หุ่นยนต์สังหาร
(คนเหล็ก)คืนชีพ กับ แนวร่วมขบวนการก่อเหตุรุนแรงในภาคใต้
เห็นข้อความบางตอนของการบรรยายปลุกระดมโดยกลุ่มก่อเหตุรุนแรงที่ถอดบันทึกจากคลิปมือถือ
อดไม่ได้ที่จะนึกถึงการหลอมตัวฟื้นคืนชีพของหุ่นยนต์สังหารที่มีหน้าที่ไล่ล่า จอน
คอนเนอร์ เด็กชายอายุ 9 ขวบใน ภาพยนตร์เรื่องคนเหล็ก 2029
หลังจากถูกหุ่นยนต์ผู้พิทักษ์ทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า
เช่นเดียวกับการปลุกระดมของ
ขบวนการโดยอาศัยการบิดเบือน เรื่องต่างๆ
ที่มีผู้นำข้อเท็จจริงมาหักล้างจนหมดสิ้นแล้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์ที่จะนำมา
ใช้ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยล่าสุดผู้บรรยายใช้การสื่อสารออนไลน์สมัยใหม่ เป็นคลิปใส่ในโทรศัพท์มือถือส่งต่อ
ๆ กัน ดังที่พบจากผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้
เนื้อหาการบรรยายยังคงใช้ประเด็นเก่า ๆ เช่นด้านประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ ศาสนา
และรัฐปัตตานีในอดีต
และนำความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่สร้างภาพเป็นเจตนาร้ายต่อคนมลายูและศาสนาอิสลาม เพื่อนำไปสู่เงื่อนไขการญีฮาดอันเป็นความจำเป็น
และบังคับสำหรับมุสลิมทุกคน (ฟัรดูอีน)
ซึ่งครั้งนี้ผู้บรรยายได้เน้นความเป็นฟัรดูอีนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การนำการญีฮาด
มาเชื่อมโยงกับฟัรดูอีน เป็นการนำหลักตรรกมาอธิบายว่า เมื่อคนมลายูถูกรังแก,
ศาสนาอิสลามถูกทำลาย, แผ่นดินถูกยึดครอง,
การญีฮาดก็เป็นฟัรดูอีนของคนมุสลิมทั้งหลาย
แต่ในเมื่อเงื่อนไข
ทั้ง
3 ประการดังกล่าว ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริงแต่อย่างใด
ฟัรดูอีนในการญีฮาดก็ไม่เกิดขึ้น จึงเป็นตรรกที่นำมาซึ่งบทสรุปว่า การญีฮาด ที่ผู้บรรยายพยายามเชิญชวนนั้นไร้ความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิง
หากเปรียบเทียบการต่อสู้ระหว่างหุ่นยนต์ทั้ง 2 ตัวที่ใช้อาวุธประหัตประหาร โดยมุ่งไปที่ชีวิตเด็กชายจอนฯ เพียงคนเดียว
ซึ่งเปรียบได้กับการต่อสู้เพื่อแย่งมวลชนในสถานการณ์การก่อเหตุรุนแรงที่อาศัยข้อเท็จจริง
ด้านประวัติศาสตร์และศาสนาเป็นอาวุธเพื่อทำลายสติปัญญาเยาวชนจำนวนมาก
การปลุกระดมด้วยการบรรยายในคลิปดังกล่าวนี้
ผู้บรรยายอาศัยจิตวิทยาขั้นสูงด้วยการหว่านล้อมให้คล้อยตาม
ร้องขอเชิงบังคับแถมข่มขู่ให้หวาดกลัว
เรียกได้ว่าทั้งวิชามารและวาทศิลป์อย่างครบเครื่อง
แต่ก็มีข้อที่น่าสังเกตสองประการจากเนื้อหาการบรรยายครั้งนี้
ประการที่หนึ่ง
ผู้บรรยายได้ยอมรับเรื่องประวัติศาสตร์ที่ย้อนไปไกลถึงยุคลังกาสุกะว่า ดินแดนแห่งนี้ในอดีตไม่ใช่ดินแดนอิสลามอย่างที่เคยกล่าวอ้าง
แต่ผู้บรรยายยังคงหาเหตุผลโยงใยถึงความเจริญรุ่งเรืองที่เกิดขึ้นหลังอิสลามถูกเผยแผ่ในสมัยพระยาอินทิรา
ซึ่งเข้ารับอิสลามและเปลี่ยนชื่อเป็นสุลต่านอิสมาแอล ชาห์ จนกระทั่ง
ถูกสยามยึดครองในเวลาต่อมา
ประการที่สอง
ผู้บรรยายยอมรับว่า การฆ่านั้นคนผิดหลักศาสนาดังบทบัญญัติที่ว่า “ถ้าใครฆ่าคนหนึ่งคนเปรียบเสมือนได้ฆ่าคนทั้งโลก”
