนาเท่านั้น แต่คือวันที่มนุษย์ควรย้อนกลับมาทบทวนว่าเขาอยู่ในกลุ่มใด ระหว่างผู้ที่ใช้สติปัญญานำทางชีวิต หรือผู้ที่ปล่อยให้สัญชาตญาณควบคุมจิตใจ หากเขาสามารถเอาชนะอารมณ์ใฝ่ต่ำได้ เลือกที่จะทำตามคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า เขาคือผู้มีสิทธิ์ที่แท้จริงในการเฉลิมฉลองอีดนี้

ขณะเดียวกัน เราต้องตระหนักว่า การก่อการร้ายหรือการใช้ความรุนแรงในนามของศาสนา โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยนั้น เป็นสิ่งที่ผิดหลักการอิสลามอย่างร้ายแรง ทั้งในมิติของจริยธรรม ศาสนธรรม และกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐ หรือการทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ ล้วนเป็นบาปใหญ่ และผู้กระทำไม่อาจอ้างศาสนาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการกระทำของตนได้

ประเทศไทยคือประเทศที่เปิดโอกาสและเคารพในเสรีภาพทางศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างวัด โบสถ์ หรือมัสยิด ล้วนมีสิทธิ์ตามกฎหมาย จึงไม่อาจมีเหตุผลใดที่บุคคลหนึ่งจะอ้างว่า ประเทศนี้เป็น "ดารุลฮัรบี" เพื่อใช้ความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์ การเลือกที่จะสร้างสันติ พัฒนา และอยู่ร่วมกันในความสงบ คือหนทางที่สมควรยิ่งในเดือนแห่งสติปัญญาและการเสียสละเช่นเดือนซุ้ลฮิจยะห์นี้

สรุป

เดือนซุ้ลฮิจยะห์คือเดือนแห่งการเตือนสติให้มนุษย์ เลือกทางที่ถูกต้อง ให้พิจารณาคุณค่าของสติปัญญาเหนืออารมณ์ และให้ยืนหยัดในความยุติธรรมและสันติสุข ไม่ใช่เพียงเพื่อเฉลิมฉลองในวันนี้เท่านั้น แต่เพื่อวางรากฐานของชีวิตและสังคมที่สงบสุขตลอดไป.

เด็กไม่ใช่เป้าหมาย หรือเป็นเพียงถ้อยคำเชิงสัญลักษณ์

เด็กไม่ใช่เป้าหมาย หรือเป็นเพียงถ้อยคำเชิงสัญลักษณ์

ขณะที่ภาคประชาสังคมเรียกร้องสันติภาพเเบบน่าสงสาร กองกำลังติดอาวุธก็กลับก่อเหตุไม่เคยหยุด

ในขณะที่สังคมภายนอกให้ความสนใจประเด็นความเคลื่อนไหวของ 3 จังหวัดชายเเดนใต้ ในภาคประชาสังคมเรียกร้องสันติภาพผ่านการสิทธิมนุษยชน ความเหลื่อมล้ำ ความเเตกต่าง เเละอีกสารพัดประการ

ภาคประชาสังคมที่เคลื่อนไหวบนโลกโซเชียลผ่านคีบอร์ดผู้ได้รับผลประโยชน์จาก 3 จชต. ทั้งนักสิทธิ์ NGO สส. เเละนักการเมือง ทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนหล่นหายจากเเนวความคิดในจิตสันดานของกลุ่มขบวนการที่เเท้จริง มากมายหลายครั้งที่เหล่านักสิทธิ์ NGO สส.เเละนักการเมืองติ่งขบวนการ นิ่งเงียบ จำศีล เเกล้งปิดหูปิดตา ยามใดที่เคราะห์ร้ายพลาดตกบนเด็ก เเละผู้บริสุทธิ์จนต้องเดือดร้อนเเละสูญเสีย เเละบางครั้งทำทีออกมาประณามหลังจากกระเเสกดดันหนัก

เเต่ในขณะเดียวกัน ยามใดเกิดการบังคับใช้กฎหมายหรือจับกุม กลุ่มขบวนการ กลับออกมาชักดิ้นชักหงายเรียกร้องสิทธิมนุษยชนเเก่กลุ่มขบวนการเหมือนเเซ่ตระกูลตน เเละในเวลาเดียวกันที่ภาคประชาสังคมเรียกร้องสิทธิมนุษยชน กองกำลังติดอาวุธระดับปฏิบัติการในพื้นที่ก็สร้างสถานการณ์ไม่หยุด

จึงไม่เป็นเรื่องเเปลกที่คนนอกพื้นที่ เสพรับสื่อความเคลื่อนไหว 3 จชต.ที่กรองจนมิอาจเหลือไว้ซึ่งความจริง เพราะภาคประชาสังคมตัวดี ที่นำเสนอ เเละเรียกร้องคัดเอาเฉพาะผลประโยชน์เข้าฝ่ายตน โดยมิเคยเอื้อนเอ่ยมูลเหตุความขัดเเย้งให้สังคมได้รับรู้เลยเเม้เเต่น้อย

