วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

เราอยู่ร่วมกันได้ ด้วยความดี ความเข้าใจ และศรัทธา

ประเทศไทย คือบ้านที่เราอาศัยอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวพุทธหรือชาวมุสลิม เราคือคนไทยด้วยกัน อยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกัน หายใจด้วยอากาศเดียวกัน และมีความฝันที่จะมีชีวิตที่สงบสุขไม่ต่างกัน

ในอดีต ชาวพุทธและชาวมุสลิมเคยอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว ต่างฝ่ายต่างเคารพในความเชื่อของกันและกัน ไม่ก้าวล่วง ไม่ดูหมิ่น ต่างปฏิบัติตนตามหลักจริยธรรม ศีลธรรมแห่งศาสนาของตนเอง เราเคยช่วยกันในงานบุญ งานศพ งานชุมชน เข้าไร่ตัดยาง ตัดทุเรียน พึ่งพาอาศัยกันอย่างอบอุ่นและไว้ใจ ไม่ว่าจะเป็นยามค่ำคืนหรือยามทุกข์ยาก เราก็ไม่ลังเลที่จะเคาะประตูบ้านของกันและกัน

แต่ในวันนี้ ภาพความไว้วางใจนั้นเริ่มจางลง ถูกกลืนหายไปด้วยหมอกแห่งความหวาดระแวง ความกลัวที่ไม่ใช่ของเราจริง ๆ แต่ถูกปลูกฝังโดยกลุ่มคนเพียงหยิบมือที่ไม่ปรารถนาดีต่อความสงบสุขของพวกเรา กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบหว่านเมล็ดแห่งความเกลียดชัง สร้างความรุนแรงให้เราเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน โจมตีคนพุทธแล้วใส่ร้ายคนมุสลิม ทำร้ายคนมุสลิมแล้วโยนความผิดให้คนพุทธ หมุนเวียนซ้ำไปไม่รู้จบ เพื่อให้เราหันหลังให้กัน ไม่มองหน้ากันด้วยความไว้ใจอีกต่อไป

เราในฐานะประชาชนผู้รักสงบ ต้องตื่นรู้ อย่าให้สิ่งชั่วร้ายมาหลอกเรา อย่าให้คนไม่ดีเพียงไม่กี่คนทำลายความสัมพันธ์ที่ดีงามมาหลายชั่วอายุคน เราต้องกล้าพูดคุย กล้าเข้าใจ และกล้าร่วมมือกันปกป้องสิ่งที่เรามี — นั่นคือมิตรภาพ ศรัทธา และความสามัคคี

อย่าให้ศาสนา กลายเป็นกำแพงของความแตกแยก เพราะแท้จริงแล้วทุกศาสนาล้วนสอนให้เราทำความดี เคารพผู้อื่น และอยู่ร่วมกันอย่างมีเมตตา

เมื่อเรายังมีใจดีให้กัน โลกก็ยังมีที่ยืนให้เราทุกคน อย่าให้ไฟความเกลียดชังที่ใครบางคนพยายามจุด ลามเผาความรักที่เราสร้างมา อย่าให้ความสงสัยพรากมิตรภาพ อย่าให้ความกลัวฆ่าความเชื่อมั่น

เราจะผ่านพ้นสิ่งเลวร้ายนี้ไปได้ หากเราไม่ลืมว่า... เราเคยรักกันมากแค่ไหน

ความหมายของฮีญาบสตรีมุสลิม แล้วมีกี่ชนิด

ทำไมผู้หญิงมุสลิมต้องคลุมฮิญาบ เป็นคำถามสุดคลาสสิกที่ผู้หญิงมุสลิมล้วนต่างต้องเคยพบเจอ ขณะเดียวกันก็เป็นคำถามที่คนที่ไม่ใช่มุสลิมส่วนใหญ่ต่างก็อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับผ้าผืนนี้ ว่าเหตุผลอะไรที่ทำให้ผู้หญิงมุสลิมต้องคลุมฮิญาบ

ถึงแม้อิสลามจะถือกำเนิดในอาหรับแต่หลักศรัทธาปฏิบัติและหลักปฏิบัติของอิสลามนั้นเป็นสากล ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมที่อยู่ในดินแดนไหน มีประเพณีและวัฒนธรรมเฉพาะของตนเองอย่างไร ก็ล้วนสามารถปฏิบัติตามหลักการของศาสนาอิสลามได้อย่างไม่ลำบาก และสามารถปรับให้เข้ากับวิถีชีวิต วัฒนธรรม และประเพณีของตนเองได้เช่นเดียวกัน

ตัวอย่างเช่นหลักว่าด้วยการกินอาหาร ที่อิสลามไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นเมนูอะไร เพียงแต่กำหนดเป็นหลักพื้นฐานเท่านั้นว่าวัตถุดิบอะไรบ้างที่สามารถกินได้ และวัตถุดิบเหล่านั้นต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้าง (ต้องเชือด, ต้องล้าง ฯลฯ) เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะอาหารอาหรับ อาหารฝรั่ง หรืออาหารจีน ก็สามารถเป็นอาหารฮาลาลได้ทั้งนั้น หากวัตถุดิบและกระบวนการนั้นถูกต้องตามหลักการอิสลาม

เช่นเดียวกับการแต่งกาย อิสลามก็ไม่ได้มีข้อกำหนดว่ามุสลิมต้องใส่ชุดประเภทไหนบ้าง เราจึงได้เห็นผู้ชายอาหรับใส่โต๊ป(ชุดยาว)สีขาว ผู้ชายแถบคาบสมุทรมลายูใส่โสร่ง ผู้หญิงอาหรับใส่ชุดยาวสีดำ บางคนปิดหน้าเห็นเพียงดวงตา ผู้หญิงในอัฟกัน ฯ ไม่เพียงปิดหน้าแต่ยังมีผ้าตาข่ายปิดดวงตาด้วย ผู้หญิงในไทยอาจใส่ชุดปกติแต่มีผ้าฮิญาบ เหล่านี้ล้วนเป็นการปรับให้เข้ากับวิถีชีวิตของตนเองภายใต้หลักการที่ศาสนากำหนด

ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่า ทำไมผู้หญิงมุสลิมถึงต้องคลุมฮิญาบ

ในทางภาษา ฮิญาบ แปลว่า การปกปิด หรือ การปิดกั้น แต่หากเราลองทำความรู้จักฮิญาบ กันดีๆ แล้วจะเห็นได้ว่าฮิญาบในอิสลามจะมีความหมายมากกว่านั้น เพราะฮิญาบไม่ได้เป็นเพียงแค่ผ้าผืนหนึ่งที่ใช้ปกปิดหรือปกคลุมเส้นผม และก็ไม่หมายถึงการปิดกั้นหรือกดขี่ผู้หญิงมุสลิม แต่ฮิญาบในความหมายที่แท้จริงคือการแสดงออกถึงความยำเกรงของบุคคลนั้นๆ ต่อคำสั่งใช้ของพระเจ้า และเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่บ่งบอกตัวตนความเป็นมุสลิมของตัวเอง

พระองค์อัลลอฮได้ตรัสไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานเกี่ยวกับเรื่องฮิญาบไว้ว่า : "โอ้นบีเอ๋ย จงกล่าวแก่บรรดาภริยาของเจ้า และบุตรสาวของเจ้า และบรรดาหญิงของบรรดาผู้ศรัทธา ให้พวกนางดึงเสื้อคลุมของพวกนางลงมาปิดตัวของพวกนาง นั่นเป็นการเหมาะสมกว่าที่นางจะเป็นที่รู้จัก เพื่อที่พวกนางจะไม่ถูกรบกวน และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้อภัยผู้ทรงเมตตาเสมอ" อัล-อะหฺซาบ : 59

ในฐานะที่เป็นมุสลิมผู้ศรัทธา เราเชื่อว่าในคำสั่งใช้ของพระผู้เป็นเจ้าย่อมมีผลดีต่อผู้ปฏิบัติตาม สิ่งหนึ่งที่คนคลุมฮิญาบทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันและสามารถรู้สึกได้คือความรู้สึกปลอดภัย ปลอดภัย ณ ที่นี้คือปลอดภัยจากสายตาและอันตรายจากความคิดไม่ดีที่จะเกิดขึ้นจากเพศตรงข้าม และเมื่อมาพิจารณาดูแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากประเพณีและวัฒนธรรมของไทยในการให้ผู้หญิงรู้จักการรักนวลสงวนตัว คำสอนและการสั่งใช้ของอิสลามในเรื่องของการคลุมฮิญาบก็เช่นกัน

เวลาไหนบ้างที่มุสลิมต้องคลุมฮิญาบ ?

หากอธิบายด้วยข้อความที่กะทัดรัดและเข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือต้องคลุมฮิญาบในช่วงเวลาที่ต้องพบเจอกับผู้ชายที่เราสามารถแต่งงานด้วยได้(ตามทัศนะของอิสลาม) ในกรณีที่อยู่ในสถานที่มิดชิดและมีแต่เพศเดียวกันหรือคนต่างเพศแต่ไม่สามารถแต่งงานด้วยได้(ตามทัศนะของอิสลาม) ก็ไม่จำเป็นต้องคลุมฮิญาบ

รูปแบบของการคลุมฮิญาบ

การคลุมฮิญาบที่ศาสนากำหนดก็คือ ปิดคลุมทุกส่วนของร่างกาย ยกเว้นหรือเห็นได้เฉพาะใบหน้าและฝ่ามือ นั่นหมายถึงต้องคลุมเท้าด้วย โดยผ้าต้องยาวคลุมหน้าอก สีสันและลวดลายควรมีความสุภาพและไม่เป็นที่ดึงดูดสายตา ซึ่งรูปแบบของการคลุมฮิญาบนั้นก็จะแตกต่างกันไปตามพื้นที่และวัฒนธรรมของแต่ละบุคคล โดยที่เราเห็นกันบ่อยๆ สามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้.-

Hijab (ฮิญาบ) การคลุมในรูปแบบสากลที่สามารถเห็นได้ทั่วไป อาจมีสีสันหรือลวดลายตามยุคสมัยและแฟชั่นที่เราเห็นได้ทั่วไป และสามารถปรับใช้กับเสื้อผ้าสไตล์ไหนก็ได้ทั้งแบบสมัยใหม่และชุดดั้งเดิม ผู้หญิงมุสลิมส่วนใหญ่มักจะคลุมฮิญาบลักษณะนี้

- Burka (บุรก้า) เป็นการคลุมฮิญาบที่ปกปิดทุกส่วนของร่างกายรวมถึงดวงตา แต่ตรงดวงตาจะเป็นผ้าตาข่ายบางๆ เพื่อให้ผู้สวมใส่สามารถมองเห็นผ่านผ้าตาข่ายเหนือดวงตาของเธอ ส่วนใหญ่จะพบเห็นในประเทศอัฟกานิสถาน

- Niqab (นิกอบ) เป็นผ้าคลุมฮิญาบยาวที่มาพร้อมผ้าปิดบังใบหน้าและจะเห็นได้เฉพาะดวงตา ส่วนใหญ่สวมใส่ในประเทศอาหรับ และในหลายประเทศ ประเทศไทยเราก็มีคนเลือกคลุมผ้านิกอบอยู่ไม่น้อย

- Chador (ชาดอว์) ลักษณะเป็นผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่รูปครึ่งวงกลมที่ยาวไปถึงพื้น ส่วนใหญ่พบเห็นในประเทศอิหร่าน

จะเห็นได้ว่า ผู้หญิงมุสลิมนั้นสามารถนำหลักปฏิบัติในศาสนามาปรับให้เข้ากับวิถีชีวิตและยุคสมัยของตนเองได้ ภายใต้แก่นที่อิสลามกำหนด ซึ่งอาจเป็นเหตุผลให้ผู้หญิงมุสลิมในที่ต่างๆ ทั่วโลกยังคงยึดมั่นในหลักการคลุมฮิญาบไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ตาม

ปัจจุบันประชากรมุสลิมเพิ่มสูงขึ้น ประมาณการว่าทั่วโลกมีชาวมุสลิม 1,800 ล้านคน หากในจำนวนนี้เป็นผู้หญิงครึ่งหนึ่ง นั่นเท่ากับว่าโลกนี้มีคนที่ต้องใส่ผ้าคลุมฮิญาบถึง 900 ล้านคนเลยทีเดียว ซึ่งหากมองในเชิงเศรษฐกิจนี่อาจเป็นโอกาสและช่องทางของผู้ประกอบการด้านเครื่องแต่งกาย

Modanisa เว็บไซต์จำหน่ายเสื้อมุสลิมถือกำเนิดในตุรกี ปัจจุบันเว็บไซต์แห่งนี้มีผู้เข้าชมมากถึง 100 ล้านคนต่อปี มีลูกค้าหมุนเวียนเข้ามาจับจ่ายจาก 120 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง และส่งผลให้แบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำระดับโลกอย่าง H&M, UNIQLO รวมถึง NIKE ต่างก็ออกคอลเลคชั่นเจาะตลาดผู้หญิงมุสลิมเช่นกัน

ในประเทศไทยถึงแม้จำนวนประชากรมุสลิมจะมีไม่มาก แต่ตลาดเครื่องแต่งกายมุสลิมก็คึกคักไม่แพ้ใคร สังเกตได้ตามงานการกุศลต่างๆ ของชาวมุสลิมที่ต้องมีร้านเสื้อผ้าแทบทุกงาน นอกจากนี้ยังมีแบรนด์เกิดใหม่มากมายที่ควรค่าแก่การผลักดันสู่ตลาดโลกที่มีลูกค้ารอจับจ่ายหลายร้อยล้านคน ไม่แน่ว่าแบรนด์เครื่องแต่งกายมุสลิมของผู้ประกอบการหน้าใหม่เหล่านี้อาจเป็นหนึ่งในตัวช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจประเทศไทยเติบโตขึ้นก็เป็นได้