ซึ่งการยอมรับในสองประเด็นดังกล่าวนี้เป็นผลสืบเนื่อง จากการนำข้อเท็จจริง
ทั้งทางด้านศาสนาและประวัติศาสตร์มาหักล้างจนประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจยิ่ง
และที่สำคัญที่สุดการยอมรับในสองประเด็นดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าในห้วงที่ผ่านมานั้น
ทั้งการบรรยายในเรื่องศาสนาและเรื่องประวัติศาสตร์ รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ
ผู้บรรยายมีเจตนาที่จะบิดเบือน และหลอกลวงให้คนหลงผิดอย่างปฏิเสธไม่ได้
แม้จะจำนนด้วยข้อเท็จจริง
ตามที่กล่าวแล้วก็ตาม แต่ผู้บรรยายยังไม่ยอมยุติอย่างง่าย ๆ
เช่นเดียวกับหุ่นยนต์สังหาร ที่มุ่งมั่นไล่ล่าเด็กน้อยอย่างไม่หยุดหย่อน
โดยการสรรหาสำนวนโวหารมาเสริม เพื่อให้ได้ความหมายว่า
แม้ว่าการฆ่าคนหนึ่งคนเปรียบเสมือนฆ่าคนทั้งโลกก็ตาม
แต่เราต้องดูด้วยว่าห้ามไม่ให้ฆ่าใคร และเรากำลังฆ่าใคร เรากระทำเพื่อสิ่งใด
เหมือนจะบอกว่า ในโลกนี้ยังมีคนที่เขาสามารถเลือกฆ่าได้อย่างชอบธรรมและไม่ผิดศาสนา
เท่านั้นยังไม่พอ
ยังฝืนหลักศาสนาเรื่องการปฏิบัติต่อศพ
ซึ่งตามหลักศาสนาไม่ว่าจะเป็นศพของผู้ใดก็ตามต้องปฏิบัติอย่างให้เกียรติเสมอกัน
แต่พวกเขาได้กระทำการอย่างโหดเหี้ยม เชือด เผา ผิดหลักศาสนาอย่างร้ายแรง
และหากจะเปรียบเทียบบัญญัตในการสงครามญีฮาด ซึ่งศาสดาได้เคยประกาศใช้ในอดีต
กลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะในสมัยศาสดานั้น เมื่อมีความจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำสงคราม
ศาสดาได้ประกาศเป็นกฎเกณฑ์อย่างชัดเจนว่า ห้ามทำร้ายคนชรา เด็ก และสตรี
รวมทั้งห้ามทำลายต้นไม้ แม่น้ำลำธาร รวมทั้งสิ่งสาธารณ ประโยชน์ทั้งหลาย
มีผู้กล่าวไว้ว่าแท้จริงคำว่า“ญีฮาด”
เป็นคำที่สูงส่งในอิสลาม น่าเสียดายวันนี้
คำ ๆ นี้ได้ถูกคนบางคนได้สร้างภาพแห่งความน่ากลัว สยดสยอง มาละเลงสี
ให้กับความบริสุทธ์ของญีฮาดสูญเสียความงดงามไปอย่างไม่น่าให้อภัย
พฤติกรรมของกลุ่มก่อความไม่สงบที่ปฏิบัติในทางตรงข้ามกับบัญญัติทั้งหลาย
รวมทั้งการบรรยายที่บิดเบือนบทบัญญัติต่าง ๆ อย่างเช่น การนำประโยคคำว่า
“ถ้าใครฆ่าคนหนึ่งคนเปรียบเสมือนได้ฆ่าคนทั้งโลก” แล้วนำมาต่อด้วยประโยคที่ว่า
“แต่เราต้องดูด้วยว่าห้ามไม่ให้ฆ่าใคร และเรากำลังฆ่าใคร เรากระทำเพื่อสิ่งใด”
เท่ากับเป็นการปฏิเสธบทบัญญัติดังกล่าวอย่างชัดเจน
การปฏิเสธบทบัญญัติใดบทบัญญัติหนึ่งในกุรอ่าน
ก็มีค่าเท่ากับการปฏิเสธกุรอ่านทั้งเล่ม และการปฏิเสธกุรอ่าน
เท่ากับการปฏิเสธหลักการอิสลามอย่างไม่มีเงื่อนไข ในทางศาสนาเรียกบุคคลดังกล่าวว่า
“ตกศาสนา” ซึ่งมุสลิมทั้งหลายต่างวิงวอนขอพรจากพระเจ้าให้ห่างไกลจากสิ่งนี้
ก่อนถึงวาระสุดท้าย หากหุ่นสังหารไม่ยอมวางอาวุธ
เฉกเช่นเดียวกันผู้บรรยายคนเดิมไม่ยอมยุติการกระทำดังกล่าวและเดินออกมา เพื่อขออภัยโทษต่อพระเจ้า
ในวันอาคีเราะห์หลังการพิพากษา
จุดจบคงไม่ต่างไปจากหุ่นยนต์สังหารในภาพยนตร์คนเหล็ก 2029 ที่ร้องโหยหวนก่อนร่างจะแหลกสลายในกองไฟอันแดงเดือดจากเตาหลอมรุ่นพิเศษ
ซึ่งเตรียมไว้สำหรับเขาโดยเฉพาะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น