วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2568

รัฐไทยสนับสนุนความแตกต่างทางอัตลักษณ์สู่สันติ

รัฐไทยสนับสนุนความแตกต่างทางอัตลักษณ์สู่สันติ

ในบริบทของสังคมพหุวัฒนธรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ที่มีความหลากหลายทั้งด้านชาติพันธุ์ ภาษา และศาสนา การสร้างความเข้าใจระหว่างกันเป็นรากฐานสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ บทบาทของศาสนาอิสลามและหน่วยงานภาครัฐจึงมีความสำคัญในการหล่อหลอมสังคมให้ไม่ตกอยู่ภายใต้ความหวาดระแวงหรือการแบ่งแยก

อิสลามไม่สนับสนุนความแตกแยก

ศาสนาอิสลามมีหลักการที่ชัดเจนในการห้ามการปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกในหมู่มนุษย์ ไม่ว่าจะในมิติของศาสนา เชื้อชาติ หรืออุดมการณ์ อัลกุรอานได้กล่าวถึงความสำคัญของเอกภาพ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในหลายบท โดยเน้นย้ำว่าความแตกต่างนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าประสงค์ เพื่อให้มนุษย์เรียนรู้ซึ่งกันและกัน มิใช่เพื่อก่อความขัดแย้ง "และจงยึดมั่นเชือกของอัลลอฮ์ทั้งหมด และอย่าแตกแยกกัน..." (อัลกุรอาน 3:103)

ข้อความนี้สะท้อนเจตจำนงค์ของศาสนาอิสลามที่มุ่งส่งเสริมความเป็นหนึ่งเดียวกันของสังคมมนุษย์ การปลุกระดมด้วยถ้อยคำแห่งความเกลียดชัง การแยกแยะคนออกจากกันด้วยเชื้อชาติหรือศาสนา ถือเป็นการละเมิดหลักศรัทธาอย่างชัดเจน

ศาสนาอิสลามยังกำชับว่า ผู้ที่ทำลายความสงบในสังคม หรือผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์ผ่านความขัดแยก จะต้องได้รับการปฏิเสธจากชุมชน ผู้ศรัทธาจึงมีหน้าที่ในการส่งเสริมสันติภาพ และยับยั้งการกระทำใดๆ ที่นำไปสู่ความเกลียดชัง แม้บุคคลนั้นจะแสดงตนว่าเป็นมุสลิมก็ตาม

ความเข้าใจจากภาครัฐไทย : สนับสนุนความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์

ในด้านของภาครัฐไทย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ชายแดนใต้ ได้มีพัฒนาการที่น่าสนใจในการสนับสนุนความหลากหลายทางวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของประชาชน เจ้าหน้าที่จำนวนมากตระหนักถึงความสำคัญของการเคารพและสนับสนุนความแตกต่าง ไม่เพียงแค่ในเชิงวัฒนธรรม แต่รวมถึงความเชื่อและวิถีชีวิต

โครงการต่างๆ ที่ส่งเสริมการใช้ภาษามลายูถิ่นในโรงเรียน สนับสนุนเครื่องแต่งกายตามหลักศาสนาในหน่วยงานรัฐ หรือการร่วมพิธีกรรมของชุมชนในฐานะผู้สนับสนุน ล้วนเป็นภาพสะท้อนของความพยายามสร้างสะพานเชื่อมโยงความเข้าใจ ไม่ใช่กำแพงแบ่งแยก

เจ้าหน้าที่รัฐที่มีแนวคิดเปิดกว้าง มองเห็นว่าอัตลักษณ์ท้องถิ่นเป็น “ทุนทางสังคม” มากกว่าจะเป็น “อุปสรรคต่อความมั่นคง” ทำให้สามารถวางนโยบายในลักษณะ “การพัฒนาเพื่อสันติภาพ” มากกว่า “การควบคุมเพื่อลดความเสี่ยง”

การมีบทบาทเชิงบวกนี้ ช่วยลดแรงต่อต้านจากชุมชน เพิ่มความไว้วางใจ และเปิดโอกาสให้ภาครัฐทำงานร่วมกับท้องถิ่นได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ยิ่งเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ได้มีอคติต่อศาสนาอิสลามหรือวิถีชีวิตของชาวมุสลิม ความร่วมมือจึงเกิดขึ้นบนฐานของ “ความเคารพซึ่งกันและกัน” ไม่ใช่แค่ “ความจำยอม”

การอยู่ร่วมกันด้วยความเข้าใจ

สังคมไทยมีความหลากหลายเป็นพื้นฐาน เจ้าหน้าที่รัฐจึงควรเป็นแบบอย่างของความเข้าใจอัตลักษณ์ที่แตกต่าง ในขณะเดียวกัน ผู้นำศาสนา และประชาชนที่มีศรัทธาควรส่งเสริมอิสลามในแบบที่ไม่สร้างกำแพง ไม่ตัดสินผู้อื่น และไม่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมืองหรืออุดมการณ์สุดโต่ง

ความสันติสุขที่แท้จริงจึงไม่ได้เกิดจากความเหมือนกันทั้งหมด หากแต่เกิดจาก “การอยู่ร่วมกันอย่างต่างอย่างเข้าใจ” บทบาทของศาสนาและรัฐจะต้องเดินคู่กัน เพื่อขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความมั่นคงที่มีรากฐานจากหัวใจของประชาชน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น