จุดเปลี่ยนสถานการณ์ความรุนแรงชายแดนใต้

จุดเปลี่ยนสถานการณ์ความรุนแรงชายแดนใต้

ต้นตอปัญหา มรดกบาปที่นักการเมืองทิ้งไว้ ทำลายสังคมพหุวัฒนธรรม “แยกอัตลักษณ์” ให้เกิดความแตกต่างของศาสนา ชาติพันธุ์ จุดเปลี่ยนปัญหาชายแดนใต้ ความผิดพลาดทางนโยบายของนักการเมือง เริ่มต้นจากรัฐบาลเชาวลิต ผู้นำพรรคการเมืองของ ทักษิณ ในขณะนั้น ในปี 2523 จัดตั้งโครงการ ฮารับปันบารู(Harapan Baru) ก็คือ 66/23 ฉบับชายแดนใต้ ดึงสมาชิกขบวนการบีอาร์เอ็น(ยุคเก่า) เข้าร่วมพัฒนาชาติไทย จนต่างเติบโตมีบทบาทในเวทีการเมือง ผลักดันขับเคลื่อนแก้ไขข้อกฎหมาย ที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ความรุนแรง และเป็นจุดเริ่มต้นของการปลูกฝังเด็กเยาวชนในพื้นที่มาจนถึงปัจจุบัน

ต่อมาในปี 2535 ริเริ่มดึงกลุ่มวาดะห์ ให้เข้ามาร่วมงานการเมืองเพียงหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ต้องการเก้าอี้ ส.ส. ในสามจังหวัด เติบโตมาถึงปัจจุบัน และ ในปี 2540 มีการผลักดันนโยบายการศึกษาในพื้นที่ชายแดนใต้ แยกให้มีการแต่งกายแบบมุสลิม โดยการ “แยกอัตลักษณ์” ให้เกิดความแตกต่างของศาสนา ชาติพันธุ์ เกิดความแตกแยกในพื้นที่ แบ่งพวกมึงพวกกู

พอปี 2545 มีคำสั่งให้ยุบ ยุบ ศอ.บต.และ พตท.43 จนสถานการณ์ความรุนแรงปะทุขึ้นมาอีกครั้งเพราะไม่มีหน่วยควบคุมรับผิดชอบ สถานการณ์ลุกลามเกินการควบคุมและทวีความรุนแรงต่อเนื่อง 

อีกทั้งต่อมาในปี 2551 ยังออก พ.ร.บ.โรงเรียนสอนศาสนาเอกชน ปอเนาะ ตาดีกา แยกเด็กออกจากกันกลายเป็นสังคมเดี่ยว ทำลายสังคมพหุวัฒนธรรมในพื้นที่จนหมดสิ้น เป็นจุดเริ่มต้นการปลูกฝังภายในโรงเรียน การแทรกแซงการศึกษาการเข้าไปยังสถานศึกษาของกลุ่มขบวนการ และปัจจุบันก็ไม่มีใครคิดที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านี้ ปล่อยให้การเพาะพันธุ์ความเกลียดชังแพร่ขยาย เป็นปัญหาต้นน้ำของความรุนแรงให้ดำเนินไปอย่างไม่รู้จบ

เวลาผันเปลี่ยนมรดกบาปจากนักการเมืองรุ่นเก่าปัญหาเก่ายังคงไร้การแก้ไขการปลูกฝังเยาวชนยังคงเกิดขึ้นในพื้นที่ ปัจจุบันนักการเมืองรุ่นใหม่ปีกการเมือง BRN สามารถแทรกแซงเข้าไปนั่งในสภาของไทยอีกครั้ง พร้อมกับเติมเชื้อไฟความขัดแย้งตลอดเวลา ผลักดันแก้ไขข้อกฎหมาย ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 1 ปูทางสู่การแบ่งแยกดินแดน ยกเลิกกฎหมายที่บังคับใช้กับกลุ่มขบวนการผู้ก่อการร้ายในพื้นที่ ยกเลิกด่านตรวจให้อิสระในการเคลื่อนไหวก่อเหตุ ผลักดันเรียกร้องให้ถอนทหารออกจากพื้นที่ ไม่ต่างกับต้องการส่งมอบพื้นที่ให้แก่กลุ่ม BRN  ต้นตอปัญหาความขัดแย้งที่หลายคนไม่ทราบ และถูกมองข้าม อาจไม่เห็นชัดเหมือนการก่อเหตุ แต่ปัญหาทางการเมืองเหล่านี้มันกำลังกัดกิน และเป็นต้นเหตุของความรุนแรงที่แท้จริง

วันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2568

กองทุน BRN 4 พันล้าน รบได้อีกนานกับรัฐไทย

กองทุน BRN 4 พันล้าน! รบได้อีกนานกับรัฐไทย

ข่าวคราวความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่แผ่วลงเลย จากชุดความรุนแรงที่มี “กลุ่มอ่อนแอ-เปราะบาง” ตกเป็นเป้า ทั้งเด็ก คนแก่ คนพิการ และนักบวชในศาสนาพุทธอย่าง “เณร” ช่วงครึ่งหลังของเดือน เม.ย.ต่อต้นเดือน พ.ค.68 ที่ผ่านมา

ล่าสุดชุดความรุนแรงได้ย้ายมาโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ ทหาร และ อส.อีกระลอก ทั้งๆ ที่นี่คือปี 21 และกำลังจะก้าวสู่ปีที่ 22 ของสถานการณ์ไฟใต้ นับตั้งแต่เหตุปล้นปืนครั้งมโหฬารเมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 แล้ว

ทำไมเกิดคำถามนอกเหนือจากคำถามเดิม ๆ ที่ว่า ทำไมรัฐบาลทุกชุดจึงแก้ไขปัญหาไม่ได้สักที

วันนี้มีคำถามใหม่เพิ่มขึ้นมาว่า ขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือ กลุ่มก่อความไม่สงบที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำไมถึงก่อเหตุได้บ่อยจัง เพราะขนาดรัฐบาลส่งทหาร ตำรวจ อส. ลงไปแก้ปัญหาตลอด 21 ปี ใช้งบไปแล้ว 5 แสนกว่าล้านบาท (เฉพาะงบโครงการ ไม่รวมเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง) แล้วกลุ่มป่วนใต้เอาเงินมาจากไหน จึงก่อเหตุได้ไม่หยุดหย่อน

ทีมกาแฟยามเช้า มีข้อมูลที่รวบรวมจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่ศึกษาโครงสร้างของกลุ่ม BRN ซึ่งเป็นขบวนการที่เชื่อกันว่ามีบทบาทสูงสุดต่อสถานการณ์ชายแดนใต้ในห้วงกว่า 2 ทศวรรษมานี้ โดยข้อมูลที่รวบรวมได้ มีส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับแหล่งทุนของ BRN ว่ามาจากไหน

1. การเก็บค่าสมาชิก คนละ 1 บาทต่อวัน เพื่อนำไปเป็นทุนในการต่อสู้และปลดปลอย “ดินแดนปัตตานี” ที่เรียกว่า “ปาตานี”

- จริงๆ แล้วการเก็บค่าสมาชิก มีเหตุผลแฝงในแง่ของการ “เช็คยอด - เช็คกำลังสนับสนุน” ด้วย ไม่ได้มุ่งหวังเพียงแค่ตัวเงินเท่านั้น

- การเก็บค่าสมาชิก ยังสร้างการมีส่วนร่วมให้มวลชนรู้สึกว่า เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ ทำให้เกิดความสามัคคีและช่วยเหลือกัน

2. เข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ โดยเฉพาะ “กรีดยางในสวนยางพารา” ของสมาชิก เดือนละ 1 วัน กรีดได้เท่าไร ก็นำรายได้ส่งเข้าขบวนการทั้งหมด

3. ลอบวางระเบิดตามสวนยางพารา สวนผลไม้ของคนไทยพุทธ และกระทำรุนแรงต่อคนพุทธ เพื่อขับไล่ออกจากพื้นที่ บีบหรือกดดันให้ขายสวน ขายกิจการในราคาถูก

4. พี่น้องไทยพุทธบางส่วนอพยพออกจากพื้นที่โดยไม่ได้ขายที่ดิน หรือสวนผลไม้ สวนยางพารา ช่วงที่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ ก็จะมีคนของขบวนการเข้าไปกรีดยาง เก็บผลไม้ เก็บรายได้ไปแทน

5. เก็บค่าคุ้มครองจากกิจการห้างร้านต่างๆ แต่การเรียกค่าคุ้มครองนี้ ไม่ชัดเจนว่าเป็นการกระทำของขบวนการแบ่งแยกดินแดนจริงๆ หรือมีกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่สวมรอย หรือเป็นกลุ่มเดียวกัน

6. เก็บรายได้จากธุรกิจผิดกฎหมาย และมีคนในขบวนการบางส่วน เชื่อมโยงกับกลุ่มค้ายาเสพติด ขนสินค้าเถื่อน ในลักษณะเอื้อประโยชน์กัน เช่น ใช้คนในขบวนการแบ่งแยกดินแดนก่อเหตุรุนแรง เพื่อให้กำลังของเจ้าหน้าที่เทไปในพื้นที่เกิดเหตุ เปิดทางให้การลำเลียงยาเสพติดหรือของเถื่อน น้ำมันเถื่อนในอีกพื้นที่หนึ่ง ทำได้สะดวกขึ้น

ขณะที่ฝ่ายขบวนการก็ได้ผลประโยชน์จากเม็ดเงินค่าจ้าง หรือสร้างความเสียหายให้กับเจ้าหน้าที่

