ปัญหาการไม่อาบน้ำศพของผู้ก่อการร้ายในพื้นที่ 3 จชต.
ปัญหาการไม่อาบน้ำศพของผู้ก่อการร้ายที่เสียชีวิต
จากการปะทะกับเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ดูแลความมั่นคงและความปลอดภัยในพื้นที่ ในการการบังคับใช้กฎหมายติดตามจับกุม
นับว่าเป็นปัญหาส่วนหนึ่งที่ยังคงมีอยู่ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา การไม่อาบน้ำศพ แห่ศพมีการแชร์ต่อในสื่อสังคมออนไลน์ถ่ายทอดสถานะให้เป็นนักรบแห่งพระเจ้าผู้ปกป้องศาสนาอิสลาม
ยอมพลีชีพ เป็น “ซาฮีด” ที่สมบรูณ์
ล่าสุดกลุ่มขบวนการมีการปลุกระดม
บิดเบือนความคิดความเชื่อหลักศาสนา “ซาฮีด” นายอายิ ยามา สมาชิกแนวร่วมผู้ก่อการร้าย
ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำศพ รวมทั้งไม่ละหมาดศพ ชี้ให้เห็นการต่อสู้ เพื่อทวงคืนอธิปไตยปาตานีนั้น
เป็น “ฟัรฎูอีน” หมายถึง เป็นข้อบังคับที่มุสลิมปาตานีจะต้องปฏิบัติ
หากใครละทิ้งหรือปฏิเสธถือว่ามีความผิด
ที่ผ่านมา
“ผู้นำศาสนาอิสลาม”
ในพื้นที่ไม่กล้าแย้งและปล่อยปละละเลยให้มีความเชื่อที่ผิดๆ เป็นเวลาถึง 20
ปีมาแล้ว ที่ต่างไม่มีใครที่จะ “หาญกล้า”
ลุกขึ้นอรรถาธิบายเพื่อสร้างความกระจ่างชัด
สร้างความเข้าใจในหลักศาสนาที่ถูกต้องแท้จริงต่อประชาชนในเรื่องนี้
แต่ในทรรศนะส่วนหนึ่งของนักวิชาการอิสลาม
หรืออูลามะอ์อิสลามที่ถูกต้องนั้น การต่อสู้ของกลุ่มผู้ก่อการร้ายในพื้นที่ 3
จังหวัดชายแดนใต้ ไม่ใช่เป็นการต่อสู้ในทางศาสนา
จึงไม่ถือว่าการเสียชีวิตนั้นเป็นการตาย“ซาฮีด” จึงจำเป็นจะต้องอาบน้ำศพ
ห่อศพ ละหมาดศพ และฝังศพให้ถูกต้องตามหลักศาสนา
สอดรับกับคำกล่าวของคณะของนาย
Madani
ผู้แทน OIC ในการมาเยือนประเทศไทยเมื่อวันที่
11–12 มกราคม 2559 ที่ผ่านมา ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า OIC เคารพเรื่องบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย
แต่สิทธิของพลเมืองทุกคนต้องเท่าเทียมกัน
และที่สำคัญรากเหง้าของปัญหาภาคใต้ไม่เกี่ยวกับเรื่อง“ศาสนา”
อีกทั้งสารของสำนักจุฬาราชมนตรี
ที่ สฬ.0001/489 ลงวันที่ 24 ก.ค. 61 ซึ่งลงนามโดยนายอาศิส พิทักษ์คุมพล อดีตท่านจุฬาราชมนตรี
ตอบกลับหนังสือ ศอ.บต.