หากเพื่อนต่างศาสนิกสนใจอยากเห็นอยากจับหรืออยากลองสวมใส่ฮิญาบดูบ้าง อยากให้ลองแวะไปตามงานมัสยิดใกล้บ้านหรือร้านเสื้อผ้ามุสลิมใกล้มัสยิด หรืออาจลองแวะมาดูสถานที่ต่างๆ

*** ส่วนภาคใต้ของประเทศไทยบ้านเราไม่ต้องพูดถึง เสื้อผ้าอาภรณ์ สำหรับการแต่งกายแบบคลุมฮิญาบ มีจำหน่ายเยอะมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) ให้เราได้เลือกซื้อหากัน ต้องบอกเลยว่า สวยงามมาก ๆ

***ฮิญาบผืนแรก

ถึงแม้การคลุมฮิญาบจะเป็นข้อบังทางศาสนา แต่การตัดสินใจคลุมฮิญาบของผู้หญิงมุสลิมบางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งในยุคสมัยที่กระแสหวาดกลัวอิสลามเติบโตในทุกสังคม ผู้หญิงที่คลุมฮิญาบ จึงเป็นดั่งเป้าที่เห็นเด่นชัดที่สุดในสายตาของคนที่หวาดกลัว เรื่องราวการตัดสินใจคลุมฮิญาบของพวกเธอจึงเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การชื่นชมและเรียนรู้ *******

ขบวนการ BRN กับชุดฮีญาบที่ไม่ควรถูกบิดเบือน

ขบวนการ BRN กับชุดฮีญาบที่ไม่ควรถูกบิดเบือน

ฮีญาบ (Hijab) คือผ้าคลุมศีรษะที่สตรีชาวมุสลิมสวมใส่ เพื่อปกปิดเส้นผมและเรือนร่างส่วนอื่น ๆ ตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม การคลุมฮีญาบเป็นการแสดงออกถึงความศรัทธา ความเคารพต่อพระผู้เป็นเจ้า และเป็นเครื่องแต่งกายที่เปี่ยมด้วยเกียรติและความสุภาพ เรียบร้อย สะท้อนถึงจริยธรรมของผู้หญิงมุสลิม

อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่ากลุ่มก่อความไม่สงบอย่าง BRN (Barisan Revolusi Nasional) ได้นำเครื่องแต่งกายที่ศักดิ์สิทธิ์นี้ไปใช้ในทางที่บิดเบือน โดยแต่งกายเป็นสตรี สวมฮีญาบ เพื่ออำพรางตัวในการกระทำการอุกอาจ เช่น การลอบทำร้ายหรือสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งรวมถึงผู้สูงวัย เด็ก ผู้หญิง ครู ผู้นำศาสนา ตลอดจนพระภิกษุและสามเณร ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งหรือการต่อสู้ใด ๆ

การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ขัดต่อหลักมนุษยธรรม หากแต่ ขัดต่อบทบัญญัติของศาสนาอิสลามอย่างร้ายแรง ตามหลักศาสนา อัลลอฮ์ทรงห้ามไม่ให้ชายแต่งตัวเป็นหญิง หรือหญิงแต่งตัวเป็นชาย ถือว่าเป็นบาปใหญ่ และเป็นการละเมิดคำสอนที่ชัดเจนในอัลกุรอาน

ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้น กลุ่มผู้ก่อการร้ายเหล่านี้กลับอ้างว่า การกระทำของตนเป็นไปเพื่อศาสนา และหากเสียชีวิตก็จะได้สถานะเป็น “ชาฮีด” (ผู้เสียสละในหนทางของศาสนา) ซึ่งเป็นการบิดเบือนศาสนาอย่างร้ายแรง เพราะแนวทางของอิสลามที่แท้จริงสอนให้มีเมตตา ยุติธรรม และเคารพในชีวิตของผู้อื่น

ถามกลับไปว่า แบบนี้คือ "นักรบมุญาฮีดิน" จริงหรือ? การแต่งกายเป็นหญิงเพื่อสังหารผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่หนทางของผู้ศรัทธา แต่คือการสร้างความปั่นป่วนให้กับสังคม เป็นภัยต่อความมั่นคง และบ่อนทำลายศาสนาอิสลามในสายตาของสังคมภายนอก

ถึงเวลาแล้วหรือไม่ ที่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้จะพิจารณาอย่างถ่องแท้ว่า การสนับสนุนหรือเพิกเฉยต่อกลุ่มก่อการร้ายนี้จะนำไปสู่อะไร? ความทุกข์ยาก ความสูญเสีย และการทำให้ศาสนาอิสลามถูกเข้าใจผิดไปในทางที่เลวร้าย

เราทุกคนมีส่วนร่วมในการยุติความรุนแรง หากท่านเห็นสิ่งผิดปกติ รับรู้ข่าวสาร หรือเบาะแสเกี่ยวกับกลุ่มขบวนการเหล่านี้ ขอให้ร่วมมือแจ้งเจ้าหน้าที่ เพื่อให้สามารถกวาดล้างเครือข่ายที่บิดเบือนศาสนาและก่อความเดือดร้อนให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย

เพื่อความสงบสุขอย่างถาวรในสามจังหวัดชายแดนใต้ และเพื่อเกียรติของศาสนาอิสลามที่เราทุกคนรักและศรัทธา

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

BRN ผ่าเครือข่ายสนับสนุน หุ้นระดับชาติ ซะกาตอุดมการณ์

BRN ผ่าเครือข่ายสนับสนุน - หุ้นระดับชาติ - ซะกาตอุดมการณ์

หลังจากทีมข่าวภาคใต้ ได้เสนอรายงานพิเศษเกี่ยวกับ “เม็ดเงิน” ที่ขบวนการ BRN นำมาใช้ในกิจกรรมก่อความไม่สงบ โดยมีจุดมุ่งหมายปลดปล่อยดินแดนที่พวกเขาเรียกว่า “ปาตานี” แยกตัวจากรัฐไทย

ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากหลายฝ่ายมากพอสมควร โดยรายงานเรื่องนี้สรุปคัดย่อมาจากการศึกษาของ ดร.ซาช่า เฮลบาร์ท (Dr. Sascha Helbardt) นักวิจัยชาวเยอรมัน ซึ่งกำลังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะจากฝ่ายความมั่นคงไทย

ดร.ซาช่า ฯ ร่วมวิจัยในโครงการ “แนวความคิดในการต่อต้านความรุนแรงแบบสุดโต่งกับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย” ร่วมคณะกับ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง และเคยผ่านงานในระดับรัฐบาลมาแล้วในอดีต