แต่ก็มีความเป็นได้ว่า กลุ่มค้ายา หรือค้าของเถื่อน มีกองกำลังของตัวเองอีกส่วนหนึ่งด้วย ในการสร้างสถานการณ์ต่างๆ

7. เม็ดเงินจากสมาชิกบางส่วนที่ไปทำงาน หรือประกอบกิจการในมาเลเซีย มีการตั้งเครือข่ายผู้ประกอบการ เชื่อมโยงกับกลุ่มที่มีแนวคิดแตกต่างจากรัฐ

นี่คือแหล่งที่มาของ “เม็ดเงิน” ซึ่งถูกนำมาใช้ในกิจกรรมก่อความรุนแรง โดยมีเป้าหมายเพื่อแบ่งแยกดินแดน หรือลดทอนอำนาจการปกครองของรัฐไทยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

Finance ของ BRN “ทุน-สินทรัพย์ 4 พันล้าน”

อย่างไรก็ดี ล่าสุดงานวิจัยชาวเยอรมัน ดร.ซาช่า เฮลบาร์ท (Dr. Sascha Helbardt) ซึ่งร่วมวิจัยในโครงการ “แนวความคิดในการต่อต้านความรุนแรงแบบสุดโต่ง กับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย” ร่วมคณะกับ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง และเคยผ่านงานในระดับรัฐบาลมาแล้วในอดีต

ข้อมูลวิจัยของ ดร.ซาช่า ส่วนหนึ่งที่เกี่ยวกับ Finance ของ BRN ข้อมูลนี้ไม่ใช่ข้อมูลลอย ๆ เพราะมีที่มาจากหน่วยข่าวความมั่นคง และผลการซักถามผู้ต้องสงสัย และผู้ต้องหาคดีความมั่นคงชายแดนใต้ มีเลขคดี เลขการสอบสวนชัดเจน จึงขอสรุปในภาพรวมก่อน จากนั้นจะทยอยเสนอเจาะลึกในรายละเอียดแยกเป็นประเด็นๆ ต่อไป

1. เมื่อ 5 ปีก่อน มีข้อมูล “การข่าว” จากการประชุมผู้นำ BRN มีการระบุว่า ขบวนการมีเงินทุนและสินทรัพย์ที่ใช้เคลื่อนไหว รวมมูลค่า 4,000 ล้านบาท

2. เงินและทรัพย์สิน ตลอดจนสินทรัพย์อื่นๆ จำนวนนี้ มีอยู่ทั้งในประเทศไทยและมาเลเซีย

3. เงินส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดยผู้นำระดับสูง แต่ระดับล่างก็สามารถเก็บเงินบางส่วนไว้ใช้ในการดำเนินงานของตนได้

4. BRN มี “กระทรวงการคลังเงา” ทำหน้าที่จัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยต่างๆ ของ BRN เช่น

- ฝ่ายทหารของ BRN

- ฝ่ายการเมืองของ BRN

- กระทรวงศึกษาธิการของ BRN

- กระทรวงการต่างประเทศของ BRN 

(ทั้งหมดเป็นกระทรวงเงา)

รายได้ปีละ 100 ล้าน “ค่าสมาชิก-รับบริจาค-ร่วมลงทุน

5. รายได้อีกส่วนมาจาก “ค่าสมาชิกของ BRN” เก็บเงินจากสมาชิกวันละ 1 บาท พร้อมกับ “เงินบริจาคเพิ่มเติม” ที่เรียกว่า “ซะกาต” เช่น ในช่วงเทศกาลฮารีรายอ

6. มีระบบบริจาคต้นยางพารา “มีต้นยาง 100 ต้น ให้ BRN 1 ต้น” เพื่อให้คนของขบวนการไปกรีดยาง เก็บรายได้

7. BRN ไม่ได้หารายได้จากการค้ายาเสพติด เพราะขัดกับอุดมการณ์ของ BRN และยังลงโทษคนค้ายาเสพติดในชุมชนด้วย

8. BRN ไม่รับบริจาคเงินจากต่างประเทศ ตรงข้ามกับกลุ่ม PULO (พูโล) และกลุ่มขบวนการอื่นๆ

9. BRN ให้เงินกู้เป็นเครดิตแก่สมาชิกและผู้สนับสนุนของ BRN ที่ต้องการเปิดธุรกิจในประเทศมาเลเซียหรือประเทศไทย เช่น บริษัทค้าขายขนาดเล็ก หรือร้านอาหารไทยในมาเลเซีย ที่เรียกว่า “ร้านต้มยำกุ้ง” และเครือข่ายของร้านเหล่านี้ก็เป็นแหล่งทำงาน และกบดานของสมาชิก หรือนักรบที่หลบหนี กบดาน หลังถูกทางการไทยออกหมายจับ

