เวทีสงครามและสันติภาพ ประชาชนปาตานี
จะกำหนดชะตากรรมตนเอง ได้หรือไม่? อย่างไร
สงครามความรู้สึก
“ปฏิบัติการ IO” แนวรบที่ต้อง “เท่าทัน”ยิ่งเมื่อโลกได้แปรเปลี่ยนเข้าสู่ยุคข้อมูลข่าวสาร
การยึดติดอยู่กับสื่อกระแสหลักในปัจจุบันมักใช้ไม่ได้ผล การบิดเบือนข้อเท็จจริง
เป็นการเติมเชื้อน้ำมันบนกองไฟ
เนื่องจากผู้บริโภคข่าวสารมีสื่อทางเลือกในการรับรู้
เทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามามีบทบาทที่สำคัญยิ่งต่อชีวิตประจำวัน
คนในสังคมจึงมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างรวดเร็ว กว้างขวางขึ้น
และลงลึกในรายละเอียดทุกประเด็นส่งผลต่อความรู้สึก อาจจะชี้นำทางความคิด
ดังนั้นฝ่ายต่อต้านรัฐ
จึงใช้ช่องทางนี้ในการปลุกระดม หาแนวร่วม เพื่อแสวงหาทางออกของปัญหาร่วมกัน
ด้วยการถ่ายทอดความรู้สึก สร้างแรงจูงใจ โดยมีวัตถุประสงค์ในการ “สร้างความรู้สึกร่วม”โดยใช้สื่อสังคมออนไลน์
ทั้งนี้ การปฏิบัติการข่าวสารหากกระทำได้ถูกต้องตรงประเด็น“ย่อมมีอำนาจไม่ต่างจากอาวุธ”
จากการเปิดเผยข้อมูลของแนวร่วมป่วนใต้
ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการปฏิบัติการข่าวสาร “IO” (Information
Operation) ของฝ่ายขบวนการ BRN ได้ถ่ายทอดข้อมูลที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งบุคคลผู้นี้ไม่ขอเปิดเผยชื่อเพื่อความปลอดภัย เขาเป็นหนึ่งในอีกหลายๆ คน
ที่หลงผิดเข้าร่วมขบวนการ BRN เพราะถูกชักชวน
มีการปลูกฝังอุดมการณ์ รวมทั้งการได้รับความรู้ด้านประวัติศาสตร์ที่ผิดๆ มา
มูลเหตุของการเข้าร่วมขบวนการ
BRN สมัยเป็นนักเรียนได้ยินได้ฟังเรื่องราวข่าวสาร
ซึ่งผู้เฒ่า ผู้แก่ เล่าให้ฟังถึง “อาณาจักรฟาตอนี” นานๆ
เข้าได้ซึมซับความรู้จากคนแล้วคนเล่า
ที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนถ่ายทอดเล่าขานความเป็นมาของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ให้ลูกหลานได้ฟัง
ประเด็นสำคัญ อาณาจักรฟาตอนี เคยมีอยู่จริงในผืนแผ่นดินแห่งนี้หรือไม่? ก่อนที่จะโดนรัฐสยามรุกรานล่าอาณานิคม
ได้แต่ตั้งคำถามอยู่ในใจพร้อมทั้งแง่จงเกลียดจงชังคนซีแย และรัฐสยาม
ในวันที่ว่างเว้นจากการเล่าเรียน
จึงหาโอกาสศึกษาประวัติศาสตร์เพิ่มเติมพร้อมทั้งศึกษาโบราณสถานที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนสมมุติฐาน
“อาณาจักรฟาตอนี” มีอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็น มัสยิดกรือเซะ วังยะหริ่ง
และโบราณสถานอื่นๆ และเมื่อมีโอกาสเดินทางไปศึกษาต่อกรุงเทพมหานคร
ได้ไปดูปืนใหญ่พญาตานี ซึ่งเป็นมรดกของชาวปาตอนี หน้ากระทรวงกลาโหม ไปดูคลองแสนแสบ
ที่มีการกล่าวถึงในประวัติศาสตร์ในการเกณฑ์บรรพบุรุษชาวฟาตอนีขุดคลองดังกล่าว
ตามคำบอกเล่าของคนแก่คนเฒ่า ประกอบกับปี พ.ศ.2547 ได้เกิดเหตุการณ์ตากใบขึ้น ปี
พ.ศ.2549 จึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการ BRN เพื่อต้องการต่อสู้ทวงความเป็นธรรม
โดยส่วนตัว ตนเองมีความถนัดในงานด้านการเมือง (Politics) จึงทำหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์
เพื่อสร้างมวลชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ปลุกระดมให้ประชาชนหรือแนวร่วมรู้สึกคล้อยตามกับขบวนการ BRN ที่กำลังขับเคี่ยวอยู่กับอำนาจรัฐ
ส่วนตัวแล้ว ได้ยึดแนวความคิดตามตำราพิชัยสงครามของท่านซุนวู ที่กล่าวไว้ว่า “รู้เขา รู้เรา ร้อยรบมิพ่าย ไม่รู้เขา รู้เรา ทุกรบจักพ่าย” ส่วนเป้าหมายเบื้องบนที่ได้ให้แนวทางไว้กับผู้ร่วมขบวนการ “รัฐฟาตอนีจะเป็นเอกราชได้ ก็ต่อเมื่อประชาชนต้องการ” ฉะนั้นขบวนการ BRN จึงจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมีฝ่ายปฏิบัติการจิตวิทยา (ปจว.) รับผิดชอบในการบ่มเพาะ ปลูกฝังอุดมการณ์ ยุยง ปลุกปั่น ปลุกระดม ให้ประชาชนเกิดการต่อสู้ และต่อต้านอำนาจรัฐ โดยมีสมาชิกระดับ “อาเยาะ” เป็นผู้กำกับดูแลในระดับหมู่บ้าน ทำการโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือนข้อเท็จจริง เป็นความพยายามโดยเจตนาที่จะเปลี่ยนความเชื่อ และการกระทำของบุคคลจำนวนมาก ให้เป็นไปในแนวทางที่ฝ่าย BRN ต้องการ ด้วยกลอุบาย และวิธีการต่างๆ โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องของเหตุผลและข้อเท็จจริง โดยเป้าหมายจะเปลี่ยนความเชื่อและอุดมการณ์ของคนจำนวนมาก ให้หันเหไปนิยมเลื่อมใสในอุดมการณ์ของฝ่ายตน และแสดงออกต่อพฤติกรรมต่างๆ อันเป็นปฏิปักษ์กับแนวทางของฝ่ายตรงข้าม หลักการในการทำสื่อโฆษณาชวนเชื่อ “มีการบอกข้อดี ความถูกต้องของขบวนการนักรบฟาตอนี นำเสนอข้อผิดพลาด ข้อเสียของเจ้าหน้าที่รัฐไทย เปลี่ยนข้อดีของรัฐให้เป็นข้อเสีย โดยการโยนความผิดให้กับเจ้าหน้าที่รัฐไทย สุดท้ายเปลี่ยนข้อด้อยของขบวนการ BRN ให้เป็นข้อดี”
สำนักสื่อ
Wartani
ที่มักนำเสนอข้อมูลข่าวสารเอนเอียงเป็นกระบอกเสียง BRN
ขบวนการ
BRN
ได้ให้ความสำคัญของสื่อที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์ โดยมีวัตถุประสงค์
เพื่อการถ่ายทอดหรือบอกข่าวสารให้แก่ประชาชนได้รับทราบ
ให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และเป็นการสร้างความนิยม
และภาพพจน์ที่ดีของขบวนการ โดยต้องการเป้าหมายสุดท้าย คือ ให้ประชาชนมลายู “เลือกข้าง”
อยู่กับ BRN co-ordinate ให้ประชาชนมลายู “หวาดระแวง”
เจ้าหน้าที่รัฐไทย ประชาชนมลายูในพื้นที่
สามารถใช้ชีวิตประจำวันอยู่ภายใต้สภาวการณ์ การต่อสู้ของสงครามประชาชน
ดั่งเช่นในปัจจุบันนี้ได้สุดท้าย คือ การปฏิเสธ “หลักการ 5 ไม่”
ในการต่อต้านรัฐไทย คือ ไม่รับข่าวสารของสื่อรัฐไทย (No Information) ไม่อยู่ร่วมกันระหว่างไทยพุทธ-กับมลายูมุสลิม (No Assimilation) ไม่สมานฉันท์เด็ดขาด (No Compromise) ไม่ยอมรับเขตปกครองพิเศษ
(No Autonomy) ไม่ยอมรับกฎหมายไทย (No Parliament)
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปฏิบัติการข่าวสารในการโฆษณาชวนเชื่อของขบวนการ
BRN
ที่ทำสงครามแย่งชิงมวลชนกับฝ่ายรัฐไทยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่มีมายาวนาน
และจะมีต่อไปซึ่งมีแนวโน้มที่เป็นไปได้ว่า
แนวร่วมกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการปลุกความเป็นชนชาติมลายูปาตานี จัดหาสมาชิก
สร้างกระแสการถูกกดขี่ข่มแหงจากนักล่าอาณานิคมสยาม และการเผยแพร่แนวคิดรัฐเอกราชปาตานี
เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการจัดการฝึกอบรมด้านการผลิตสื่อในระดับสถาบันปอเนาะ
โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม
เพื่อช่วยทำหน้าที่ในการต่อต้านการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ
WWW.SURA-AMPERA.COM
เว็บไซต์ ที่ใช้ในการปฏิบัติการ IO ของ BRN
ก่อนจะจบการสนทนา
อดีตแนวร่วม BRN
รับผิดชอบงาน “IO” ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
“ขบวนการ BRN ได้ดำเนินการทุกรูปแบบในการโฆษณาชวนเชื่อโดยไม่คำนึงถึงความผิดถูก
เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับ RKK ที่ได้ดำเนินการก่อเหตุ
รวมทั้งงานการเมืองที่มีการปลุกระดมแนวความคิด ปลูกฝังอุดมการณ์
บิดเบือนประวัติศาสตร์
สร้างความเกลียดชังความแตกแยกให้เกิดขึ้นระหว่างชาวไทยพุทธ-ชาวไทยมุสลิมในพื้นที่ ตามเป้าหมายที่วางไว้” ซึ่งได้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในช่วงเวลานี้อย่างเหมาะเจาะ
โดยกลุ่ม PerMAS และองค์กรภาคประชาสังคมบางกลุ่มได้ออกมาเคลื่อนไหว
โฆษณาชวนเชื่อ กล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความตายของเด็กๆ
และประชาชนผู้บริสุทธิ์เป็นเครื่องมือ จากปะลุกาแปเราะ
ล่าสุดการเสียชีวิตที่บันนังกูแว กับการบิดเบือนข้อเท็จจริง ลวงโลกไม่สนใจใยดีเรื่องถูกผิด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น