เอกสารการศึกษาของอาจารย์ใช้ชื่อว่า “Financial Summary of the BRN Groupซึ่งยังมีเนื้อหาในรายละเอียดอีกมาก จากต้นฉบับภาษาอังกฤษ มานำเสนอเป็นภาษาไทย เพื่อให้ได้รับทราบโดยทั่วกัน

ถอดโครงสร้าง 5 ฝ่าย BRN

ตามรายงานการสืบสวนด้านข่าวกรอง โดยศูนย์ข่าวกรองจังหวัดชายแดนภาคใต้ กลุ่ม BRN (Barisan Revolusi Nasional Melayu Patani) เป็น “กลุ่มแบ่งแยกดินแดน” ที่ดำเนินกิจกรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย

กลุ่มนี้ มีอุดมการณ์ที่มุ่งเน้นการแบ่งแยกดินแดน และเป็นที่ทราบกันว่าเกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงและการก่อการร้าย เพื่อบรรลุเป้าหมายในการแยกตัวออกจากรัฐไทย

กลุ่ม BRN มีโครงสร้างที่ซับซ้อน พร้อมกับการกำหนดบทบาทและหน้าที่อย่างชัดเจน

สมาชิก หรือกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้อง ต้องผ่านพิธีสาบานตน ที่เรียกว่า Sumpah (ซุมเปาะห์)

การดำเนินงานของกลุ่มแบ่งออกเป็น 5 ฝ่ายหลัก โดยแต่ละฝ่ายมีบทบาทเฉพาะตัวในการขับเคลื่อนเป้าหมายของกลุ่ม

1. ฝ่ายการเมือง/ศาสนา (Politik/Ulama)

2. ฝ่ายเยาวชน (Permuda)

3. ฝ่ายสตรี (Ebu)

4. ฝ่ายทหาร (May)

5. ฝ่ายเศรษฐกิจ (Economi)

แต่ละฝ่าย มีโครงสร้างและหน้าที่รับผิดชอบที่ชัดเจน พร้อมกับระดับอำนาจที่แตกต่างกัน ตามบทบาทและพื้นที่ปฏิบัติการ

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า BRN เป็นองค์กรหรือกลุ่มบุคคลที่มีอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดน มีการจัดตั้งโครงสร้างองค์กร และกำหนดบทบาทหน้าที่ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายหลักในการต่อสู้กับรัฐไทย เพื่อแยกดินแดนของจังหวัดชายแดนภาคใต้

อดีตถึงปัจจุบัน “เงินทำงาน” มาจากไหน?

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงดำเนินต่อไป คือ การสนับสนุนทางการเงิน ซึ่งหล่อเลี้ยงกิจกรรมของกลุ่มผู้ใช้ความรุนแรง

จากการสืบสวนของหน่วยข่าวกรองจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ “ฝ่ายเศรษฐกิจ” (Economi) ของกลุ่ม BRN เอาไว้ดังนี้.-

- ฝ่ายนี้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการจัดหาและบริหารทรัพยากรทางการเงิน เพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ รวมถึง การจัดซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์ทางทหาร และทรัพยากรอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติการด้วยความรุนแรง

- ในอดีต BRN เคยใช้ยุทธวิธีอื่นๆ เช่น กรรโชกทรัพย์ และเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากผู้ประกอบการธุรกิจในท้องถิ่น แต่ในระยะหลัง พวกเขาหันมาใช้โมเดลเศรษฐกิจแบบพึ่งพาตนเอง (Ekonomi Berdikari) เป็นหลักในการดำเนินงาน

- ฝ่ายเศรษฐกิจ มีหน้าที่ในการจัดหารายได้, เก็บรวบรวมเงินทุน และจัดสรรงบประมาณ รวมถึงการจัดซื้อสิ่งของจำเป็นและอาวุธ

- สมาชิกของฝ่ายเศรษฐกิจ มีหน้าที่ดูแลการดำเนินงานด้านการเงินและโลจิสติกส์ของกลุ่ม เช่น การวางแผน, การออกคำสั่ง, การจัดการด้านการจัดหาเงินทุน, เสบียงอาหาร, อุปกรณ์, ยานพาหนะ ตลอดจน ทรัพยากรอื่นๆ เพื่อสนับสนุนปฏิบัติการรุนแรงของกลุ่ม

กองทุนเครือข่าย หุ้นระดับชาติ ซะกาตอุดมการณ์

วิธีการหารายได้ของ BRN ให้งอกเงยจากทรัพย์สินและสินทรัพย์ที่มีอยู่ ได้แก่

- การจัดเก็บเงินสมทบรายหัวจากสมาชิก

- การรับเงินบริจาค,

- การหารายได้จากธุรกิจที่เชื่อมโยงกับกลุ่ม หรือเครือข่าย

- ทำกิจกรรมกึ่งผิดกฎหมาย

จากเอกสารที่ฝ่ายความมั่นคงยึดได้ ระหว่างการตรวจค้นบ้านของผู้นำระดับสูงของกลุ่ม BRN เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2551 พบว่า มีเนื้อหาเกี่ยวกับโครงสร้างการบริหารจัดการขององค์กร โดยเฉพาะหน้าที่ของฝ่ายเศรษฐกิจ (Bidang Ekonomi) สรุปได้ดังนี้

1. บริหารและดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงการจัดเก็บค่าธรรมเนียมรายเดือน หรือแหล่งรายได้อื่นๆ เพื่อให้การดำเนินงานทางเศรษฐกิจ มีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่

2. จัดการเงินบริจาคและทรัพย์สินให้เป็นไปตามหลักการของเศรษฐกิจพึ่งพาตนเอง (Ekonomi Berdikari) อย่างแท้จริง

3. จัดตั้งระบบเศรษฐกิจภายใน (Ekonomi Kedalam) ซึ่งรวมถึง

3.1 กองทุนระดับชาติ (Modal Nasional) หมายถึง กองทุนกลาง หรือ งบประมาณของขบวนการ

3.2 กองทุนร่วม (Modal Bersama) ซึ่งน่าจะหมายถึง เงินทุนที่ได้จากการร่วมลงทุนในธุรกิจหรือกิจการต่างๆ

3.3 กองทุนเครือข่าย (Modal Jaringan) เป็นกองทุนที่เชื่อมโยงขบวนการกับชุมชนท้องถิ่น เช่น บริษัท, หุ้นส่วนธุรกิจ หรือสหกรณ์

3.4 กองทุนสมาชิก (Modal Anggota) หรือ หุ้นระดับชาติ (Persen Kenasional)

3.5 กองทุนสมาชิก (Modal Anggota) หรือ กองทุนซะกาตระดับชาติ (Zakat Kenasional)