ขอความอนุเคราะห์ฟัตวาหลักการศาสนาอิสลามในเรื่องการญิฮาด การซะฮีดและดินแดนฮัรบี
“หากมุสลิมดำรงชีพในดินแดนหนึ่ง ซึ่งในดินแดนนั้นหรือศาสนาหลักในดินแดนนั้นเป็นศาสนาอื่น
มิใช่ศาสนาอิสลาม และมุสลิมนั้นสามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของตนได้โดยเสรี ก็ถือว่าผู้นั้นอยู่ในดินแดนอิสลาม
(ดารุสสลาม)”
โดยมุสลิมดำรงชีพในดินแดนนั้น
ครบองค์ประกอบหลัก 2 ประการคือ
(1)
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินและเกียรติยศในฐานะพลเมือง
(2)
เสรีภาพในการนับถือศาสนา การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
และการเผยแพร่ศาสนาอันเป็นปกติ ถือว่าดินแดนนั้นไม่ใช่ดินแดนแห่งสงคราม
(ดารุ้ลฮัรบี)
ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์
เป็นองค์ศาสนูปภัมภกในทุกศาสนา และมีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
ให้สิทธิเสรีภาพในการปฏิบัติศาสนกิจและเผยแพร่ศาสนา ดังนั้น จึงไม่มีพื้นที่ส่วนใดของประเทศไทยที่เป็นดินแดน “ดารุ้ลฮัรบี”
(ซูเราะฮฺอาละอิมรอน/104 และ ซูเราะฮฺอัตเตาบะฮฺ/122
และข้อบันทึกของอิหม่ามบุคอรีย์)
การเสียชีวิตของผู้ก่อการร้ายที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะเป็นนายมะรอโซ จันทรวดี นายอายิ ยามา หรือหลายๆ
คนที่เสียชีวิตจากการปะทะกับเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วไม่มีการอาบน้ำศพ
ไม่ละหมาดศพเป็นความเข้าใจผิด คลาดเคลื่อนในเรื่องศาสนา จริงๆ แล้วไม่ใช่
เพราะบุคคลเหล่านี้ทำผิดกฎหมาย เป็นอาชญากรเข่นฆ่าคน มีหมายจับ ป.วิอาญาติดตัว
ไม่ได้เสียชีวิตจากการทำสงครามหรือต่อสู้กับผู้ที่รุกราน
กดขี่ด้านศาสนาต่อชาวมุสลิม เป็นการ “ซาฮีดอาคีเราะห์” เท่านั้น
จะเห็นได้ว่ารูปแบบการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่
ในการบังคับใช้กฎหมายในการติดตามจับกุม มีขั้นตอนในการปฏิบัติจากเบาไปหาหนัก
มุ่งใช้แนวทางสันติวิธีเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง
นำหลักการเจรจามาใช้เพื่อลดความสูญเสีย อีกทั้งยังมีผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน
ผู้นำท้องที่หรือแม้กระทั่งคนในครอบครัวมามีส่วนร่วมในการเจรจา
เช่นกรณีการเสียชีวิตของ นายอาลียะ อาหะแม และนายกาดาฟี ตามะแซ เมื่อ 8 พ.ย.60
(ผู้นำศาสนา พ่อแม่ เจรจา 6 ครั้ง)
เจ้าหน้าที่รัฐ
บังคับใช้กฎหมายก็ต่อเมื่อคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่ก่อน เช่นกรณีเมื่อ
12 ม.ค.62 ซึ่งเป็นวันเด็กแห่งชาติ กำลัง 3
ฝ่ายเข้าปิดล้อมบ้านหลังหนึ่งในหมูบ้านท่าด่าน ตำบลตะโละกาโปร์ อำเภอยะหริ่ง
ปรากฏว่าฝ่ายคนร้ายที่หลบอยู่ภายในบ้านใช้อาวุธปืนสาดกระสุนออกมาทันทีแบบไม่ให้ได้ตั้งตัว
จึงเกิดการยิงปะทะกันขึ้นเจ้าหน้าที่รัฐ จึงประสานผู้นำศาสนาและผู้นำชุมชนเข้าไปเกลี้ยกล่อมคนร้ายให้มอบตัว
แต่กลับถูกสาดกระสุนใส่เป็นคำตอบ กระทั่งเกิดการยิงปะทะกันอีกระลอกหนึ่ง
นายอับดุลเลาะ สาแม และนายอับดุลเลาะ เจะหลง ผู้ก่อการร้ายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดกับฝ่ายใดก็แล้วแต่!! ไม่มีใครอยากให้เกิด
อยากให้พื้นที่แห่งนี้สงบ ปราศจากเหตุรุนแรง มีความปรองดอง ไปสู่สันติสุข
เข้ากับบรรยากาศของการพูดคุยหาทางออกให้กับพื้นที่
ที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการขจัดความขัดแย้งแสวงหาแนวทางออกโดยสันติวิธี อยากเห็นมิติใหม่การแก้ปัญหาด้วยศาสนา
โดยจำเป็นจะต้องให้ผู้นำในพื้นที่ ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น
มีมติร่วมกัน (ฮูกุมปากัตของชุมชน)
ว่าผู้ใดที่จะฝั่งศพในเขตพื้นที่ความรับผิดชอบของเขานั้น
จำเป็นจะต้องอาบน้ำศพและจัดการศพให้ถูกต้องตามหลักศาสนาอย่างแท้จริง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น