ดร.ซาช่า สรุปในรายงานการศึกษาของตนว่า รายได้รวมทั้งหมดของ BRN ในแต่ละปี มีมูลค่าอย่างน้อย 100 ล้านบาท นอกเหนือจากเงินและสินทรัพย์เดิมที่มีอยู่แล้ว 4,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันมีข่าวว่า BRN บริจาคเงินให้กับกลุ่มฮามาส เพื่อต่อสู้กับอิสราเอลในดินแดนฉนวนกาซา และปาเลสไตน์ด้วย

สำหรับสินทรัพย์ของ BRN มูลค่า 4,000 ล้านบาท มีอะไรบ้าง นำไปใช้ในเรื่องอะไร และรายได้อีกปีละ 100 ล้านบาท มาจากที่ไหน โปรดติดตามในตอนต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

แนวทางการต่อสู้ของขบวนการ BRN

แนวทางการต่อสู้ของขบวนการ BRN

ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดมาอย่างยาวนานไม่จบสักที ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะกลุ่มขบวนการมีการสร้างคนรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาทดแทนคนรุ่นเก่าๆ ที่ปลดระวางในการต่อสู้ ด้วยการฝังชิปปลูกฝังแนวความคิด บิดเบือนประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังได้มีการกำหนดแนวทางในการต่อสู้กับรัฐไทยอย่างชัดเจน

แผนภูมิด้านล่างคือแนวทางการต่อสู้ของขบวนการ BRN ซึ่งได้มีการปลูกฝังแนวความคิดประกาศจุดยืนฐานอิสลาม สมาชิกแนวร่วมจะต้องเป็นคนมลายู มีความคิดที่ก้าวหน้า รุกเร้าให้มีการก่อเหตุรุนแรงให้มากขึ้น โดยให้ในแต่ระดับมีเอกภาพในการควบคุมสมาชิกด้วยกันเอง

จุดยืนฐานอิสลาม

          จุดยืนฐานอิสลาม คือจุดยืนสำหรับการต่อสู้ของขบวนการ BRN จะต้องยืนอยู่บนฐานใน 2 เรื่องหลักด้วยกัน คือ

          1. ดารุลฮัรบี หมายถึง ปัตตานีเป็นดินแดน หรือประเทศที่ต้องทำการขับไล่ผู้รุกรานให้ออกไปจากแผ่นดินปาตานี

          2. อิสลามนูซันตารา การต่อสู้จะต้องนำพาปาตานีไปสู่อิสลามนูซันตารา คือเป็นประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกประเทศหนึ่งที่ปกครองแบบอิสลาม

คนที่ต่อสู้จะต้องเป็นคนมลายูปาตานี

          คนที่ต่อสู้จะต้องเป็นคนมลายูปาตานี คนมลายูปาตานีจะต้อง 5(NO)ไม่ กับคนสยาม กล่าวคือ

          1. NO INFORMATION

          จะต้องไม่ยอมรับสื่อ หรือข่าวสารใดๆ ที่มาจากฝ่ายรัฐบาลไทย หรือเจ้าหน้าที่รัฐไทย ต้องไม่ยอมรับ ไม่เห็นด้วย และต่อต้านข่าวสารทุกชนิดที่มาจากรัฐไทย

          2. NO COMPROMISE

          ไม่ยอมให้อภัย ไม่สมานฉันท์ ไม่คืนดี ไม่ให้คำมั่นสัญญา ไม่เจรจา ไม่ประณีประณอม จะต้องการให้มีการเจรจาเกิดขึ้น

          3. NO ASSIMILATE

          จะต้องไม่อยู่ร่วมกันอย่างเด็ดขาด ไม่กลมกลืนทางวัฒนธรรม ไม่ปรองดองกับสยาม ซึ่งสยามมีความพยายามทำลายความเป็นชนชาติมลายู ทำลายศาสนาอิสลาม

          4. NO AUTONOMY

          จะต้องไม่เอาเขตปกครองพิเศษ หรือ AUTONOMY อย่างเด็ดขาด เขตปกครองพิเศษไม่ใช่เป้าหมายการต่อสู้ขององค์กร ขบวนการ BRN มีเป้าหมายเดียวเท่านั้นคือ“เอกราช”

          5. NO PALIAMENT

          จะต้องไม่ยอมรับกฎหมายไทย เพราะกฎหมายไทยเป็นกฎหมายของคนสยาม เป็นกฎหมายของชาวไทยพุทธ จะมาบังคับใช้กับคนมลายู และบังคับคนที่นับถือศาสนาอิสลามไม่ได้

ความคิดก้าวหน้า

          "ความคิดก้าวหน้า" คือ การสู้รบของมลายูอิสลามปาตานี จะสู้รบภายใต้แนวทางของขบวนการ BRN ยอมรับแนวทางการปฏิวัติของขบวนการอย่างเต็มที่ ไม่ยอมรับการเจรจา ไม่ยอมรับการประณีประณอม

