สืบเนื่องจากรัฐบาลและกลุ่มที่เห็นต่างจากรัฐ
ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ
แสดงเจตจำนงพูดคุยเพื่อสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย
โดยมีรัฐบาลมาเลเซียเป็นอำนวยความสะดวก เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2556 เป็นต้นมา
ซึ่งตัวแทนทั้งสองฝ่ายได้มีการพบปะพูดคุยครั้งแรก
เพื่อกำหนดกรอบการพูดคุย เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2556 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
และทั้งสองฝ่ายมีกำหนดจะพบปะพูดคุยเพื่อสันติภาพอีกครั้ง ในวันที่ 6 กุมภ 2567
ครั้งล่าสุด ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดสันติภาพในพื้นที่ต่อไป
ในระหว่างที่กระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ
กำลังดำเนินไปท่ามกลางความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังคุกรุ่น
มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อกระบวนการพูดคุย หรือ
เจรจาเพื่อสันติในครั้งนี้อย่างหลากหลาย ในการนี้ เพื่อให้กระบวนการการพูดคุย หรือ
การเจรจา เพื่อสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วประเทศปรารถนา
สามารถดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง จนบรรลุถึงข้อตกลงสันติภาพ ข้าพเจ้า
ในฐานะที่เป็นประชาชน นักวิชาการและนักการศาสนาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ขอมีส่วนร่วมเสนอแนะแนวคิดที่เป็นหนทางในการส่งเสริมสนับสนุนกระบวนการพูดคุย หรือ
เจรจา เพื่อสันติภาพให้มีความก้าวหน้าและประสบผลสำเร็จ ดังนี้
1. การพูดคุย เจรจา :
เส้นทางสู่ความสันพันธ์ที่ดีและความไว้วางใจกัน
การที่ทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายที่เห็นต่างจากรัฐ
รวมทั้งรัฐบาลมาเลเซีย
ได้ริเริ่มกระบวนการสันติวิธีสู่สันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการหันมาพูดคุย
หรือ เจรจา ถือว่า เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
กล้าหาญและน่าชมเชย
สร้างความหวังแก่ประชาชนในพื้นที่ เพราะ
การแก้ปัญหาโดยสันติวิธีเป็นหนทางเดียวที่สามารถนำไปสู่สันติภาพที่แท้จริง
ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นว่า ภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคการเมือง
ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจ ภาคประชาชนทุกศาสนาและชาติพันธ์ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องมุสลิม
จำเป็นต้องรีบตอบรับหรือขานรับ ร่วมมือและสนับสนุนทันที เมื่อการพูดคุย หรือ
การเจรจาเพื่อสันติภาพถูกเรียกร้องหรือริเริ่ม
แม้นการริเริ่มหรือการเรียกร้องจะมาจากฝ่ายที่เห็นต่างจากเราก็ตาม ทั้งนี้
เพื่อขานรับคำเชิญชวนของคัมภีร์อัลกุรอาน ความว่า “และหากพวกเขาโอนอ่อน เพื่อสันติภาพ(เพื่อสงบศึก)แล้ว
ก็จงอ่อนโอนตามเพื่อการนั้นด้วย และจงมอบหมายภารกิจเพื่ออัลเลาะห์(พระเจ้า)เถิด
แท้จริงพระองค์อัลเลาะห์(พระเจ้า)เป็นผู้ทรงได้ยิน และผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง และถ้าพวกเขาปรารถนาจะลวงเจ้า(โดยสัญญาสันติภาพนั้น)
ดังนั้น อัลเลาะห์(พระเจ้า)ทรงเพียงพอแล้วสำหรับเจ้า
พระองค์คือผู้ทรงสนับสนุนเจ้าด้วยความช่วยเหลือของพระองค์
และด้วยกำลังของผู้ศรัทธา”(ความหมายของกุรอาน
8 : 61 – 62)
ในส่วนของฝ่ายรัฐบาล
จำเป็นต้องส่งสัญญาณ เผยแพร่ ประชาสัมพันธ์
และให้ความรู้ความเข้าใจแก่ข้าราชการและบุคลากรของรัฐทุกหน่วยงาน ให้มีความรู้
ความเข้าใจในยุทธศาสตร์และนโยบายของรัฐบาล ในเรื่องการพูดคุย หรือ
เจรจาเพื่อสันติภาพ หรือ นโยบายการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี ทั้งนี้
เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพ ความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ ในนโยบายและยุทธศาสตร์ของรัฐ
สามารถนำยุทธศาสตร์และนโยบายของรัฐบาลสู่ภาคปฏิบัติอย่างเป็นเอกภาพ
สำหรับภาคการเมือง
ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน ภาคเอกชน นักวิชาการ ผู้นำและนักการศาสนา ผู้นำท้องถิ่น
กลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษาและสตรี ควรเข้ามามีส่วนร่วม
และสนับสนุนกระบวนการพูดคุยหรือเจรจาเพื่อสันติภาพอย่างจริงจัง
โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมในการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ในการจัดการความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ
การเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับสันติวิธี
ตลอดจนการจัดเวทีพูดคุยสานเสวนาประชาชนในภาคส่วนต่างๆ ในเรื่องสันติภาพและการกระจายอำนาจ
เป็นต้น ทั้งนี้ เนื่องจากพลังของภาคส่วนต่างๆเป็นปัจจัยเกื้อหนุนที่สำคัญ
ที่ค้ำชูและผลักดันให้กระบวนการพูดคุย หรือ
เจรจาเพื่อสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ประสบผลสำเร็จ
2. ความยุติธรรม คือ รากฐานของสันติภาพ
คัมภีร์อัลกุรอานหลายโองการได้ค้ำชู
และปูทางสำหรับแบบแผนของสันติภาพ และยังได้สนับสนุนให้ใช้กระบวนการสันติวิธี ในการเรียกร้องคืนสิทธิอันพึงมีพึงได้ของเจ้าของสิทธิ
ห้ามละเมิดหรือรุกรานผู้อื่น พร้อมกันนั้น ต้องดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม
ทำดีกับมวลมนุษย์และสรรพสิ่งทั้งหลาย
แม้กระทั่งกับข้าศึกในสงคราม
เมื่อใดที่พวกเขาตอบรับการเจรจา ประนีประนอม
ความยุติธรรมต้องอยู่เหนืออารมณ์และความรู้สึกส่วนตัว
หรือความสัมพันธ์ทางเครือญาติและมิตรสหายหรืออำนาจต่อรองที่เหนือกว่า ดังพระดำรัสของพระเจ้า
ความว่า “บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย จงเป็นผู้ธำรงความเที่ยงธรรม ในการเป็นพยานเพื่ออัลเลาะห์(พระเจ้า)
แม้จะเป็นอันตรายต่อตัวสู่เจ้าเอง หรือ พ่อแม่ ญาติสนิทของสู่เจ้าก็ตาม
แม้เขาจะมั่งมีหรือยากจนก็ตาม...”(ความหมายของคัมภีร์อัลกุรอาน
4 : 135)
ศาสนาอิสลามสอนให้อำนวยความยุติธรรม
กับข้าศึกหรือศัตรู ความว่า “บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย
จงเป็นผู้ดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ในการเป็นพยานเพื่ออัลลอฮฺ(พระเจ้า)
และจงอย่าให้การเกลียดชังพวกหนึ่งพวกใดทำให้พวกเจ้าไม่ยุติธรรม จงยุติธรรมเถิด
มันเป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรงยิ่งกว่า” (ความหมายของคัมภีรกุรอาน
5:
8)
สรุปแล้ว
การอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชน
เป็นรากฐานสำคัญที่ค้ำชูและปูทางสำหรับกระบวนการสร้างสันติภาพ
แน่นอน
สำหรับพื้นที่ที่มีความขัดแย้งในเรื่องอัตลักษณ์ และประวัติศาสตร์
ผู้ที่มีส่วนได้เสีย หรือได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ ย่อมมีมุมมอง
ความคิด ความเข้าใจในเรื่องสันติวิธี
สันติภาพและความยุติธรรมที่หลากหลายและแตกต่างกัน
ดังนั้น
เพื่อให้กระบวนการพูดคุย หรือ เจรจาได้รับการตอบรับ สนับสนุนจากประชาชนทุกภาคส่วน
ทุกศาสนาและชาติพันธุ์
ข้าพเจ้าจึงเสนอ
ให้รัฐจัดให้มีคณะกรรมการยุติธรรมและสมานฉันท์ภาคประชาชนชุดหนึ่ง ประกอบด้วย
ผู้แทนประชาชนจากศาสนิกและชาติพันธุ์ต่างๆ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน ผู้นำชุมชน
ผู้แทนสตรี โดยคณะกรรมการชุดนี้มีบทบาทในการสนับสนุน
ตรวจสอบและติดตามกระบวนการสันติวิธีสู่สันติภาพและการอำนวยความยุติธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
ตลอดจนการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้
สานเสวนาในเรื่องสันติวิธีและการอำนวยความยุติธรรมในมิติและด้านต่างๆ แก่ประชาชนทุกภาคส่วน
เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจ เข้าถึง
มีความเชื่อมั่นและไว้วางใจยุทธศาสตร์และแนวนโยบายของรัฐในการแก้ปัญหาโดยสันติวิธี
พร้อมที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันและสนับสนุนกระบวนการพูดคุย หรือ เจรจา
เพื่อให้เกิดสันติภาพที่แท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น