4. จัดตั้งระบบเศรษฐกิจภายนอก เศรษฐกิจจากต่างประเทศ (Ekonomi Luar) ซึ่งประกอบด้วย

4.1 ความร่วมมือ และการสนับสนุนจากต่างประเทศ

4.2 ตัวแทน หมายถึง ผู้แทนหรือสาขาในต่างประเทศ

4.3 นายหน้า หรือ ผู้ประสานงานกลาง

ศูนย์ปฏิบัติการ (ตำรวจ) จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ดำเนินการสอบสวนและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ ฝ่ายเศรษฐกิจของกลุ่ม BRN

แหล่งที่มาของเงินทุนของกลุ่ม BRN สามารถแบ่งออกได้ดังนี้

1. เงินที่เก็บจากสมาชิกของขบวนการ จาก คำให้การของพยานในคดีพิเศษที่ 46/2562 พนักงานสอบสวนได้พบกับพยานซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ฝ่ายเศรษฐกิจของกลุ่ม BRN พยานอธิบายว่า ฝ่ายเศรษฐกิจดำเนินงานแยกต่างหากจากหน่วยงานอื่นๆ ภายในโครงสร้างขององค์กร

เงินที่ได้รับการสนับสนุนมาจากเงินสมทบของสมาชิก BRN ที่ได้ผ่านการ สาบานตน หรือซุมเปาะห์ แล้ว

สมาชิกแต่ละคนจะสมทบเงินอย่างน้อย 30–50 บาทต่อเดือน ให้กับฝ่ายเศรษฐกิจ (วันละ 1 บาท)

นอกจากนี้ ยังมีการเก็บเงินจากธุรกิจในท้องถิ่น โดยจำนวนเงินที่เก็บขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพคล่องหรือฐานะทางเศรษฐกิจของกิจการนั้นๆ (ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะจ่ายมากกว่า ส่วนธุรกิจที่ไม่ประสบความสำเร็จจะจ่ายน้อยกว่า)

เงินที่เก็บได้จะถูกส่งตรงไปยังฝ่ายเศรษฐกิจ และจากนั้นจะถูกส่งต่อไปยังระดับที่สูงขึ้น ภายในโครงสร้างเศรษฐกิจ

สมาชิกของกลุ่ม BRN ที่อยู่ในระดับเดียวกันหรือต่ำกว่า จะไม่รับรู้ถึงการบริหารจัดการเงินเหล่านี้

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

เพราะไทยนี้รักสงบ 3 เหตุผลที่ชาวมุสลิมชนดำรงอยู่บนผืนแผ่นดินไทย

เพราะไทยนี้รักสงบ 3 เหตุผลที่ชาวมุสลิมชน ดำรงอยู่ได้อย่างกลมกลืนบนผืนแผ่นดินไทย

ความแตกต่างทางด้านความเชื่อทางศาสนาในอดีตนั้น เป็นบ่อเกิดและเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งมาหลายครั้งหลายครา ไม่ว่าความขัดแย้งนั้นจะเกิดในยุคก่อนการมีรัฐสมัยใหม่ หรือหลังการมีรัฐสมัยใหม่ก็ตาม ดังนั้นความยากประการหนึ่งของการดำรงอยู่ร่วมกันก็คือ ภายใต้ความแตกต่างทางความคิด ความเชื่อ และเหตุผลทางศาสนาอย่างมากมายหลายประการนี้ เราจะดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างไร?

บางประเทศก็สามารถหาทางดำรงอยู่ร่วมกันได้ บางประเทศก็ยังคงพยายาม หรือบางประเทศก็ไม่ได้คิดจะหาทางเลย ด้วยเหตุผลต่างๆ ในประเทศอันหลากหลายในโลกนี้ ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการดำรงอยู่ร่วมกันของคนหลากหลายเชื้อชาติและหลากหลายความเชื่อด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นของคนมุสลิม ซึ่งนับเป็นชนกลุ่มน้อยหากมองจากภาพใหญ่ทั้งหมดของประเทศไทย แต่ถึงแม้จะเป็นชนกลุ่มน้อย และประเทศไทยเอง ก็เคยประสบกับปัญหาด้านความเชื่อและชาติพันธุ์มาในอดีต แต่ก็สามารถดำรงชาติมาได้อย่างสงบสุขเป็นอย่างมาก เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน คำถามจึงมีว่า ด้วยสาเหตุอะไรประเทศไทยและชาวมุสลิมจึงสามารถกลมกลืนกันได้มากกว่าบางประเทศ

สำหรับสาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยสามารถอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนกับพี่น้องชาวมุสลิม (และอาจจะรวมถึงกลุ่มอื่นๆ ด้วย) มีเหตุผลหรือเงื่อนไขอยู่สามประการด้วยกัน(1) คือ สถานภาพทางกฎหมายของมุสลิมชนกลุ่มน้อย มุมมองของรัฐ ที่มีต่อมุสลิมชนกลุ่มน้อย และอิทธิพลของพุทธชาตินิยมและความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรง

สถานภาพทางกฎหมายของมุสลิมชนกลุ่มน้อย

ประชาคมชาวมุสลิมในไทยนั้น มีความมั่นคงและได้รับการคุ้มครองในเชิงกฎหมายชัดเจนมากกว่าเพื่อนบ้าน สถานภาพและการดำรงอยู่ของมุสลิมจึงได้รบการรับรองจากรัฐ และไทยยังอนุญาตให้มีตำแหน่งดาโต๊ะยุติธรรมทำหน้าที่วินิจฉัยคดีแพ่งของมุสลิมอีกด้วย โดยมีอัตรากำลัง 9 อัตรา ครอบคลุมพื้นที่นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสตูล

อีกประการที่สำคัญคือการดำรงอยู่ของจุฬาราชมนตรี ที่ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของสำนักงานจุฬาราชมนตรีทำให้ชาวมุสลิมมีช่องทางในการผลักดันนโยบายสาธารณะ และยังมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานรัฐอีกด้วย ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการรักษาความสัมพันธ์กับพระมหากษัตริย์ ซึ่งทำให้สถานภาพของชาวมุสลิมมั่นคงมากขึ้นไปด้วย ดังเช่นปรากฏเป็นพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ที่เสด็จเปิดงานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง หรือการพระราชทานรางวัลแก่ผู้ชนะการทดสอบการอัญเชิญคัมภีร์อัลกุรอานระดับประเทศ และการสืบสานพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ในการแปลพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานเป็นไทย

ด้วยพระราชกรณียกิจและความสำคัญของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 นี้ ในช่วงที่ไทยได้เปิดการเจรจาสันติสุขร่วมกับกลุ่ม มาราปตานี (MARA Patani) สุกรี ฮารี หัวหน้ากลุ่มคณะฝ่ายมาราปตานีได้ระบุกับ BBC ไทยเมื่อปี 2017 ว่า “รัชกาลที่ 10 ทรงมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ ถ้ารัฐบาลเป็นอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาได้ นอกจากรัชกาลที่ 10 พระองค์เดียวที่จะแก้ปัญหาให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด

นอกจากนี้ชนมุสลิมไม่มีปัญหาเรื่องการมีตัวแทน เพราะมีนักการเมืองที่เป็นมุสลิมหลายท่านและมีการกำหนดโควต้าที่นั่งให้ในวุฒิสภา รวมไปถึงการมีสิทธิขั้นพื้นฐานและมีสถานะพลเมืองเทียบเท่าคนไทยทุกประการ

เหตุผลทั้งหมดในเชิงโครงสร้างนี้ ได้ทำให้คนมุสลิมต่างมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชาติไทย

มุมมองของรัฐที่มีต่อมุสลิมชนกลุ่มน้อย

ไทยมองกลุ่มชนมุสลิมอย่างเป็นมิตรมากกว่า และยอมรับอัตลักษณ์มากกว่า ถึงแม้จะเคยเกิดเหตุการณ์กรณีตากใบขึ้น แต่หลังจากการรัฐประหาร พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นได้เดินทางมากล่าวคำขอโทษต่อชาวมุสลิมที่ปัตตานีในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2549 ว่า “ผู้นำชุมชนได้ขอร้องผมว่าให้กล่าวคำขอโทษต่อกรณีที่เกิดขึ้นที่อำเภอตากใบ โดยธรรมเนียมของคนมุสลิมในช่วงที่ออกจากการถือศีลอดนั้น ต้องมีการขอโทษและให้อภัยกัน ผมก็ได้ขอโทษแทนรัฐบาลชุดที่แล้ว และในฐานะที่เป็นผู้นำของผู้บริหารในรัฐบาลปัจจุบันก็ขอโทษในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น… ผมขอโทษ ผมเคยเป็น ผบ.ทบ. มาก่อน และเคยพยายามคัดค้านการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลชุดที่แล้ว แต่ไม่เป็นผล ถือว่าผมมีส่วนผิดด้วย ที่คัดค้านการยุบ ศอ.บต. ไม่สำเร็จ แต่วันนี้ พล.อ.สนธิ ฯ มาทำงานร่วมกัน น่าจะไม่มีปัญหาในทุกเรื่อง เราจะหาทางแก้ไขจากง่ายไปหายาก จากเล็กไปหาใหญ่”

นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนปฏิสัมพันธ์เพื่อพยายามแสดงให้เห็นว่าไทยไม่ปฏิเสธคนมุสลิม และใช้วิธีการอย่างสันติมากขึ้นในการเจรจา และกลุ่มประชาสังคมยังช่วยผลักดันด้วยกระบวนการพูดคุยสันติภาพมาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

อิทธิพลของพุทธชาตินิยมและความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรง

กระแสของพุทธชาตินิยมในไทยนั้นไม่ได้มีความรุนแรงเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน และคนไทยทั่วไปก็ไม่ได้มีความรู้สึกต่อต้านคนมุสลิม ถึงแม้จะมีกลุ่มที่พยายามผลักดันกฎหมายหรือผลักดันแนวคิดที่ไปในทางต่อต้านคนมุสลิม แต่คนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้มีอิทธิพลและไม่ได้รับการตอบรับ และองค์กรพุทธสายสันติก็มีบทบาทนำมากกว่าด้วย

จากเหตุผลทั้ง 3 ข้อนี้ ทำให้คนไทยส่วนใหญ่สามารถดำรงอยู่กับคนมุสลิมกลุ่มน้อยได้อย่างกลมเกลียวไม่มีปัญหาต่อกัน และนอกจากนี้กระบวนการสันติภาพก็ยังสามารถดำเนินต่อไปได้ โดยที่ตอนนี้ยังไม่มีประเด็นน่ากังวลอะไรมากมายนัก

 

อ้างอิง :

[1] สรุปความจากเอกรินทร์ ต่วนศิริ และอันวาร์ กอมะ, มุสลิมชนกลุ่มน้อยภายใต้รัฐเมียนมาและรัฐไทย (ปัตตานี: คณะรัฐศษสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, 2564).

โอรังอัสลี หรือ ซาไก : วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจากป่าสู่ชุมชน

โอรังอัสลี หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ชาวซาไก” เป็น กลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าลึกของจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย เช่น ยะลา นราธิวาส และปัตตานี รวมไปถึงในพื้นที่ สตูล พัทลุง และตรัง บางส่วน พวกเขามีวิถีชีวิตที่พึ่งพิงธรรมชาติและมีวัฒนธรรมเฉพาะตัวที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

ลักษณะกายภาพและวัฒนธรรมดั้งเดิม

โอรังอัสลีมีลักษณะทางกายภาพที่โดดเด่น ได้แก่ รูปร่างเตี้ย ผิวดำ ผมหยิกเป็นก้นหอย ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของกลุ่มชาติพันธุ์นิกริโต พวกเขาอาศัยอยู่ในป่าโดยการล่าสัตว์ เก็บของป่า และตกปลา โดยไม่มีถิ่นที่อยู่ถาวร มีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานเป็นไปตามแหล่งอาหารและทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในป่า

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต

ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา วิถีชีวิตของโอรังอัสลี เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ ได้แก่ การรุกล้ำของพื้นที่ป่าโดยชุมชนเมือง การพัฒนาเศรษฐกิจ และสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ทำให้โอรังอัสลีบางกลุ่มต้องย้ายออกจากป่าเพื่อความอยู่รอด 

ตัวอย่างเช่น ที่บ้านในหลง ตำบลแม่หวาด อำเภอธารโต จังหวัดยะลา ครอบครัวของนากอ ศรีธารโต ซึ่งเป็นโอรังอัสลี ได้ย้ายออกจากป่าฮาลา-บาลา มาอาศัยอยู่ในสวนยางพาราของชาวบ้าน และทำงานรับจ้างกรีดยางและถางป่า เพื่อแลกกับอาหารและที่อยู่อาศัย และการเข้าไปของคนเมือง เพื่อเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนป่า ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่จะส่งผลกระทบเชิงนิเวศน์ และวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม

การเติบโตของคุณภาพชีวิตคนเมืองกลับรุกล้ำวิถีชีวิตดั้งเดิมไปอย่างสิ้นเชิง โอรังอัสรี ที่เคยดำรงชีวิตหากินอยู่ในป่า ถูกยัดเยียดให้เปลี่ยนแปลง ทั้งด้านระบบสุขภาพ การนำมาขึ้นทะเบียนเป็นประชากรในระบบฐานข้อมูล การนำสิ่งของอุปโภคบริโภค อาหาร ของกิน สิ่งของเครื่องใช้ เสื้อผ้า จนไปถึงแม้กระทั่งภาษา และเงินตรา ที่โอรังอัสรี แทบจะไม่เคยรู้จัก