การก่อเหตุให้รุนแรงและมากขึ้น

          การก่อเหตุให้รุนแรงและมากขึ้น จะต้องทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย คือ Merdaka (เอกราช) เท่านั้น การก่อเหตุรุนแรงจะต้องกระทำต่อเป้าหมาย 3 เป้าหมาย ด้วยกันคือ

          1. เป้าหมายอ่อนแอ ต้องกระทำทันที เช่น ทหาร, ตำรวจ, อ.ส., ทพ., เจ้าหน้าที่รัฐที่กลับบ้านโดยไม่ระมัดระวังตัว รวมไปถึงสายข่าว หรือมุนาฟิกในหมู่บ้าน สมาชิกของขบวนการ BRN ทุกคนจะต้องมีหน้าที่ในการสอดส่องดูแลเป็นหูเป็นตา รายงานให้สมาชิกปฏิบัติการ RKK ทราบทันที เพื่อทำลายให้หมดสิ้นไป

          2. เป้าหมายเข้มแข็ง ก็จะต้องกระทำเช่นเดียวกัน เพื่อแสดงศักยภาพให้มวลชนยอมรับว่าเราเหนือกว่ากองกำลังฝ่ายรัฐ เพื่อให้มวลชนศรัทธาต่อขบวนการ BRN มากกว่าศรัทธารัฐบาลไทย เป้าหมายเข้มแข็ง เช่น ทหาร, ตำรวจ, อส. และเจ้าหน้าที่ที่ลาดตระเวนเป็นกลุ่มก้อนในพื้นที่ หรือกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในฐานปฏิบัติการต่างๆ

          3. เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ คือเมื่อกระทำไปแล้วเกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ศรัทธา ต่อรัฐบาลไทย หรือทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นศรัทธาต่ออำนาจรัฐไทย เกิดผลกระทบในวงกว้างทั้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกพื้นที่ และในระดับโลก เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ เช่น ครู, พระ, วัด, โรงเรียน, คนไทยพุทธ รวมทั้งประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง ในชุมชน หรือทำลายแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญ

เอกภาพในทุกระดับ

          1. เอกภาพในการปฏิบัติ

          2. เอกภาพในการขับเคลื่อนองค์กร

          3. เอกภาพในการใช้ยุทธวิธี

          สมาชิกของขบวนการ BRN ทุกคนจะมีสิทธิเสรีในการปฏิบัติการอย่างเต็มที่ ทั้งในเรื่องการปฏิบัติการ การขับเคลื่อนองค์กร ทั้งองค์กรนำ, องค์กรมวลชน และองค์กรทางทหาร รวมถึงการปฏิบัติการทางยุทธวิธีต่างๆ ทุกคนจะมีเอกภาพในการปฏิบัติ แต่จะต้องอยู่ภายในกรอบ แนวทางการขับเคลื่อนขบวนการ BRN จนกว่าเราจะบรรลุจุดมุ่งหมาย นั่นคือเอกราช (Merdaka) เท่านั้น

          จากรายละเอียดข้างต้นจะเห็นได้ว่ามีการกำหนดกรอบแนวทางในการต่อสู้ของขบวนการ BRN ประเด็นหลักๆ คงหนีไม่พ้นการบิดเบือน การปลูกฝังแนวความคิดที่ผิดๆ ให้กับเด็กและเยาวชนคนรุ่นใหม่ๆ ที่จะก้าวขึ้นมาทดแทนคนรุ่นเก่าพร้อมทั้งติดเขี้ยวเล็บทางความคิดปลุกปั่นเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ให้สมาชิกแนวร่วมนำไปเป็นเงื่อนไขในการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐ

          ข้อความหลายบรรทัดมีการกล่าวถึงการไม่ยอมรับการเจรจา ไม่ยอมรับการประณีประนอมจากรัฐบาลไทย ทั้งๆ ที่รัฐบาลไทยภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีท่านปัจจุบันได้ให้ความสำคัญในการพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้ เปิดเวทีให้กับกลุ่มที่มีความคิดต่างจากรัฐมาพูดคุยกัน แทนที่จะใช้กำลังในการก่อเหตุ ซึ่งไม่ได้เป็นผลดีใดๆ เลยต่อองค์กรเลย ต่อประชาชนในพื้นที่ รวมไปถึงมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมในพื้นที่ ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวในการลงทุนของนักธุรกิจ

          ในปี 2558 (ที่ผ่านมา) เป็นปีที่ประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าร่วม AEC (Asean Economic Community) มีการแข่งขันกันในด้านการค้าการลงทุน หากกลุ่มขบวนการยังยืดเยื้อเดินหน้าในการสร้างสถานการณ์เช่นวันนี้อยู่ นักลงทุนต่างชาติก็ไม่กล้าที่จะมาลงทุนในพื้นที่แห่งนี้ แทนที่จะเกิดการจ้างงานให้กับพี่น้องปาตานีได้มีงานมีการทำ

          แต่ถึงกระนั้นรัฐบาลยังได้มีการกระตุ้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านการค้าการลงทุนในจังหวัดชายแดนใต้ขึ้นมารองรับ AEC ด้วยการพัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาลจังหวัดปัตตานี เป็นนิคมร่วมดำเนินงานระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และบริษัท ฟาตอนี อินดัสทรี จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.น้ำบ่อ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี บนเนื้อที่ 173 ไร่เศษ

          พร้อมทั้งดึงบริษัทขนาดกลาง และขนาดใหญ่เข้ามาลงทุนในนิคมดังกล่าว อีกทั้งมีการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดนราธิวาสขึ้นมาเพื่อการพัฒนาเสริมสร้างความมั่นที่ยั่งยืนให้กับพื้นที่ต่อไป คาดว่าจะมีการจ้างงานเกิดขึ้นให้กับคนในพื้นที่ได้มีงานทำ กระตุ้นเศรษฐกิจด้านการค้าการลงทุน การท่องเที่ยวด้านชายแดน เพื่อการพัฒนาเชื่อมโยงโครงข่ายด่านพรหมแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อการพัฒนาความเป็นอยู่ของพี่น้องปาตานีจังหวัดชายแดนใต้แห่งนี้....

ผู้นำศาสนา 5 จังหวัดชายแดนใต้ หาทางป้องกันกลุ่มบิดเบือนศาสนา

ผู้นำศาสนาห้าจังหวัดชายแดนใต้ หาทางป้องกันกลุ่มบิดเบือนศาสนา

ผู้นำศาสนาอิสลามใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ร่วมประชุมในเรื่องการหาหนทางป้องกันการระบาดของการบิดเบือนศาสนา ซึ่งนำไปสู่การใช้ความรุนแรงและอุดมการณ์รัฐอิสลาม ที่บ่อนทำลายศาสนาอิสลามและยังทำลายความมั่นคงของชาติ

นายอับดุลเราะห์มาน อับดุลสมัด ประธานสมาพันธ์คณะกรรมการอิสลาม 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เป็นประธานประชุมวาระพิเศษ เพื่อรับทราบและเสนอแก้ไขปัญหาในเรื่องความเป็นอยู่และเสถียรภาพ ชาติพันธุ์ ศาสนา ตลอดจนปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลาม จังหวัดนราธิวาส โดยมีคณะเลขานุการคณะกรรมการอิสลาม และนักศาสนา 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดสตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส และผู้แทนสื่อมวลชนจากประเทศมาเลเซีย เข้าร่วมประชุม

หลังเสร็จสิ้นการประชุม นายอับดุลเราะห์มาน ฯ ได้กล่าวว่า ได้เน้นย้ำถึงภยันตรายของการที่มีคนบางกลุ่มได้บิดเบือนศาสนาอิสลาม เพื่อหลอกลวงชาวมุสลิมให้ใช้ความรุนแรง โดยกลับกลายเป็นการทำลายศาสนาอิสลาม และทำลายความมั่นคงของชาติ

มันเป็นมหันตภัยอันตรายอย่างยิ่ง เพราะการสอนที่บิดเบือนศาสนา คนที่เชื่อจะถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ ทำลายศาสนาอิสลาม และยังทำลายต่อความมั่นคงของประเทศชาติ และเราต้องป้องกันคนของเราไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของกลุ่มบุคคลที่ใช้ความพยายามบิดเบือนศาสนาอิสลาม และการแพร่กระจายของกลุ่มไอซิส” นายอับดุลเราะห์มาน กล่าว

“เราห่วงใยประชาชนชาวมลายู หรือชาวไทยมุสลิม ที่บริโภคข่าวสารในหลายด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการบอกปากต่อปาก สื่อโชเชียลมีเดีย หรือสื่อสารมวลชน นั่นคือการรับข่าวสารที่เป็นข้อเท็จจริง และหลายครั้งมีแต่ข้อเท็จ มีการสร้างเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด และสร้างเงื่อนไขให้เกิดขึ้นในสังคม เพื่อขยายความขัดแย้งให้เกิดขึ้น ซึ่งหลายๆ ครั้ง มันเป็นเรื่องของผลประโยชน์” นายอับดุลเราะห์มาน ฯ กล่าวเพิ่มเติม

หนึ่งตัวแทนผู้นำศาสนา กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย มีปัญหาข้อขัดแย้งภายใน โดยการใช้อาวุธของชาวเชื้อสายมลายูใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนหนึ่ง กล่าวว่าตนต้องการเอกราชรัฐปาตานี ที่ถูกอาณาจักรสยามยึดครองมานานหลายศตวรรษคืนมา แต่ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าชาวเชื้อสายมลายูนับถือศาสนาอิสลาม จึงได้มีกลุ่มหัวรุนแรง ได้นำเอาศาสนามาเป็นเครื่องมือในการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์รัฐปาตานี