แต่ปัจจุบัน คนดั้งเดิม อย่างโอรังอัสรี เปลี่ยนจากการนุ่งห่มใบไม้ มานุ่งผ้าผืนเดียว มาใส่กางเกงยีนส์ เสื้อยืด แล้วแต่คนเมืองจะยัดเยียดอะไรให้

วิถีชีวิตที่เคยนอนทับ ออกล่าสัตว์ หาพืชผักในป่า เปลี่ยนแปลงไปปลูกบ้าน ขนำ และอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง เปลี่ยนวิถีชาวป่า มารับจ้างกรีดยาง ถางป่า เพื่อแลกเป็นเงินไปซื้ออาหาร เลี้ยงดูครอบครัว

บ้างก็นำเข้าสู่ระบบการศึกษา เพื่อให้มีความก้าวหน้าในชีวิตต่อไป ซึ่งไม่ผิดที่จะหวังดี แต่อีกด้านมันกลับทำลายวิถีชีวิตของคนป่าดั้งเดิม ซึ่งการเข้าไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ก็ไม่ต่างจากการล่าอาณานิคม

ผลกระทบในระยะยาว

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของโอรังอัสลีมีผลกระทบทั้งในด้านบวกและลบ ด้านบวก ได้แก่ การเข้าถึงบริการสาธารณสุข การศึกษา และโอกาสทางเศรษฐกิจที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้านลบคือการสูญเสียวัฒนธรรมดั้งเดิม ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ และความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับสิ่งแวดล้อม

เพื่อรักษาเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของโอรังอัสลี ควรมีการสนับสนุนจากภาครัฐและองค์กรต่าง ๆ ในการส่งเสริมการศึกษาแบบสองภาษา การอนุรักษ์วัฒนธรรมดั้งเดิม และการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยไม่ละทิ้งวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ

โอรังอัสลี เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นผลจากปัจจัยภายนอกหลายประการ การรักษาและส่งเสริมวัฒนธรรมของพวกเขาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้โอรังอัสลี ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของความหลากหลายทางวัฒนธรรมของประเทศไทย.

4 ปัจจัยหนุน BRN เหิมเกริมในภาคใต้ ก่อเหตุไม่สนใจผลกระทบ!

4 ปัจจัยหนุน BRN เหิมเกริมในภาคใต้ ก่อเหตุไม่สนใจผลกระทบ!

คุณผู้อ่านเคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมกลุ่ม BRN ซึ่งเป็นขบวนการติดอาวุธแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย จึงก่อเหตุรุนแรงได้ไม่หยุด และไม่สนใจผลกระทบที่จะตามมา โดยเฉพาะเรื่องของการ “สูญเสียมวลชน

ทั้งๆ ที่การก่อเหตุในหลายๆ ครั้งของพวกเขา ก่อผลกระทบกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ ไม่เว้นแม้แต่เด็ก ผู้หญิงท้อง ครู นักเรียน หรือแม้แต่พระ เณร

ถือเป็นการสวนทางทฤษฎี “สงครามแย่งชิงมวลชน” ซึ่งเป็นแนวทางการต่อสู้ของ “กลุ่มขบวนการที่ไม่ใช่รัฐ” อย่างชัดแจ้ง

ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคงชื่อดัง เขียนบทความอธิบายเรื่องนี้เอาไว้ โดยเรียกพฤติกรรมนี้ของ BRN ว่า “ความเหิมเกริมในภาคใต้” ซึ่งก็คือ ความเหิมเกริมของ BRN นั่นเอง โดยอาจารย์ถอดรหัสว่า มาจาก 4 ปัจจัยที่เกื้อหนุน BRN จนทำให้ก่อเหตุได้อย่างเสรี ไม่สนใจผลกระทบใดๆ

ความเหิมเกริม ในภาคใต้ !

สถานการณ์ความรุนแรงจากการก่อเหตุร้ายของกลุ่ม BRN อย่างต่อเนื่องนั้น ไม่ได้สะท้อนอะไรมากไปกว่า “ความเหิมเกริม” ของขบวนติดอาวุธที่แอบอิงอยู่กับเรื่องของศาสนาและชาติพันธุ์

ความเหิมเกริมเช่นนี้ดูจะทวีมากขึ้น จนอยากจะขอตั้งข้อสังเกตถึงปัจจัยต่างๆ ที่เป็นดัง “สารตั้งต้น” ที่ทำให้บรรดาผู้ก่อเหตุเหล่านี้ สามารถปฏิบัติการได้ในแบบที่ไม่ต้องคิดถึง “ผลเสีย” ในทางการเมืองอีกเลย

หากเราพิจารณาจำแนกปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของความเหิมเกริมของ BRN แล้ว เราจะเห็นปัญหาพื้นฐานของสงครามในภาคใต้ไทย ดังนี้

1.ปัจจัยสงครามกองโจร - หากพิจารณาถึงสถานภาพสงครามในภาคใต้แล้ว เห็นได้ชัดเจนว่า กลุ่ม BRN ใช้ปฏิบัติการแบบกองโจรเป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจทางทหารของฝ่ายตน ซึ่งมีองค์ประกอบ คือ

- การรบแบบกองโจรด้วยการก่อการร้าย และการเข้าตีแบบโฉบฉวย ซึ่งทำให้เจ้าหน้ารัฐติดตามจับกุมได้ยาก อีกทั้งไม่ใช่สงครามที่ปรากฏรูปที่ชัดเจน

- ความชำนาญภูมิประเทศในการหลบหนี เป็นหัวใจหลักของสงครามนอกแบบประการหนึ่ง ประกอบกับเงื่อนไขของพื้นที่ที่มีความเป็นชนบทและป่าเขา จึงสามารถใช้เป็นทั้งเส้นทางการเข้าตีที่ดี และเป็นเส้นทางการหลบหนีที่ง่าย

- ความสนับสนุนของมวลชนในท้องถิ่น ปัจจัยนี้เป็นอีกส่วนที่สำคัญ เพราะสงครามกองโจรไม่ว่าจะเป็นในเมืองหรือในชนบท จะดำเนินไปไม่ได้ หากปราศจากความสนับสนุนของมวลชน

ผลสืบเนื่อง - ไม่ว่าสมาชิก BRN กระทำการ “ชั่วร้าย” อย่างไร ก็มักรอดพ้นจากการถูกจับกุมได้เสมอ หรือที่เคยมีนักวิชาการต่างประเทศตั้งข้อสังเกตว่า ทหารไทยรบกับ “ผี” ในภาคใต้ เพราะอาศัยความชำนาญพื้นที่และมีมวลชนคอยช่วยเหลือในการหลบหนี

2.ปัจจัยสงครามแนวร่วม - งานแนวร่วมเป็นพื้นฐานของสงครามก่อความไม่สงบ ถ้าไม่มีแนวร่วมแล้ว ขบวนการติดอาวุธจะขยายงานออกไปไม่ได้จริง ดังนั้น BRN จึงสร้างแนวร่วมใน 3 ส่วนหลัก คือ

- แนวร่วมองค์กรการเมือง อาจจะต้องยอมรับว่า BRN ประสบความสำเร็จมากกว่าพรรคคอมมิวนิสต์ไทยในการขยายงานแนวร่วมกับองค์กรในภาคการเมือง ซึ่งจะทำให้ข้อเรียกร้องและการโฆษณาชวนเชื่อในการแบ่งแยกดินแดนถูกนำมาเสนอในรัฐสภาไทย หรือมีการกล่าวยกย่องเชิดชูสมาชิก BRN ที่ฆ่าคนเป็นจำนวนมาก แต่กลับถูกนำเสนอให้เป็น “วีรบุรุษ” ในรัฐสภาผ่านพรรคการเมืองบางพรรค โดยไม่มีเสียงค้าน

- แนวร่วมองค์กรภาคประชาสังคม องค์กรในส่วนนี้มักมีทัศนคติเชิงลบกับรัฐ และมองฝ่ายต่อต้านด้วยการ “ยกย่อง” จึงพร้อมที่จะสร้างทฤษฎี หรือวาทกรรมในการ “แก้ตัว” ให้กับการก่อการร้ายเสมอ และองค์กรนี้มีทั้งภายนอกและภายในประเทศ

- แนวร่วมสื่อ ปัจจัยสื่อเป็นประเด็นที่น่ากังวล เพราะสื่อสร้างอิทธิพลทางความคิดให้กับคนในสังคมได้มาก สื่อหลายส่วนรับ “วาทกรรมและเรื่องเล่า” ของการแบ่งแยกดินแดน จนสื่อบางส่วนกลายเป็น “กระบอกเสียง” ของการแบ่งแยกดินแดนไปอย่างน่าตกใจ หรือแม้กระทั่งมีทีวีบางช่องหรือนักข่าวบางคนออกมาปกป้องโจร

ผลสืบเนื่อง - สมาชิก BRN กระทำการอย่างไรก็ได้ จะมีคน/กลุ่มคน/องค์กรออกมาปกป้องให้เสมอ เสมือนหนึ่ง BRN ทำอะไรก็ไม่ผิด เพราะรัฐเท่านั้นที่ผิด ฉะนั้น พวกแนวร่วมจึงพร้อมที่ร่วมเชิดชู “วีรกรรมโจร” ได้เสมอ

3.ปัจจัยแนวหลังสงคราม - การทำสงครามต่อต้านรัฐจะดำเนินการไม่ได้โดยไม่มี “แนวหลัง” ให้เป็นที่หลบภัย

     - การมีฐานที่มั่นที่ปลอดภัยในแนวหลัง อันเป็นเสมือนฐานที่มั่นแข็งแรง สำหรับหลบภัยจากการติดตามจับกุมของรัฐไทย

- การได้รับการสนับสนุนทางการเงิน การต่อต้านรัฐจะไปต่อไม่ได้เลยโดยไม่มีเงินสนับสนุน การสนับสนุนทางการเงินที่เกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อในรูปแบบต่างๆ จึงเป็นประเด็นสำคัญ ไม่มีการก่อการร้าย/การก่อความไม่สงบที่ใดในโลกที่ดำเนินการไปได้โดยปราศจากการสนับสนุนทางการเงิน

- การได้รับการฝึกจากภายนอก แนวหลังนอกจากจะเป็นที่พักพิงแล้ว จะเป็นพื้นที่สำคัญที่ใช้ในการฝึกอาวุธ ซึ่งพื้นที่นี้มักจะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านที่มีแนวพรมแดนติดต่อกัน ซึ่งสะดวกในการข้ามพรมแดนมาปฏิบัติการในประเทศเป้าหมาย

ผลสืบเนื่อง - สมาชิก BRN มีสถานที่พักเป็นดัง “สวรรค์ที่ปลอดภัย” (safe haven) เสมอ เพราะอำนาจรัฐไทยเอื้อมมือเข้าไปไม่ได้ หรือเอื้อมเข้าไปไม่ถึง

4.ปัจจัยเสริมพลังสงคราม นอกเหนือจากธรรมชาติสงคราม แนวร่วม และแนวหลังสงครามแล้ว ยังมีปัจจัยที่เป็น “พลังเสริม” ในการสร้างขบวนการต่อต้านรัฐอีก ได้แก่

- การขยายการบ่มเพาะ ซึ่งขบวนการนี้ดำเนินไปด้วยการประกอบสร้างประวัติศาสตร์ เรื่องบอกเล่า และวาทกรรม เพื่อสร้างความเชื่อเรื่องการถูกกดขี่ และถูกปราบปราม เพื่อให้เกิดอารมณ์ร่วมในการต่อต้านรัฐ

- การขยายมวลชน การบ่มเพาะที่เกิดขึ้นในพื้นที่เป้าหมาย มุ่งที่จะสร้างและขยายมวลชนเพื่อสนับสนุนการทำสงครามต่อต้านรัฐ เพราะถ้าไม่บ่มเพาะความรุนแรง ก็จะสร้าง “เมล็ดพันธุ์ความรุนแรง” ต่อไปไม่ได้

- การขยายกองกำลัง เมื่อกระบวนการบ่มเพาะเริ่มทำงานได้จริงแล้ว ก็จะทำให้เกิดการขยายจำนวนกองกำลัง เพราะกองกำลังถูกสร้างจากการการปลุกระดมผ่านกระบวนการบ่มเพาะความรุนแรง

ผลสืบเนื่อง - เมื่อ BRN มีปัจจัยที่เป็นพลังเสริม จึงทำให้ขบวนการสามารถขับเคลื่อนความรุนแรงได้ไม่หยุด

ปฏิบัติการด้วยความเหิมเกริมยิ่ง!

จากปัจจัยต่างๆ ทั้ง 4 ประการเข้ามาผสมผสานกันดังที่กล่าวในข้างต้นแล้ว ให้คำตอบแก่เราอย่างชัดเจนว่า BRN สามารถปฏิบัติการใช้อาวุธด้วยความ “เหิมเกริม” อย่างยิ่ง เพราะพวกเขา “ฆ่า” โดยไม่ต้องแคร์อะไรทั้งสิ้น

และวันนี้ดูจะเหิมเกริมมากขึ้น จนถึงขั้นคนที่มีตำแหน่งในองค์กรการเมืองในระดับชาติ กล้าที่จะยกย่อง นายมะรอโซ จันทรวดี “มือสังหาร” ของ BRN (ฆ่ามาแล้ว 38 ศพ) กลางรัฐสภาของรัฐไทยอย่างไม่น่าเชื่อ … เหิมเกริมยิ่งบนความอ่อนแอของรัฐไทย!