“รัฐบาลไทยได้แก้ปัญหาเพื่อความมั่นคงและดีขึ้นตามลำดับ แต่ที่นักศาสนาหวาดกลัวที่สุด คือ มีกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม ที่อ้างมีความรู้เรื่องศาสนา ซึ่งมันเกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ อาทิ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เรียกว่า กลุ่มบุคคลบิดเบือนศาสนาอิสลาม สอนให้ผู้คนหรือหลอกให้ผู้คนเชื่อศรัทธาทำสิ่งใดตามพวกตนบอก ได้เข้าสวรรค์อย่างแน่นอน

และยังอ้างศาสนาอิสลามแบบผิดบิดเบือน ให้ก่อเหตุใช้ความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์ อย่างโหดเหี้ยมไร้ปราณี ซึ่งไม่ใช่เป็นหลักคำสอนศาสนาอิสลามแต่อย่างใด” นายอับดุลเราะห์มาน ฯ กล่าว

ทั้งนี้ ตั้งแต่การเกิดเหตุรุนแรงระลอกใหม่ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2547 ได้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 6,700 ราย อิงตามตัวเลขของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้

“เราจำเป็นจะต้องป้องกันและมีมาตรการให้ชัดขึ้น เพื่อไม่ให้ประชาชนตกเป็นเครื่องมือ จึงขอให้ประชาชนทุกคนฟังศาสนาในมัสยิด ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น เพื่อป้องกันบุคคลแฝงตัว และจะมีมาตรการอื่นอีกตามมา เป็นเสมือนวัคซีนป้องกัน” นายอับดุลเราะห์มาน ฯ กล่าวเพิ่มเติม

นอกจากนี้ นายอับดุลเราะห์มาน กล่าวอีกว่า ตนจะออกหนังสือในวาระพิเศษ เป็นหนังสือย้อนอดีตคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และความสัมพันธ์ฉันมิตรกับประเทศเพื่อนบ้าน ตลอดจนเรื่องราวเกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม หรืออื่นๆ อีกมากมาย ฯลฯ ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาในข้อเท็จจริง อย่างไม่บิดเบือน

เหตุมัสยิดกรือเซะกับการบิดเบือนศาสนา

นายอับดุลเราะห์มาน ฯ กล่าวอีกว่า เหตุการณ์ยิงปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับคนร้ายที่บริเวณมัสยิด เมื่อปี 2547 จนทำให้เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 2 นายและบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง ส่วนคนร้ายเสียชีวิตทั้งในและนอกมัสยิด รวม 32 ศพ นั้น องค์กรที่ดูแลในเรื่องศาสนาอิสลาม ทั้งสมาพันธ์และคณะกรรมอิสลาม ชายแดนภาคใต้ ได้ทำการติดตามและวิเคราะห์ หาหลักฐานกรณีบุคคลที่เสียชีวิต พบว่า บุคคลเหล่านั้น มีความเชื่อในเรื่องศาสนาและได้รับคำสอนที่บิดเบือน ซึ่งแหล่งคำสอนมาจากสถานที่หนึ่งในประเทศมาเลเซีย ทำให้บุคคลเหล่านั้น กระทำการโดยไม่กลัวตาย เพราะเชื่อตามคำสอนที่ถูกบิดเบือนว่าการต่อสู้จนตัวตายนั้นตนเองจะเข้าสู่สวรรค์

“ในปัจจุบันเรายังพบว่า ในพื้นที่จังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส และอีกหลายจังหวัด ยังมีกลุ่มบุคคลมาสอนนัดหมายตามบ้านเรือน ในหมู่บ้าน และมีการขยายวงจรซาตาน บิดเบือนศาสนาอย่างต่อเนื่อง” นายอับดุลเราะห์มาน ฯ กล่าวโดยไม่ได้ให้รายละเอียดของกลุ่มบุคคลต่างๆ ดังกล่าว

ทางด้าน นายอัลฮามี อิซซัม (Ilhami Hisham) และนักเขียนอิสระ รัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย ที่ได้เข้าฟังการประชุม กล่าวว่า เรื่องการเบี่ยงเบนศาสนาอิสลามในมาเลเซีย มีมานานแล้ว แต่เป็นการกระทำที่ไม่เปิดเผย และมีหลายกลุ่มที่รัฐบาลติดตาม และยังมีความเคลื่อนไหวกระแสไอซิสด้วย ทำให้นานาประเทศ โดยเฉพาะในหมู่ประเทศที่กำลังประสบปัญหาความไม่สงบภายใน เกรงว่าจะยิ่งเป็นตัวเร่งให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบจนถึงขั้น "การก่อการร้าย" และสร้างความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์

สิ่งที่ประเทศมาเลเซีย ไทย หรือประเทศใดๆ ควรทำคือ

1. อย่าปล่อยบุคคลผู้ไม่หวังดีสอนศาสนาอิสลามที่บิดเบือน

2. ต้องให้ความรู้กับประชาชนว่า อย่าหลงเชื่อการสอนศาสนาที่บิดเบือน” นายอัลฮามี กล่าว